19 ธันวาคม 2553

ที่นี่และที่นั่น เมื่อเดือนสิงหาฯ ๒๕๕๓ (ตอนที่ ๒)

เช้าวันอาทิตย์ อาลันและคนขับรถมารับราวๆสิบโมง สำหรับโปรแกรมวันนี้ก็คือพาเราไปเที่ยวสถานที่ต่างๆในเมืองเซี่ยงไฮ้ และจะไปดูworld expoซึ่งเป็นจุดสนใจของชาวโลกในขณะนั้นว่ายิ่งใหญ่อลังการไร้เทียมทานกันในช่วงบ่ายถึงกลางคืน เราเริ่มต้นด้วยอาหารกลางวัน ซึ่งเป็นก๊วยเตี๋ยวหมูตุ๋นเครื่องยาร้านโปรดของอาลัน (ใช่แล้วบังเป็นแขกแม่ทอมจึงกินหมูได้) ก็อร่อยขาดใจจริงๆเหมือนกัน ถ้วยเบ้อเริ่ม หมูเนื้อนุ่ม หวานมันเค็มพอเหมาะผสมกลิ่นเครื่องยาเล่นเอาบังขอดจนหยดสุดท้าย อาลันรู้ทันจะสั่งให้อีกถ้วย บังต้องรีบบอกว่าไม่เอาแล้วเพราะกลัวไขมันจะอุดเส้นเลือด หัวใจวายตายที่ตรงหน้าร้านให้ต้องเป็นข่าว ออกจากร้านสตีฟอยากจะซื้อของฝากเมีย อาลันเลยพาไปที่ตลาดแห่งหนึ่งซึ่งดูคล้ายๆกับตลาดกิมหยงที่หาดใหญ่ จะผิดกันก็ตรงที่เป็นตึกใหญ่หลายชั้น เป็นแหล่งรวมของสินค้ายี่ห้อดังๆทุกชนิด เช่นlouis vuitton gucci และอะไรทำนองนั้น ซึ่งนับเป็นศิลปะการปลอมแปลงที่เยี่ยมยอดของชาวจีน อาลันคงจะนำแขกของเขามาซื้อของที่นี่บ่อย หลายร้านจึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี อาลันสั่งเด็ดขาดว่าให้ต่อราคาของได้ตามสบาย แต่ห้ามซื้อจนกว่าเขาจะมาร่วมตกลงราคาด้วยก่อนจ่ายเงิน ไม่งั้นจะโดนแหกตา ซึ่งก็จริงของเขา สตีฟคิดว่าต่อราคาได้ดีที่สุดแล้ว อาลันมาต่ออีกรอบได้ลดอีก๓๐% ในระหว่างดูนั่นดูนี่ อาตี๋รายหนึ่งจะขายโรเล็กซ์ให้ให้บังให้ได้ บังก็รู้อยู่ว่าไอ้โรเล็กซ์ปลอมนั้นมันมีแต่รูปร่างและชื่อที่บอกไม่ได้ว่าอันไหนจริงหรือปลอม แต่หากเอามาใส่แล้วบอกเวลาไม่ตรงหรือใช้ได้ไม่กี่วันแล้วเสีย บังใช้ไซโก้เรือนเก่าดีกว่า มันลดราคาครั้งแล้วครั้งเล่า ลดจนเหลือประมาณ๖๐๐บาทไทย บังก็ยังไม่ซื้อ มันเลยโกรธถามว่าให้ฟรีเอาไหม? บังบอกว่าให้ฟรีก็ไม่เอา แถมตังค์อีกบังก็ไม่เอา เพราะบังไม่ใช่พวกบ้ายี่ห้อ สงสารมันก็เลยซื้ออะไรอย่างอื่นที่เห็นว่าพอจะมีประโยชน์ ธุรกิจของปลอมในเมืองจีนเขาทำกันเป็นล่ำเป็นสัน เนื่องจากสินค้าแทบทุกอย่างในปัจจุบันจะมีโรงงานอยู่ในจีนไม่ว่าจะยี่ห้อไหน และโรงงานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของโดยเจ้าของสินค้า แต่เป็นของชาวจีน กลางวันจึงเป็นการทำสินค้าให้คนสั่ง ส่วนกลางคืนก็ทำสินค้าชนิดเดียวกันออกมาขายเอง เนื่องจากความกดดันจากนาๆประเทศ จีนก็พยายามที่จะแสดงถึงความรับผิดชอบด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็เป็นเหมือนแค่การแสดง อย่างที่ตลาดแห่งนี้ก็เช่นกัน ในแต่ละร้านจะมีห้องลับแอบอยู่หลังตู้โชว์สินค้า การซื้อขายของเถื่อนก็จะเข้าไปทำกันอยู่ในนั้น มีคนดูต้นทางอยู่ในหลายจุดและคอยส่งสัญญาณหากว่าเจ้าหน้าที่จะมาจับกุม

๔โมงเย็น ความร้อนจากเปลวแดดค่อยซาลง แต่ความอบอ้าวและความซื้นกลับดูเหมือนว่าจะมีความระอุเพิ่มยิ่งขึ้น เราพากันไปที่สถานที่จัดงานworld expoซึ่งอยู่ในตัวเมืองเซี่ยงไฮ้ อาลันเล่าให้ฟังว่าที่ตรงนี้เคยเป็นที่ซึ่งใช้ทั้งเป็นที่อยู่อาศัยและอย่างอื่นตามแบบฉบับของเมืองใหญ่และเก่าแก่ คนจำนวนหลายหมื่นคนเคยอาศัยอยู่ในที่ตรงนี้ เนื่องจากชาวจีนนั้นไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ที่ทั้งหมดเป็นของรัฐ จึงเป็นการง่ายมากมากที่ทางการของจีนจะเอาที่ไม่ต่ำกว่า๒๐ตารางกิโลเมตรนี้มาทำเป็นที่สำหรับจัดงานworld expo

งานworld expoเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี๑๘๕๑ที่กรุงลอนดอน เป็นงานที่นาๆชาติจัดขึ้นเพื่อโชว์อะไรต่างๆเกี่ยวกับประเทศของตัวเอง คราวนี้จีนมีโอกาสเป็นเจ้าภาพ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาฯมาจนถึงปลายเดือนตุลาฯปีนี้ มีคนเข้าชมทั้งหมดประมาณ๗๐ล้านคน ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นชาวจีนเสียเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะของงานประเทศต่างๆจะมีศาลาของประเทศตัวเองซึ่งภายในจะมีโชว์ชนิดต่างๆเท่าที่ประเทศนั้นอยากจะจัดให้คนได้ดู ถ้าหากจะดูกันให้ครบถ้วนจริงๆก็คงจะใช้เวลากันเป็นหลายๆอาทิตย์ ไม่ใช่แค่๔ชั่วโมงแบบที่บังไปดู แต่ถ้าให้ดูเป็นอาทิตย์บังก็คงจะไม่เอาเหมือนกัน แค่๔ชั่วโมงก็ค่อนข้างที่จะเบื่อแล้ว เพราะว่าให้ถึงที่สุดแล้วก็ "มันเป็นเช่นนั้นเอง"

เราเริ่มต้นกันที่ศาลาจีน ซึ่งใครๆก็ว่ามันยิ่งใหญ่มโหฬารกว่าใครอื่นทั้งหมด มองจากไกลๆเห็นคนเข้าแถวเรียงสามยาวเหยียดเพื่อรอคิวเข้าชม กะโดยประมาณที่เห็นแถวเคลื่อน คงจะใช้เวลาอย่างน้อย๒ชั่วโมงคนที่อยู่หลังสุดจึงจะได้ผ่านประตูชั้นนอกเข้าไป อาลันถามเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่แถวๆนั้นได้ความว่า ต้องจองตั๋วล่วงหน้าหนึ่งหรือสองวันจึงจะเข้าชมได้ในวันนี้ บังถอนหายใจโล่งอกที่จะได้ไม่ต้องเข้าคิวรอ เพราะทั้งอาลันและสตีฟกระเหี้ยนกระหือจะดูให้ได้ http://en.expo.cn/index.html#&c=home พลาดจากศาลาจีน ผ่านมาทางศาลาประเทศเล็กประเทศน้อย ยังคงเห็นแถวยาวในลักษณะเดียวกัน แต่ก็ยังไม่ถึงกับต้องจองล่วงหน้าข้ามวันเหมือนศาลาจีน เลยตกลงกันว่าจะดูศาลาไทย มาเลย์ และอเมริกัน อาลันจึงเรียกรถไฟฟ้ามาให้พาไปที่ศาลาไทย ถ้าจะเดินก็ได้ แต่ร้อนเหลือเกินและคงจะอย่างน้อย๑กม ไปถึงศาลาไทยก็เข้ารอยเดิมอีก แถวยาวเหยียดขดเป็นงูเลื้อยไม่รู้ว่าหางแถวอยู่ที่ไหน เขามีร้านขายเบียร์อยู่รอบนอก บังเลยลองเตร่เข้าไปซื้อเบียร์แจกสตีฟและอาลันคนละแก้ว สอบถามสาวขายเบียร์ก็เลยได้ความว่า สำหรับคนไทยและแขกที่มาด้วยสามารถลัดคิวได้ นี่เป็นข้อตกลงที่ไม่เป็นทางการของประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศอื่นๆก็สามารถทำได้หากเห็นว่าสมควร แต่ก็คงจะยกเว้นสำหรับประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพ ซึ่งหากทำก็คงจะยุ่งพิลึกเพราะคนมากเหลือเกิน เราสามคนเลยได้เข้าไปดูในศาลาไทยทางประตูเล็กโดยไม่ต้องเข้าคิวรอ ข้างในก็งั้นๆแหละ เขามุ่งที่จะให้คนจีนดู เป็นการฉายหนังสามมิติเกี่ยวกับเมืองไทย มีการจำลองเอายักษ์วัดโพธิ์และยักย์วัดแจ้งโดยมีลักษณะเป็นเหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง พูดจีนกันล้งเล้งเรียกเสียงฮาจากคนที่ฟังรู้เรื่องอยู่ตลอดเวลา ออกจากศาลาไทยอาลันก็พาไปศาลามาเลย์โดยใช้สิทธิ์ของพลเมืองมาเลย์ของเขา ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าโปสเตอร์และของต่างที่เอามาวางโชว์ อาลันค่อนข้างจะผิดหวัง ด่ารัฐบาลแขกของเขาอยู่ไม่ขาดปาก ถัดไปก็เป็นรายการของสตีฟที่จะพาบังและอาลันเขาศาลาอเมริกัน เมื่อไปถึงจึงพบว่าแถวยาวเป็นอันดับสองรองจากศาลาจีน สตีฟลองไปเลียบเคียงถามเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน เขากลับออกมาบอกว่าโดนบอกให้ไปต่อท้ายแถวเข้าคิวเหมือนคนอื่นๆหากว่าจะเข้าไปดู สาวเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันนั่นพูดในทำนองว่าหน้าไม่อายดันมาขอลัดคิว นี่คือธรรมเนียมอเมริกัน


เกือบๆสามทุ่มเข้าไปแล้ว ขณะที่บังและอาลันกำลังคุยกันว่าจะเอาอย่างไรดีคืนนี้ เรากินอะไรกันมาตลอดช่วงที่กำลังเดินเที่ยว รวมไปถึงข้าวราดแกงกะหรี่แพะที่ศาลามาเลย์จึงไม่มีใครคิดถึงดินเนอร์กันอีก สตีฟซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปพอประมาณก็ถูกประกบโดยสาวจีนซึ่งเข้ามาตีสนิท ไม่รู้พูดกันอีท่าไหนสาวนั่นก็เดินตามสตีฟเข้ามาทักทายบังและอาลัน บอกว่ามาเที่ยวงานexpo หล่อนเป็นครูอยู่ที่ปักกิ่ง มากับเพื่อนอีกสองคน  หล่อนปลีกตัวออกไปควักโทรศัพท์ออกมาพูด เดี๋ยวเดียวเพื่อนสาวอีกสองคนก็ปรากฎตัวขึ้น ในขณะที่ทั้งสตีฟและอาลันยิ้มระรื่นคุยกับสามสาวนั่นด้วยความตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง และมีทีท่าว่าสามสาวจะไปเที่ยวต่อด้วยกันกะเรา บังเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง นี่จะเป็นแผนของอาลันหรือเปล่าที่ทำให้เรื่องมันคล้ายๆจะประจวบเหมาะว่าเจอไก่หลงทีงานworld expo หรือว่าจะเป็นเรื่องปกติที่สาวจีนมักจะเร่เข้าหาฝรั่งและชวนคุย เดี๋ยวก็คงจะได้รู้กัน บังนึกในใจ

อาลันโทรศัพท์เรียกคนขับรถของเขามารับ จากสามคนจึงกลายเป็นสามคู่ขึ้นมาในทันใด มันต้องมีอะไรไม่ชอมมาพากลแน่นอน บังเฝ้านึกอยู่ในใจ ยิ่งเมื่อสามสาวแยกกันประกบเราสามคนตัวต่อตัวบังก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้น อย่างไรก็ต้องไว้เชิงนิดหน่อยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นตื่นเต้นกับการได้เพื่อนใหม่ นึกในใจว่าหากนี่เป็นแผนของอาลันที่เตี๊ยมสามสาวนี่มาแล้วบังจะซ้อนกลให้สนุกที่เดียว ทั้งสามคนพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร แต่ก็ไม่คล่องนัก อาลันนั้นพูดจีนกับคู่ของเขา สตีฟค่อนข้างจะเขินๆที่จู่ๆก็มีสาวจีนมาจับมือถือแขนชวนคุยนั่นคุยนี่คล้ายๆกับคนรู้จักกันมาเป็นเวลานาน จึงมีท่าทีเคาะๆเขินๆพอสมควร อาลันพาเราไปที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง อยู่บนชั้นบนของตึกสูงอยู่ริมแม่น้ำแยงซี เห็นวิวและแสงสีอันสวยงามของเมืองเซี่ยงไฮ้อย่างชัดเจน อาลันบอกว่าเขาก็ไม่เคยมาที่นี่ก่อนเหมือนกัน คราวนี้บรรยากาศเหมาะ บังเอิญครบคู่พอดีจึงพามาลองดู สถานที่ก็หรูและค่าวิวจากหน้าต่างก็คงจะรวมอยู่ในค่าอาหารและเครื่องดื่ม เราสามคนไม่มีใครสั่งอาหารอีกเพราะอิ่มกันมาแล้ว แต่สามสาวเลือกสั่งเอาแต่อาหารหนักและดูเหมือนว่าจะเลือกตามราคาบนเมนูแทนที่จะเลือกอาหารที่โดยปกติคนจีนเขากินกัน ทั้งสามคนเลือกสั่งจากเมนูฝรั่งเศสและอิตาเลียนซึ่งราคาแพงลิบและสั่งชนิดที่ว่าบังเห็นแล้วรู้ว่ากินไม่หมดแน่นอน ที่เคยคิดว่าทั้งหมดเป็นแผนของอาลันอาจจะไม่ใช่เสียแล้ว เพราะหากเขารู้กันมาก่อนก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ทั้งสามคนจะจงใจฉีกกระเป๋าอาลันโดยไม่จำเป็น ถึงแม้ว่าอาลันจะไปเบิกจากบริษัทเขาได้ได้ก็ตามเถอะ ก็จริงอย่างที่คาด อาหารเหลือบานเบอะ คำนวณดูคร่าวๆที่สามสาวสั่งมากินบ้างทิ้งบ้างนั้นไม่ต่ำกว่าพันหยวนหรือประมาณ๕๐๐๐บาท นี่เฉพาะอาหารซึ่งเป็นดินเนอร์สำหรับพวกหล่อนสามคน อาลันเรียกคนบริการทำความสะอาดโต๊ะเพราะทั้งสตีฟและอาลันกำลังเพลิดเพลินจึงตกลงกันว่าจะนั่งดื่มกันต่อไป สตีฟและคู่ของเขาแก้เขินโดยสาวนั่นขอให้สตีฟสอนภาษาอังกฤษให้ ในขณะที่บัง สตีฟ และอาลันกินเบียร์ สามสาวนั่นสั่งไวน์สลับกับวิสกี้ อาลันกับคู่ของเขารำคาญเสียงครูและนักเรียนภาษาอังกฤษจึงแยกไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ส่วนคู่ของบังเห็นบังไม่ค่อยพูดเลยพยายามชวนคุยนั่นคุยนี่ เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงตั้งแต่เข้ามา สามสาวท่าทางจะเป็นนักดื่มตัวฉกาจกันทั้งสามคน เดี๋ยวก็สั่งเดี๋ยวก็สั่ง คราวหนึ่งบังเดินไปห้องน้ำ ขากลับสาวสวยซึ่งท่าทางจะเป็นผู้จัดการของร้านเดินมาประกบบัง ชวนให้ไปที่ห้องทำงาน บังนึกในใจว่าอะไรกันอีกวะ สงสัยเรานี่จะเหมือนแฮริสัน ฝอร์ด มามีเสน่ห์ให้สาวๆตอมเอาตอนแก่ หล่อนปิดประตูแล้วเชิญให้นั่งแล้วพูดยิ้มว่า ได้สังเกตุดูอยู่ตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้วถึงอากัปกิริยาของทั้งหกคน เนื่องจากทำกิจการมานานพอสมควรจึงพอจะเดาสถานการณ์ออกว่าใครเป็นใครในคณะ และบอกว่าเขาเชื่อว่ามีบังคนเดียวเท่านั้นในกลุ่มผู้ชายทั้งสามคนที่เข้าใจสถานการณ์ดีที่สุด เขารู้ว่านี่เป็นการให้ความสำราญกับแขกของอาลันและเขามีเงินที่จะจ่าย และที่เรียกบังเข้ามาคุยนี่เพราะอยากจะบออกว่าตอนนี้บิลล์ทั้งหมดนั้นประมาณ๓๕๐๐หยวน(หรือประมาณ๑๔๐๐๐บาท) เขาบอกว่าเหล้าและไวน์ที่สามสาวนั่นสั่งนั้นเป็นของอย่างดีและเก่าเก็บ หล่อนว่าท่าทางทั้งสามคนจะเป็นมืออาชีพที่หากินกับการจับฝรั่งและคนต่างชาติ ทั้งที่ขายบริการทางเพศและจัดฉากเพื่อให้เห็นว่าเป็นการข่มขืนแล้วกรรโชกทรัพย์หรือไม่ก็ขโมยเอาดื้อๆ หากเป็นการจัดฉากเพื่อกรรโชกทรัพย์นั้นค่อนข้างจะน่ากลัว เพราะมีการทำกันเป็นแก๊งและมีผู้ร่วมงานอีกมากมาย เขาไม่เคยเห็นทั้งสามคนนี้มาก่อนเหมือนกันแต่ก็คิดว่าใช่ บังบอกว่าบังก็พอจะดูรู้ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการจัดฉากของอาลันเองหรือเป็นเหตุประจวบเหมาะแล้วอาลันพลอยเป็นไปด้วย แต่ตอนนี้ค่อนข้างแน่ใจว่าอาลันไม่ได้จัดฉากแน่นอน แต่เห็นทุกคนกำลังสนุกบังก็เลยยังไม่ขัดจังหวะ แต่ตั้งใจว่าจะพูดกับสตีฟและอาลันก่อนออกจากร้านว่าต้องแยกทางกับสามสาวนี่ เพราะอาจจะได้มีเรื่องให้เดือดร้อนแน่นอนหากไม่ยอมหยุดเอาไว้ บังบอกขอบคุณอาหมวยผู้จัดการก่อนที่จะเดินกลับมาที่โต๊ะ ตอนนี้นักเรียนของสตีฟได้ขึ้นไปนั่งอยู่บนตักของอาจารย์เรียบร้อยแล้ว อาลันและคู่ของเขาก็นั่งกอดกันกลมอยู่ คู่ของบังจึงบอกบังว่าประเดี๋ยวจะขอไปนอนที่โรงแรมบังด้วยคน บังเลยถามหน้าด้านๆว่าจะคิดเท่าไหร่ หล่อนพาซื่อเลยบอกว่าแล้วแต่จะให้ เท่านั้นเองบังก็หมดข้อสงสัย เลยหันไปถามคู่ของสตีฟว่าจะเอาเท่าไหร่ หล่อนยิ้มแล้วบอกว่าก็แล้วแต่อาจารย์จะให้เหมือนกัน แต่ต้องไม่ต่ำกว่า๑๐๐๐หยวน บังเลยเดินไปสกิดเรียกให้อาลันผละออกมาจากวงแขนของคู่ตัวเอง บังเล่าเรื่องที่ผู้จัดการร้านบออกให้ฟัง อาลันหน้าซีดเผือด แต่ไม่ใช่เพราะบิลล์ที่สูงเกินคาด แต่เพราะความเป็นไปได้ที่มีจะโอกาสได้มีเรืองให้ปวดหัวหรือดีไม่ดีถึงขั้นได้นอนคุกเมืองจีน อาลันเขาทำงานอยู่ที่นี่และพูดจีนได้ก็จริง แต่เขาก็คือคนต่างชาติคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้อะไรไปเสียทุกอย่าง อาลันโทรศัพท์เรียกคนขับรถมารับและโบกมือลาสามสาว เราหัวเราะกันในรถมาตลอดทางถึงประสบการณ์แปลกใหม่ในคืนนี้ ทั้งสตีฟและอาลันต่างไม่มีใครนึกไปว่าทั้งสามเป็นมืออาชีพ ต่างคนต่างคิดว่าบังเอิญมาเจอครูสาวชอบสนุกสามคนจากปักกิ่ง
(ยังมีต่อ)

22 พฤศจิกายน 2553

ที่นี่และที่นั่น เมื่อเดือนสิงหาฯ ๒๕๕๓

บังคาบตาลเป็นงานอดิเรกเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกไซเบอร์ แต่หากอยู่ข้างนอกก็เป็นลูกจ้างให้เจ้านายจิกหัวใช้ตามประสาคนที่ไม่มีปัญญาจะเป็นนายของตัวเอง เขาก็แบ่งให้กินให้ใช้แต่เล็กๆน้อยๆเมื่อเทียบกับความร่ำรวยของเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จเพราะบังและลูกจ้างคนอื่นๆเช่นบังอีกมากมาย ก็แล้วแต่เขาจะใช้เท่าที่เขาเห็นว่าสมควรจะใช้ มาคราวนี้บังก็โดนใช้ให้ไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งเดือน เลยมีอะไรมาเล่าสู่กันฟังพอสมควร

อันว่าในเครื่องใช้ไฟฟ้าอีเล็กทรอนิคส์ทุกๆชนิดนั้น มีส่วนประกอบอันหนึ่งที่เรียกกันว่าภาคจ่ายไฟหรือpower supply ส่วนนี้เป็นส่วนที่รับกระแสไฟฟ้าจากไฟบ้านหรือแหล่งอื่นๆแล้วเปลี่ยนแรงดันไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานกับชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องนั้นๆ เนื่องจากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่กับไฟฟ้ากำลัง เป็นส่วนที่มีโอกาสเป็นปัญหามากที่สุดเนื่องจากความร้อน และการผิดพลาดจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน การออกแบบจึงต้องทำกันอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษชนิดที่พลาดไม่ได้ การเลือกชิ้นส่วนในภาคจ่ายไฟจึงต้องมีการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

หม้อแปลงหรือtransformerเป็นชิ้นส่วนสำคัญในภาคจ่ายไฟ สมัยก่อนเขาให้หม้อแปลงต่อเข้ากับไฟบ้านเช่น๒๒๐โวลท์๕๐เฮิร์ทโดยตรงแล้วเปลี่ยนจากไฟกระแสสลับเป็นกระแสตรง เนื่องจากความถี่ของไฟบ้านต่ำ หม้อแปลงจึงมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก ภาคจ่ายไฟสมัยใหม่แก้ปัญหานี้โดยการเปลี่ยนไฟ๕๐เฮิร์ทให้มีความถี่สูงขึ้นเป็นหลายร้อยกิโลเฮิร์ท หม้อแปลงก็จะมีขนาดและน้ำหนักน้อยลงมาก ยิ่งความถี่สูงก็ยิ่งเล็ก แต่ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกวัสดุสำหรับใช้เป็นแกนของหม้อแปลง ที่ความถี่ต่ำๆเช่นที่๕๐เฮิร์ท ปกติจะใช้เหล็กแผ่นเป็นแกน แต่ที่ความถี่สูงต้องใช้ผงโลหะผสมซึ่งอัดเป็นรูปที่ต้องการที่เรียกว่าferriteเป็นแกน ขบวนการผลิตferriteนั้นยุ่งยากพอสมควร หากขบวนการควบคุมการผลิตไม่ดี คุณภาพของferriteก็ไม่ได้มารตรฐาน จะก่อปัญหามากมายให้กับภาคจ่ายไฟทั้งที่เกิดทันทีและหลังจากใช้งานไประยะหนึ่ง

เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรฐกิจที่ไม่ค่อยดีในระยะที่ผ่านมาferriteจึงเกิดการขาดตลาด จีนเป็นแหล่งผลิตferriteรายใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน บังเลยโดนใช้ให้ไปไปเมืองจีนอีกครั้งหนึ่ง ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดก็จะบอกว่าทำไมบังจำเป็นต้องไปเมืองจีนคราวนี้ และไหนๆก็ไปแล้วก็เอาให้เต็มที่โดยการเอารายการอื่นๆรวมเข้าไปด้วย ทีแรกวางแผนว่าจะไปจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปินส์ มาเลย์ และอินเดีย ผลสุดท้ายต้องตัดญี่ปุ่น ฟิลิปินส์ออกไป เพราะไม่มีเวลาเพียงพอ ส่วนอินเดียนั้นคราวนี้เขาจะเอาใบเกิดของบังในการขอวีซ่า เนื่องจากระยะหลังเขาเข้มงวดกลัวแขกปากีฯเรื่องทำนองเดียวกับการก่อการร้ายที่มุมไบเมื่อสองปีก่อน เลยจะเอาใบเกิดเพื่อจะดูให้แน่ใจว่าพ่อแม่เป็นชาวปากีฯไหม บังไม่ทีใบเกิดเพราะพ่อเอาใส่กระบอกไม้ไผ่เหน็บหลังคาเอาไว้เมื่อตอนเด็กๆ หนูกินหมดไปนานแล้ว เลยนับว่าโชคดีที่ไม่ต้องไป เพราะอินเดียนั้นสุดยอดกว่าเมืองจีนเสียอีกในด้านความไม่สะดวกในการเดินทาง ความสกปรก และอื่นๆ รวมเวลาทั้งหมดก็เดือนหนึ่งพอดีที่ต้องรอนแรมระหกระเหิน จากประสบการณ์คราวก่อนๆ การเดินทางในเมืองจีนโดยไม่รู้ภาษาจีนนั้นลำบากเต็มที ภาษาอื่นๆแทบจะไร้ความหมายบนถนน มาคราวนี้จึงได้ขอให้บริษัทในจีนที่เป็นคนขายชิ้นส่วนรายใหญ่ให้ช่วยเป็นธุระจัดการอำนวยความสะดวก ซึ่งความจริงเขาก็เสนอทุกครั้งที่ไปที่จะช่วยอำนวยความสะดวกเต็มที่เพราะธุรกิจที่เขาทำอยู่กับบริษัทที่บังทำมีมูลค่าสูงมาก แต่บริษัทบังมีนโยบายไม่ให้ลูกจ้างรับการช่วยเหลือจากใคร กลัวจะไปเป็นหนี้บุญคุณเขา และอาจจะมีผลในการตัดสินใจทางธุรกิจ แต่คราวนี้ต้องขอฝืนระเบียบเพราะมีบทเรียนจากคราวก่อนๆที่ต้องนอนที่สนามบิน หลงทาง และฯลฯ อีกทั้งคราวนี้บังเอาสตีฟ ผู้เป็นวิศวกรฝ่ายชิ้นส่วนมาฝึกงานด้วย สตีฟชอบเดินทาง บังจึงหวังว่าคราวต่อไปจะได้ใช้ให้ทำงานนี้แทน บังจะได้ไม่ต้องทรมานสังขาร หลับตื่นและขี้เยี่ยวไม่เป็นเวลา
ปลายเดือนกรกฎาคมเป็นวันออกเดินทาง มาลงเครื่องบินที่สนามบินปูดองเมืองเซี่ยงไฮ้เอาตอนใกล้เที่ยง มัคคุเทศของเราเป็นชาวมาเลย์เชียเชื้อสายจีนผสมปอตุเกศ แกมาทำงานเป็น QC directorให้กับบริษัทในเมืองจีนซึ่งเป็นผู้ทำตัวถังประกอบเครื่องให้กับบริษัทที่บังทำงานอยู่ แกมีชื่อฝรั่งว่าอาลัน ส่วนชื่อแขกของแกจะเป็นบังอะไรบังเหล็มก็ไม่ได้ถาม เพราะว่าในมาเลย์เซียแขกกับเจ๊กเขาไม่ค่อยจะลงรอยกัน อาลันรับคำสั่งจากเจ้าของบริษัทของเขาให้ดูแลเราอย่างดีที่สุด เขาติดตามอำนวยความสะดวกให้กับบังและสตีฟในระหว่างที่เราอยู่ในประเทศจีน ซึ่งหมายความว่าเขาต้องนำเราไปยังเมืองเล็กเมืองน้อยซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตferriteและชิ้นส่วนอย่างอื่นที่กำหนดจะไปออดิต ในช่วงเวลา๓อาทิตย์ทั้งทางรถยนต์ รถไฟและเครื่องบิน เนื่องจากบังไปถึงวันเสาร์ กว่าจะได้เริ่มทำธุระเรื่องงานก็ต้องวันจันทร์  อาลันและคนขับรถมารับที่สนามบินพาไปส่งที่โรงแรมกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งฝ่ายจัดการเดินทางของบริษัทบังได้จองเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วในแต่ละเมืองตลอดการเดินทางเที่ยวนี้  ถึงโรงแรมเช็คอินเสร็จนอนได้งีบหนึ่งก็ห้าโมง อาลันโทรมาปลุกบอกว่าออกไปหาอะไรกินกัน

อากาศเมืองเซี่ยงไฮ้ต้นเดือนสิงหาช่างร้อนได้อบอ้าวเหมือนอยู่ในเตาอบ เราเริ่มต้นกันที่บาร์ใกล้ๆโรงแรม เหลาใหญ่สำหรับอาหารเย็นอาลันเขาบุ๊คไว้ประมาณหนึ่งทุ่ม เราเลยนั่งซดเบียร์สิงเต่ารอเวลาอาหารเย็น อาลันเป็นคนอัธยาศัยดีมาก เคยทำงานให้กับบริษัทใหญ่ๆของญี่ปุ่นเช่นJVCและPanasonicก่อนที่จะมาทำให้กับบริษัทจีนรายนี้ เขาเป็นคุยสนุก บังเคยพบกับเขาสองสามครั้งก่อนเจอกันคราวนี้เพราะเขาเคยมาติดต่องานที่บริษัทบัง เนื่องจากเขาเป็นชาวมาเลย์ เราจึงมีเรื่องให้คุยกันมากเป็นพิเศษ เพราะบ้านเดิมเขาอยู่แถวๆอาลอร์ เซตาร์ ซึ่งไม่ไกลจากปาดังเบซาร์มากนัก เขาเคยมาเที่ยวหาดใหญ่บ่อย จนรู้จักอะไรต่างๆในหาดใหญ่ค่อนข้างดี หรืออาจจะดีกว่าบังเสียอีกในเรื่องที่เที่ยว เรานั่งคุยกันอยู่จนหกโมงกว่า ก็ได้เวลาอาหารเย็น

อันว่าการทำธุรกิจกับคนจีนนั้นเป็นที่รู้กันว่าเขาบริการลูกค้าเขาเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องกินและรายการบันเทิง ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าจริงๆแล้วไม่ใช่ของฟรี แต่เขารวมไว้เรียบร้อยแล้วในส่วนค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจของเขา แท้ที่จริงแล้วธุรกิจอุตสาหกรรมของคนจีนไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ที่เข้ามาดำเนินกิจการในเมืองไทยจะมีการปรนเปรอลูกค้าของเขามากกว่าที่ไหนในโลกเพราะกฏหมายบ้านเรามันหละหลวมและผู้รักษากฎหมายเองอาจจะเป็นหนึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับบริการ บังเคยติดต่อซื้อชิ้นส่วนอีเลกทรอนิคส์จากโรงงานของชาวไต้หวันในแถบกรุงเทพฯ เลยได้รู้เรื่องราวรายละเอียด เนื่องจากคนไทยทำรายการบันเทิงในลักษณะนี้ได้ไม่ถึงใจ จึงมีการชักชวนเพื่อนพ้องชาวไต้หวันเข้ามาก่อตั้งสถานบันเทิงพวกนี้เสียเอง เป้าหมายคือบริการบันเทิงครบวงจรให้กับลูกค้ารายสำคัญของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้ ตั้งแต่ ซาวน่าร์ ตัดผม ตัดเล็บ ขัดขี้ไคล นวด ดื่มกิน คาราโอเกะ คาราโอแกะ คาราโอกอด คาราโอกก และฯลฯ ที่เหล่านี้มักจะไม่มีการเปิดบริการให้กับคนทั่วไปนอกจากสมาชิกที่เป็นเจ้าของโรงงานเอาไว้บริการลูกค้าของเขา บังเคยหลุดเข้าไปเมื่อหลายปีก่อน แต่จำเป็นต้องลัดวงจรก่อนที่จะครบวงจรเพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ดีที่ยังคุมสติได้เพราะไม่ได้ดื่มเข้าไปมากนัก ไอ้อย่างแรกๆนั้นมันพอทำเนา ถึงรู้ว่ามันไม่ค่อยจะถูกต้องแต่ก็ต้องรับตามธรรมเนียมเมื่อมีผู้มาประเคน ส่วนอย่างหลังสุดนั้นจำเป็นต้องเอาทางพระเข้าข่ม ใครจะไปรู้ผิดพลาดขึ้นมาอาจจะได้ไปอยู่วัดพระบาทน้ำพุเพราะโรคเอดส์

ใครที่ไม่เคยไปเมืองจีนอาจจะคิดว่าประเทศที่ใช้ระบบเศรฐกิจและการเมืองแบบสังคมนิยมควรจะมุ่งประโยชน์ของสาธารณชนเป็นอันดับแรก แต่เท่าที่เห็นและสัมผัส สภาพต่างๆแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างจากประเทศทุนนิยมทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่จีนเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้าไปเปิดโรงงานในช่วง๓ทศวรรษที่ผ่านมา จากประเทศที่ไม่ยอมให้เอกชนถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและฝักใฝ่การเคลื่อนไหวใดๆอันจะนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง เดี๋ยวนี้จำนวนเศรษฐีระดับร้อยล้านและพันล้านดอลลาร์ในประเทศจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนว่าจะเพิ่มเร็วกว่าประเทศใดๆทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปรากฎการณ์ชนิดใหม่กำลังเกิดขึ้นในจีน ชนิดที่หากเหมาเจ๋อตงหรือเติ้งเสี่ยวผิงไม่อาจจะคาดคิดมาก่อนว่ามันจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ในชั่วระยะแค่ไม่กี่ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะช้าลงแต่อย่างใด ว่ากันว่าในขณะนี้จีนใช้กว่า๕๐%ของซีเมนต์และเหล็กเส้นของผลผลิตของโลก และกำลังนำหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาในการใช้พลังงานทุกชนิด

ขนาดว่าขอร้องอาลันล่วงหน้าแล้วว่าเพลาๆหน่อยเรื่องกินและการบริการในฐานะเจ้าของบ้านของเขา ว่าอย่าให้มันเกินเลยไปนักและจะเป็นการประหยัดด้วย บังถนัดจะเอาแบบกินเสร็จแล้วกลับไปนอนเตรียมตัวสำหรับงานในวันรุ่งขึ้นดีกว่า แต่จนแล้วจนรอดก็จนด้วยเหตุผล นอกจากสตีฟที่มากับบังแล้วก็ยังมีแม็ท ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่อีกรายหนึ่งของอาลันและบังเอิญว่าเขาจะกลับอังกฤษในวันรุ่งขึ้น อาลันเลยเอางานเลี้ยงส่งแม็ทมาผนวกกับงานเลี้ยงรับบังกับสตีฟในคราวเดียวกัน จะปลีกตัวก็น่าเกลียดก็เลยต้องจำใจตกกระไดพลอยโจนไปกับเขาอีกคราวหนึ่ง

อาลันเลือกร้านอาหารที่เขาคิดว่าจะถูกปากทุกคนที่สุด แต่ก็ไม่วายเป็นเหลาระดับวีไอพี เป็นห้องพิเศษโต๊ะกลมที่จัดไว้เฉพาะคณะ เขาบอกว่าเหลานี้รับคนได้เป็นพันพร้อมกัน มีห้องเฉพาะกลุ่มแบบนี้กว่าร้อยห้อง รายการอาหารที่อาลันพยายามโฆษณาส่วนใหญ่เป็นประเภทสัตว์พิศดารที่เป็นของแปลกและมีคนอยากลองเพื่อจะได้เอาไปไว้คุย ตัวอย่างเช่นงูเห่าทอดกรอบ กบและตะพาบน้ำผัดเครื่องยาจีน ซุปดู้นอวัยวะเพศและลูกอันฑะวัวถึก หอยทากพะโล้และอะไรทำนองนั้นอีกมากมาย อาลันพูดอยู่ซ้ำๆซากๆถึงสรรพคุณของอาหารเหล่านี้ว่า "good for men" สตีพกับแม็ทเลือกงูเห่าและตะพาบ ส่วนบังก็บอกเขาว่าเคยลองมาก่อนแล้วสำหรับรายการเปิบพิศดาร ให้คนที่ไม่เคยลองดีกว่า สตีฟเลยได้กินดีงูเห่าผสมเลือดและเหมาไถเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารคนและแก้ว อาหารก็อร่อยดี ส่วนใหญ่เจ้าภาพเป็นคนสั่ง บังไม่พิถีพิถันนักในเรื่องกิน เพราะเราเคยกินมาแล้วตั้งแต่จิ้งจังและแป้งแดง กินไปก็สรรเสริญเจ้าภาพไปตามธรรมเนียม เพราะเขาก็พยายามที่จะบริการเราให้ดีที่สุด

ออกจากเหลา อาลันบอกว่าจะพาไปคาราโอเกะ อันเป็นรายการที่ขาดไม่ได้สำหรับรายการให้ความบันเทิงแขกพิเศษ เท่าที่รู้คาราโอเกะนั้นแพร่หลายอยู่เพาะในแถบบ้านเราและเอเชียตะวันออก แต่ในยุโรปและอเมริกาไม่ค่อยจะได้รับความนิยม มีการพัฒนาพลิกแพลงไปจนถึงขั้นสุดยอดพิศดารในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี จีน และไทย ซึ่งทั้งหมดมีที่มาจากญี่ปุ่นซึ่งได้มีรายการบันเทิงชนิดนี้มาตั้งแต่ครั้งโบราณ มีหญิงบริการที่มีการอบรมกันเป็นพิเศษใช้เวลานับสิบปีตั้งแต่เด็กจนโตที่เรียกกันว่าgeishaเป็นคนให้การบริการ ในขณะที่geishaได้กลายเป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่เต็มไปด้วยพิธีรีตรอง ตั้งแต่การพูด การแต่งตัว การปฏิบัติตัว การบริการ และการร้องรำขับกล่อม คาราโอเกะได้รับการพัฒนาออกไปอีกทางหนึ่ง geishaไม่มีความจำเป็นในงานนี้ คาราโอเกะมีอยู่หลายระดับตั้งแต่การเอาเพลงดังๆที่ใครๆรู้จักมาเฉพาะดนตรี แล้วให้บรรดาพวกร้องเพลงไม่เพราะทั้งหลายได้มีโอกาสได้มั่วกัน ซึ่งเป็นการสนองความอยากเป็นไปไม่ได้ในโลกแห่งความจริงชนิดหนึ่งของคนเราทั่วไป ในส่วนนี้จะเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของความบันเทิงในรูปของคาราโอเกะ ถัดจากนั้นก็มีการดัดแปลงเพิ่มเติมโดยการแทรกอย่างอื่นๆเข้าไป ซึ่งก็หนีไม่พ้นการสนองรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส เนื่องจากแขกส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จึงมีการนำเอาเด็กสาวๆมาเป็นคนบริการคอยรินเครื่องดื่มและช่วยดื่มเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าของ

อาลันช่างเหมาะกับงานนี้จริงๆ เขาพาทุกคนเข้าไปในสถานคาราโอเกะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้างในทำเป็นห้องมากมายขนาดจุคนได้๑๐-๒๐คนต่อห้อง แต่ละห้องมีจอภาพขนาดใหญ่และDJประจำ เริ่มด้วยมีการนำสาวๆเดินเข้าแถวเข้ามาในห้องให้แขกเลือกคนที่ตัวเองจะเอาเป็นคนบริการ ถึงบังจะไม่ใช่นักเที่ยว แต่ภาพต่างๆก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เมื่อตอนหนุ่มๆมันก็ตื่นเต้นดี แต่พออายุมากขึ้นก็คิดไปว่าในขณะนี้สาวๆแต่ละคนจะกำลังคิดอะไร กำลังจะได้สนุก? จะมีใครเลือกเราไหม? เราจะได้ทิปเท่าไหร่คืนนี้? และคงจะมีอะไรอีกหลายๆอย่างเช่น เดือนนี้จะมีเงินหลือส่งไปให้พ่อแม่ที่บ้านสักเท่าไหร? หรือ ฯลฯ หากบังไม่เลือก เขาก็คงจะขาดรายได้ไปและบังก็คงจะทำไม่ได้เพราะอาลันส่งเสียงคะยั้นคะยอมาว่าให้ชี้เอาสักคน บังนึกถึงอาแม้ะที่บ้านแว็ปหนึ่ง อโหสิก็แล้วกัน บังนึกในใจ ชี้ไปที่คนอยู่สุดปลายแถว หล่อนเดินยิ้มเข้ามานั่งใกล้ๆ ร้องทักเป็นภาษาจีน สนุกแน่ บังพูดไม่ได้สักคำ พยายามชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษ หล่อนก็พูดไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว ต่างคนก็ต่างนั่งยิ้ม สตีฟและแม็ทท่าทางจะสนุกสนานเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง มือไม้มันไม่ต้องการภาษาสองคนนั้นเพลิดเพลินกับการจับนั่นต้องนี่ พอไฟสลัวลง เพลงของJohn Denverก็ดังขึ้นด้วยการเลือกของอาลัน ทุกคนเริ่มร้องกันอย่างสนุกสนาน เสียงดังแทบแก้วหูแตกก้องไปก้องมาในห้องเล็กๆฟังไม่เป็นเพลง มีบังคนเดียวที่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนมีดนตรีการ แต่ก็ร้องเพลงไม่เป็นเลยได้แต่นั่งกินอะไรเรื่อยเปื่อย หลับบ้างตื่นบ้างจนถึงเที่ยงคืน จึงได้หลุดออกมา อากาศข้านอกยังร้อนขาดใจ ที่ป้ายหน้าร้านแห่งหนึ่งบอกว่า๔๑เซลเซียส ระหว่างทางกลับโรงแรมอาลันชี้ให้ดูสวนสาธารณะเล็กๆข้างทางที่มีคนนอนอยู่กลางแจ้งเต็มไปหมด อาลันบอกว่าคนพวกนี้ไม่มีเครื่องแอร์ในอพาร์ทเม้นท์ ทนความร้อนไม่ไหวจึงออกมานอนข้างนอกตอนหัวค่ำ ราวๆตีสองจึงจะลุกขึ้นกลับเข้าไปนอนในบ้านเพราะจะค่อยเย็นลงหน่อย
(ยังมีต่อ)

06 กันยายน 2553

ความขัดแย้งและการแก้ปัญหาแบบชาวแม่ทอม


จากรุ่นบุกเบิกเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนที่มาถึงแม่ทอมจนถึงยุคปัจจุบัน จำนวนครอบครัวได้เพิ่มขึ้นจากไม่กี่ครอบครัวมาเป็นหลายร้อยครอบครัวในปัจจุบัน จากคำบอกเล่าที่เล่าสืบต่อกันมา แม่ทอมเมื่อครั้งที่คนเพิ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานนั้นเป็นพื้นที่ชายเลนกิ่งทุ่งลุ่มน้ำขังกึ่งป่าโปร่งอันประกอบไปด้วยไม้ชายเลนเช่นเสม็ดและโกงกาง ผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานจับจองเลือกเอาพื้นที่ริมคลองเป็นที่ปักหลักเพราะเขามากันทางเรือ นอกจากนั้นคลองคือเส้นทางที่เขาใช้ติดต่อกับโลกภายนอก คนที่มาก่อนคือคนที่มีโอกาสดีกว่าในการเลือกที่สำหรับเพาะปลูกทำมาหากิน คนกลุ่มนี้คือพวกที่มีบ้านอยู่ริมคลอง พื้นที่ส่วนที่ๆอยู่ห่างคลองไปทางทิศตะวันตกนั้นได้รับการดัดแปลงเป็นที่สำหรับทำนาข้าว เนื่องจากสังคมการผลิตในยุคแรกเริ่มของแม่ทอมเป็นแบบผลิตเพื่อบริโภคเองในครอบครัวไม่ใช่เพื่อการค้า การจัดสรรค์แป่งปันที่ดินทำกินจึงเป็นไปอย่างเหมาะสม ไม่มีการจับจองเอาจนเกินกว่าที่ตัวเองจะใช้ประโยชน์ไหว คนมาทีหลังก็ได้รับการแบ่งปันที่ทำกินให้ ทั้งที่เป็นการให้เปล่าหรือแลกเปลี่ยนด้วยแรงงานหรืออย่างอื่นซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อผลกำไร ผลที่เห็นก็คือไม่มีชาวแม่ทอมรายใดในปัจจุบันที่มีลักษณะเป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่ ความเหลื่อมล้ำมีไม่มากนัก คนที่ไม่มีอะไรในยุคปัจจุบันมักจะเป็นพวกที่ทำให้ที่ทางที่บรรพบุรุษมอบให้สูญหายไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในชั้นตัวเองหรือชั้นพ่อแม่

ในช่วง๕๐ปีที่ผ่านมา แม่ทอมก็เช่นเดียวกับบ้านอื่นและที่อื่นทั่วโลก ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแบบก้าวกระโดด จากบ้านไม้ใต้ถุนสูงมุงจากฝาไม้ไผ่ก็กลายมาเป็นบ้านอิฐและปูนซีเมนต์ทั้งหลัง จากการใช้ตะเกียงคางคกริบหรี่มาใช้ไฟฟ้าสว่างไสว จากการขี้ข้างกอไผ่มาเป็นนั่งส้วมซึมซึ่งอยู่ในบ้าน และจากทำนาปลูกข้าวกินเอง ก็มาเป็นลูกจ้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทิ้งที่นาให้รกร้างว่างเปล่ามาซื้อข้าวสารกิน ที่ดินกลายสภาพจากที่ทำกินมาเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เป็นที่น่าทึ่งว่าจากที่ดินที่เคยแบ่งปันกันด้วยด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในยุคแรกเริ่มได้กลายเป็นชนวนให้เกิดการกินแหนงแคลงใจกัน ทั้งๆที่ส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้องเห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก และพึ่งพาอาศัยกันมาหลายชั่วอายุคน

พ้นจากยุคแห่งการแบ่งปัน ที่ดินกลายเป็นสมบัติมีค่า ที่สาธารณะกลายเป็นเป้าหมายแรกในการบุกรุกขยายอาณาเขตให้กับที่ดินเดิมของตัวเอง ภาษาที่ใช้กันคือ"ที่หัวดิน" หากที่ของใครมีอาณาเขตจดที่สาธารณะ ก็จะมีการทำประโยชน์รุกล้ำเข้าไป เสร็จแล้วอ้างว่าเป็นที่ของตัว นี่คือตัวอย่างเมื่อหลายปีก่อน เช่นการบุกรุกป่าเสม็ดที่พรุตก ซึ่งป่าเสม็ดนับร้อยไร่โดนบุกรุกจากทุกด้านโดยเจ้าของที่ๆมีอาณาเขตติดต่อ ติดตามโดยที่คลองแหวะและที่รอบๆทอม ความคิดเดิมที่มีเฉพาะเท่าที่ทำกินได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว กลายเป็นว่าต้องเอาให้มากที่สุดจะเป็นการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นและส่วนรวมก็ไม่ค่อยจะมีใครคิดอีกต่อไป

การแบ่งเขตนาในทุ่งแหวะ ทอมตก และทอมออกก็เอากันตามคันนาหรือหัวนา พรุที่เป็นมาตามธรรมชาตินั้นมันไม่มีเขตไม่มีคันนา ยุคแรกๆที่แบ่งกันนั้นคงจะไม่มีปัญหา คันนามันจะใหญ่เล็กคดเคี้ยวก็ไม่มีใครว่า แต่พอมายุคหลังๆก็ให้มีเหตุทะเลาะวิวาทกันอยู่เนืองๆเรื่องหัวนาและเขตแดน ใครอยู่ใกล้ๆบ้านกำนันก็จะได้ยินบ่อยๆ ถึงกรณีพิพาทที่มิอาจจะตกลงกันได้ บ้างกล่าวหากันว่ามีการเลื่อนหมุดเครื่องหมายเขต บ้างก็ว่ามีการรุกล้ำเข้ามาทำประโยชน์ในที่ของตัว หรือไม่ก็แย่งต้นตาลที่ขึ้นอยู่บนคันนา

แต่เดิมตรงโค้งหลวงผุดนั้นชาวแม่ทอมเรียกกันว่าหัวพาน เพราะมีการตัดถนนผ่านสายทอม ทุกๆฤดูฝนน้ำจะพัดพาเอาถนนขาดทุกๆปี จึงมีการขุดคูให้น้ำผ่านและทอดสะพานไม้แผ่นเดียวเอาไว้ ถัดจากบ้านหลวงผุดก็เป็นสวนของหลวงบุญและถัดมาอีกก็เป็นสวนตารอดและถัดมาอีกก็เเป็นบ้านครูนพ ตรงสายรั้วระหว่างสวนหลวงบุญและสวนตารอดนั้นมีต้นขนุนอยู่ต้นหนึ่ง เมื่อตอนต้นขนุนยังเล็กนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอขนุนออกลูกก็เกิดปัญหา ข้างฝ่ายหลวงบุญและชาวธรรมชาติก็อ้างกรรมสิทธิ์ ในขณะที่ตารอดก็อ้างเช่นเดียวกัน ตารอดนั้นเป็นคนมีอายุของหมู่บ้านและเป็นสังกะหรีวัด ทางธรรมชาติก็พี่น้องเยอะ เพราะขนุนบนรั้วเขตเป็นต้นเหตุ พวกธรรมชาติขนพวกมาบริภาษพวกตารอด แม้กระทั่งนายบ้านเกลี้ยง นายบ้านหมู่๔สมัยนั้นก็เอาไม่อยู่ เถียงกันจนค่ำมืดก็ยังไม่เป็นที่ตกลง หมิ่นเหม่จะมีการลงไม้ลงมือเป็นสงครามกลางเมืองระดับหมู่บ้าน ต่างฝ่ายต่างถอยพักรบไปนอน กะว่ารุ่งเช้าจะมาเถียงกันใหม่

รุ่งเช้าท่ามกลางความตกตะลึงของทั้งสองฝ่าย มีคนมาบอกว่าใครไม่รู้มาโค่นต้นขนุนต้นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว สงสัยตั้งแต่ตอนกลางคืน ไม่มีใครเห็นว่าใครเป็นคนทำ ในขณะที่หลายคนมืดแปดด้าน อีกหลายคนก็พอจะเดาออกว่านี่คงจะเป็นฝีมือกำนันรุยอีกเช่นเคย แกคงจะสั่งให้ใครมาโค่นทิ้งเสียในฐานะที่เป็นต้นเหตุให้คนทะเลาะกัน แกมักจะมีวิธีการแปลกๆในการจัดการกับกรณีพิพาทในหมู่บ้าน เป็นที่น่าเสียดายที่เชื้อสายกำนันรุยที่สืบทอดเอาอุปนิสัยของแกไว้นั้นมีอยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีใครอยากจะเป็นกำนัน และที่อยากจะเป็นก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าจะทำเสียชื่อค่ายหรือเปล่า

25 เมษายน 2553

ของดีมีประโยชน์ที่แม่ทอม

"You are what you eat" เป็นวลีหนึ่งที่มีอยู่ในแทบทุกภาษา ออกเสียงต่างกันออกไป แต่ก็มีความหมายเดียวกันคือ "ร่างกายของคุณคือสิ่งที่คุณกินเข้าไป" อาหารทุกชนิดให้ประโยชน์แก่ร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่นโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ แป้งน้ำตาลและไขมันไปให้พลังงาน เกลือแร่และไวตามินไปไปเอื้ออำนวยประโยชน์ให้ร่างกายในส่วนเฉพาะ ร่างกายคนเรานั้นมีระบบควบคุมอยู่ในตัวของมันเอง ทั้งที่เจ้าตัวสามารถที่จะบังคับได้ และที่บังคับไม่ได้แต่เป็นไปเองเพื่ออำนวยความอยู่รอด บางอย่างก็ก้ำกิ่งกันอยู่เช่นในเรื่องกิน ท้องมันบอกแล้วว่าอิ่ม แต่ใจบอกว่าอัดอีกนิดเพราะอร่อยถูกปาก จึงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ร่างกายสะสมส่วนที่ใช้ไม่หมดเอาไว้จนกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องหอบหิ้วไปด้วยทุกหนทุกแห่งแทนที่จะเก็บไว้ในตู้เย็น


อาหารบางอย่างเช่นเนื้อสัตว์ ในขณะที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภคในส่วนของโปรตีน แต่ก็มีคอเลสเตอรอลที่จะไปเกาะผนังเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดตีบและอาจจะอุดตันได้ ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบโลหิตนาๆชนิด ในขณะที่ฝรั่งเพิ่งจะค้นพบและเข้าใจในเรื่องนี้แค่เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน แต่ชาวแม่ทอมและชาวปักษ์ใต้ที่ห่างไกลความเจริญได้เข้าใจเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน เพียงแต่ไม่ได้มีการศึกษาค้นคว้าให้เป็นระบบ ความจริงอันนี้ได้สะท้อนออกมาในอาหารพื้นบ้านหลายๆชนิดที่มีส่วนประกอบและวิธีทำซึ่งได้รับการสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ทำไมจึงมีการเอาเครื่องปรุงนาๆชนิดมาใส่ในต้มในแกง คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยคิดหาเหตุผล หรือไม่ก็คิดว่าเพื่อเพิ่มรสชาดให้อาหารเพียงประการเดียว แต่จริงๆแล้วเครื่องปรุงหลายอย่างเป็นตัวยาขนานเยี่ยมที่ช่วยลดอันตรายจากอาหารและโรคร้ายหลายๆอย่าง

ส้มสารพัดชนิดได้กลายเป็นส่วนสำคัญของอาหารของชาวแม่ทอม ขึ้นชื้อว่าส้ม ไม่ว่าจะมาจากต้นไม้ชนิดใหน ก็จะนับเป็นกรดอินทรีย์ทั้งสิ้น มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถย่อยและสลายไขมันได้ ตัวอย่างเช่น มะนาว ส้มมะขาม ใบมะขามอ่อน ส้มแขก ยอดมวง(ยอดชะมวง) มะปริง มะปราง มะม่วง มะเฟือง รวมไปถึงน้ำส้มสายชูที่ได้จากการหมักน้ำตาลโตนด เช่นหากจะต้มเนื้อติดซี่โครงวัว ถ้าต้มธรรมดาๆ จะเห็นว่าน้ำมันจะลอยฟ่อง หากได้ใส่ยอดมวงลงไปขนาดพอเหมาะ จะไม่เหลือน้ำมันให้เห็น ทิ้งไว้ให้เย็นก็ไม่มีไขมันเกาะหม้อหรือจับตัวลอยเป็นแพ ผลปรากฏให้เห็นชัดอยู่ในหม้อถึงคุณสมบัติ  ส้มแขกก็มีลักษณะคล้ายๆกันต่อไขมัน มีคนเอาส้มแขกไปสกัดทำเป็นยาเม็ดลดความอ้วน จะได้ผลแค่ไหนไม่รู้สำหรับเรื่องกินแล้วผอม แต่จะเห็นได้ว่าต้มส้มหมูสามชั้นใส่ส้มแขกจะทำให้ความมันหายไปเยอะมาก ซดแล้วค่อยยังชั่วไม่ติดคอติดเพดานและคงจะไม่ไปติดหลอดเลือดให้ต้องเกิดปํญหาทีหลัง

ขิง ข่า ตะไคร้ พริก และขมิ้น ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารของชาวแม่ทอมก็มีการค้นพบในระยะหลังๆว่ามีผลในการต่อต้านโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี มีการนำไปสกัดและแปลสภาพใช้เป็นยาสมัยใหม่กันอย่างแพร่หลาย

ของขมๆก็เป็นอาหารยอดนิยมอีกอย่างหนึ่งของชาวแม่ทอมสมัยก่อน เป็นต้นว่า ขี้เหล็ก ยอดสะเดาเผา ยอดหมุย ปลีกล้วย ใบหัวครกอ่อน มะระ มะรุม และฯลฯ คำกล่าวที่ว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ที่แท้แล้วเป็นความจริงอย่างยิ่ง จากการศึกษาในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่าของขมส่วนใหญ่เป็นตัวหยุดหรือชลอความผิดปกติในการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายอันจะนำไปสู่การเกิดขึ้นและลุกลามของโรคมะเร็ง จากที่เคยได้พูดคุยกับคนที่มีความรู้ทางแพทย์แผนโบราณในตำบล ท่านเหล่านั้นทราบความจริงอันนี้เป็นอย่างดี บรรดายาแผนโบราณจึงรวบรวมเอาความขมขื่นนาๆชนิดเอาไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่เข็ดหมูน (บอระเพ็ด)ไปจนถึงยาเขียวยาดำ เชื่อกันด้วยว่าของขมจะสามารถชลอและทุเลาโรคเบาหวานได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

แกงขี้เหล็กจะอร่อยหรือไม่เริ่มต้นจากการเลือกและเตรียมใบขี้เหล็กที่ได้ขนาดพอดี ไม่อ่อนไม่แก่ หากได้รู้ประวัติว่าต้นไหนขมมากขมน้อยก็ยิ่งดี เพราะจะได้มีการจัดการลวกและล้างให้ได้ความขมพอเหมาะพอดี ถัดจากนั้นก็เอาไปแกงคั่วมะพร้าวเช่นเดียวกับการคั่วอย่างอื่น ว่ากันว่าแกงขี้เหล็กที่อร่อยนั้นต้องไม่ใส่เนื้อ มีแต่ขี้เหล็กเครื่องแกงและกะทิ การเตรียมขี้เหล็กให้มีความขมพอดีนั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะพอสมควร เล่ากันว่ายายเอียดหมู่๔เป็นคนหนึ่งที่แกงขี้เหล็กทีไรก็ต้องเททิ้งทุกทีเพราะขมจัดจนกินไม่ลง วันหนึ่งแกไปขอสูตรทำขี้เหล็กจากนายบ้านแนมซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งของตำบล นายบ้านแนมแนะว่าให้สับเข็ดหมูน
(บอระเพ็ด)ใส่ลงไปในหม้อแกงสักสองถ้วย แล้วแกงขี้เหล็กจะหายขม เพราะความขมของเข็ดหมูนจะไปลดความขมของขี้เหล็ก...สูตรนี้ได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน เป็นเรื่องตลกชวนหัวเราะ แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดไปลองทำจริงๆจนได้อีกหลายราย

21 มีนาคม 2553

ภาพแม่ทอมเมื่อ๑๕ปีก่อน

ทอม
สภาพของทอมเมื่อ๑๕ปีก่อนกับวันนี้ไม่ได้ดูแตกต่างกันมากนัก ที่เห็นชัดๆคือยังไม่มีการลงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวในระดับที่เห็นในปัจจุบัน การจับปลาในทอมก็มีอยู่เพราะเป็นเรื่องที่ทำกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ แต่ดูเหมือนว่าจะมีกฏเกณฑ์กติกาที่ได้รับการเคารพและปฏิบัติ จึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างลงไปอยู่ในทอม
เมื่ออีก๑๕ปีก่อนหน้านี้(ก่อนสภาพที่เห็นในรูป)บริเวณรอบๆทอมไม่ได้เป็นที่โล่งอย่างที่เห็น แต่เต็มไปด้วยป่าสาคูและต้นเผียะ ในทอมเต็มไปด้วยหญ้าและผักตบชวา หญ้าขึ้นทับถมกันหนากว่า๑๐นิ้วขนาดที่ขึ้นไปเดินข้างบนได้ หลายๆปีจึงจะมีน้ำท่วมใหญ่สักครั้งหนึ่ง ชะเอาบรรดาสวะวัชพืชไปออกคลองอู่ตะเภาจนหมด นับเป็นการขจัดความรกร้างเสียครั้งหนึ่งโดยธรรมชาติ ได้ตั้งต้นใหม่กันอีกครั้งหนึ่งกับทอมที่ปราศจากวัชพืชและซากพืช
ปากทอม
ปากทอมเป็นส่วนของทอมที่ไปต่อกับพรุออก เป็นชื่อที่เรียกสืบต่อกันมา หากไม่รู้ประวัติก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่าปากทอม ในยุคก่อนที่จะมีการขุดลอกทอมจนมีสภาพอย่างที่เห็น ปากทอมเป็นพงรกเป็นที่อยู่และที่ทำรังของนกน้ำนาๆชนิด เช่นนกอีลุ้มและนกเจาเป็นต้น และยังเป็นที่อยู่ของมูสังและสัตว์ป่าอื่นๆที่เหลืออยู่ในตำบลแม่ทอม เป็นสภาพของหนองน้ำธรรมชาติมีความงดงามมาก ฟากตะวันออกเป็นที่ของหวะแหละบอง ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นที่ของตระกูลหวานวงค์ ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเพิ่งมาถูกถมเชื่อมกันสมัยเงินผัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการถมคลองให้เป็นถนนและขุดถนนให้เป็นคลองเพื่อการเอางบประมาณมาใช้
แหลมขลี
แหลมขลีเป็นชื่อในประวัติศาสตร์อีกชื่อหนึ่ง แต่เดิมเป็นที่ไร่ของลุงพุดและป้าเขียว หน้าน้ำจะปรากฏเป็นแหลมยื่นออกไปในพรุตรงปากทอม มีต้นขลีและต้นชุมแสงใหญ่อยู่ตรงปลายแหลม เป็นที่พักเหนื่อยของคนที่พายเรือไปตัดไม้เสม็ดจากพรุตกมาทำฟืน คนที่บ้านอยู่หนองหินเคยอาศัยเส้นทางนี้ในการขนข้าวไปสีที่โรงสีของตำบลในยุคที่ชาวแม่ทอมส่วนใหญ่ยังทำนาและปลูกข้าวกินเอง
พรุออก
จากปากทอมไปทางทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ๆที่เรียกกันว่าพรุออก(หรือพรุเฉยๆ) แนวป่าอีกฟากหนึ่งคือส่วนที่เรียกกันว่าโคก ก่อนปีพ.ศ.๒๕๒๐ไม่มีบ้านคนนอกจากส่วนที่ค่อนไปทางทิศใต้ ไม่มีถนน มีแต่ทางเดินเท้าลัดเลาะไปตามสวนรกร้าง ที่อาจะมียางพารา ต้นตาลและต้นมะพร้าวเป็นหลัก หลังเกี่ยวข้าวเสร็จทุ่งนาแถวๆนี้คือที่เลี้ยงวัว ซึ่งวัวจะถูกปล่อยให้ออกหากินเองโดยไม่มีการล่าม หน้าที่ของเด็กๆก็คือการตามหาและต้อนวัวกลับบ้านในตอนเย็น วัวจะหากินทั้งทางฝั่งพรุออกหรือข้ามไปทางฝั่งพรุตก ความจริงแล้วหน้าที่เลี้ยงวัวเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ของเด็กๆก็คือได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ และฟังนิทานจากผู้ใหญ่ตามใต้ร่มไม้  ผู้ใหญ่เล่าว่าเคยมีป่าเสม็ดอยู่ที่พรุออกตรงไกล้ๆสวนหลวงเหย็บ เรียกกันว่าเหม็ดเอียด (ป่าเสม็ดเล็ก) ซึ่งโดนถางกลายเป็นนาไปจนหมดเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ๆแถบนั้นจะตกมาถึงหลวงเหย็บ 
พรุตก
พรุตกคือแหล่งผจญภัยในหน้าร้อนของเด็กๆสมัยก่อน ถนนที่เห็นอยู่เพิ่งจะมาสร้างกันหลังปีพ.ศ.๒๕๒๐ ซึ่งบรรยากาศเก่าๆได้หายไปหมดแล้วหลังจากมีการตัดถนนไปบรรจบกับถนนสายหลักที่โคกพลา-นารังนกน้ำจากบ่อที่หลาตาวันเคยใสสะอาด สำหรับดื่มกินดับกระหายของบรรดาคาวบอยน้อยใหญ่ หากอยู่ค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ต้องไปบ่ออิฐถ้าหากใครต้องการน้ำดื่ม บ่ออิฐเป็นบ่อโบราณอยู่ริมพรุใกล้บ้านของบรรพบุรษของท่านอธิการถาวรอดีตเจ้าอาวาสวัดคูเต่า ตามลักษณะททางภูมิศาสตร์ พรุตกคงจะเคยเป็นป่าชายเลนและเคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบเมื่อยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานก็คือซากสัตว์ทะเลที่อยู่ในชั้นดินดำหากว่าขุดลงไปประมาณ๕-๑๐เมตร
เล่าต่อๆกันมาว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของพรุตกไปจนถึงบ้านหาร ท่าช้างและบางหยี เป็นตงต้นเสม็ด เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่ จึงมีการหักล้างถางป่าเสม็ดให้กลายเป็นที่ทำนา จวบจนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๐๐ ป่าเสม็ดซึ่งเป็นป่าสาธารณะก็ยังเป็นที่ส่วนใหญ่ของพรุตก กว้างใหญ่มากขนาดเด็กๆเข้าไปยิงนกแล้วหลงอยู่เป็นวันสองวันหาทางออกไม่ได้
มีชาวบ้านจำนวนมากได้ทำการบุกรุกโดยอ้างว่าเป็นที่"หัวดิน"หรือเขตที่ติดอยู่กับที่ดินของเขา ป่าเสม็ดที่เหลืออยู่บ้างในปัจจุบันจึงเป็นเพียงส่วนน้อยที่เหลืออยู่ จากที่เคยเป็นสมบัติสาธารณะ ตอนนี้กลายเป็นสมบัติส่วนบุคคล 

เขตป่าเขา
เขาสูงที่มองเห็นลิบๆอยู่ทางทิศตะวันตกของของพรุตกคือส่วนหนึ่งของเทือกเขาบรรทัดอยู่ในเขตอำเภอสะเดา หาดใหญ่และรัตภูมิ ยอดเขาทางขวาสุดอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐๐๐เมตรเรียกว่าเขาแก้ว ถัดมาทางด้านซ้ายคือเขตป่าเขาในพื้นที่อำเภอคลองหอยโข่ง และบ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาอำเภอหาดใหญ่ ในยุคที่การต่อสู้ระหว่างพคทและฝ่ายรัฐบาลเพิ่มความแหลมคมขึ้น การปะทะกันครั้งแรกได้เกิดขึ้นที่บ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งอยู่ห่างจากตำบลแม่ทอมแค่๒๐กิโลเมตร (ระยะทางกาบิน) การต่อสู้เกิดติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากแม่ทอมเป็นทางผ่านของเครื่องบินติดปืนจากฐานบินที่ตัวเมืองสงขลา หลังจากเครื่องบินๆผ่านไปชั่วครู่ ชาวแม่ทอมจะได้ยินเสียงปืนกลจากเขตที่มีการต่อสู้อย่างชัดเจน สร้างความตระหนกตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอันมาก เนื่องจากทางการได้โฆษณาว่าพคทคือผีร้ายและจะจับคนไปไถนาแทนวัว หลังจากเหตุการณ์วันที่๑๔ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ การเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายก็ออกมาจากที่มืดในบางส่วน คนจำนวนมากเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ฝ่ายซ้ายรุกหนักทั้งทางการเมืองและการทหาร พวกซ้ายส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนเริ่มซึมลึกในมหาวิทยาลัยทุกแห่ง รวมทั้งที่มอ ฝ่ายรัฐบาลใช้วิธีการปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ระบบเศรษกิจแบบสังคมนิยมก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ในการบริหารประเทศได้ ควรจะปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช้ผู้กุมอำนาจชิงตัดสินเสียเองเพราะกลัวเสียผลประโยชน์ จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๑๙พวกขวาจัดในส่วนกลางได้สร้างเงื่อนไขในการปราบปรามสำเร็จที่ธรรมศาสตร์ มีคนตายหลายพันคนรวมทั้งนักศึกษา นักศึกษามอส่วนหนึ่งที่ทำกิจกรรมการเมืองก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับในส่วนกลาง มีการบุกค้นหอพัก ห้องเรียน และที่ทำการองค์การนักศึกษา รวมทั้งติดตามจับกุมตัวนักทำกิจกรรมที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร นักศึกษามอหลายร้อยคนจึงหนีขึ้นเขาไปอยู่กับพคทที่ทุ่งตำเสาและพัทลุง กว่ารัฐบาลจะเข้าใจวิธีเอาชนะและออกกฏหมายนิรโทษกรรมก็หลายปีหลังจากนั้น ต้องล้มตายกันทั้งสองฝ่ายอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น การเมืองแท้ๆที่เป็นต้นเหตุ มีคนดีๆมากมายจากมอที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองให้กับความขัดแย้งทางความคิดและการต่อสู้ ขุนเขาที่เห็นตั้งทะมึนอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่ทอมคือที่ฝังศพของเขาเหล่านั้น 

เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง แท้ที่จริงนักศึกษาทั้งหมดเป็นพวกแสวงหาสัจจธรรมและควาถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่คนยากคนจนที่ถูกกดขี่ขูดรีดที่ต้องต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย แต่หลังจากที่เขาได้ศึกษาปรัชญาการเมืองของมาร์ก-เลนิน-เหมา ทำให้เขาคิดไปว่านั่นคือสัจจธรรมสูงสุดสำหรับมวลมนุษย์ เนื่องจากทฤษฏีทางการเมืองสาขานี้ได้นำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์และปรัชญามาใช้อย่างเป็นระบบ เช่นมาร์ก-เลนินใช้ Dialectical Materialismในการวิเคราะห์สังคม ระบบการวิเคราะห์แบบDialecticนั้นใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรีกและอินเดียโบราณ พระพุทธเจ้าเองก็ใช้กฏเกณฑ์เดียวกันในการนำไปสู่การตรัสรู้ (การมองสรรพสิ่งให้เห็นถึงสภาพที่เป็นจริง) เป็นที่น่าเสียดายว่าฝรั่งไม่ค่อยจะเข้าใจปรัชญาตะวันออกถึงขั้นลึกซึ้งเขาจึงใช้ปรัชญาที่เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของเขาในการคิดและวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งเป็นการมองออกไปที่วัตถุเป็นด้านหลัก ในขณะที่ปรัชญาตะวันออกมองไปทั้งที่จิตและวัตถุแต่ถือว่าจิตเป็นใหญ่ เหมาก็มีอคติกับความคิดเก่าในสังคมจีนคือลัทธิเต๋าและพุทธฝ่ายมหายานจนพลาดที่จะเห็นของดีในอารยธรรมตะวันออก หาไม่เช่นนั้นแล้วโลกเราคงจะพัฒนาไปไกลกว่าปัจจุบันมากโดยเฉพาะทางด้านจิตใจและจริยศาสตร์ เพราะความรู้สุดยอดที่แท้จริงที่ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างทั่วถ้วนนั้นพระพุทธเจ้าได้ค้นพบเอาไว้นานกว่าสองพันปี แต่มีน้อยคนที่จะเข้าใจแม้กระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ เนื่องจากเป็นเรื่องลึกซึ้งและอาศัยสติปัญญาเป็นอย่างมากในการสัมผัส ท่านพุทธทาสได้ศึกษาและสรุปเอาไว้ในคำบรรยายสั้นๆที่ชื่อ "ใจความทังหมดของพระพุทธศาสนา"หรือ"แก่นพุทธศาสน์" สามราถอ่านได้ที่ลิ้งค์ข้างล่าง

07 มีนาคม 2553

ผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม

     แม่ทอมสมัยก่อนถึงแม้ว่าจะมีความกันดาร ห่างไกลความเจริญของเมืองและดูเหมือนว่าเป็นตำบลที่โลกลืม แต่ชาวแม่ทอมหลายคนที่ไปเรียนต่อในเมืองก็โม้ให้คนที่ไม่เคยมาหรือรู้จักแม่ทอมฟังกึ่งขบขัน จนคนฟังหลายๆคนที่เส้นตื้นหน่อยเชื่อสนิท เช่นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านกำนันเจือซึ่งไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯโม้ให้พระและเณรที่วัดฉัตรแก้วฯซึ่งแกไปพักอยู่ว่าอันตำบลแม่ทอมอันเป็นบ้านเกิดของแกนั้นชาวบ้านมีอาชีพปลูกแอปเปิล ซึ่งความจริงก็คือฝรั่งหรือชมพู่หรือย่าหมูที่ชาวปักษ์ใต้เรียกกันแต่แกเอาไปโม้ให้เป็นแอปเปิ้ล เนื่องจากแอปเปิ้ลที่ขายในกรุงเทพฯนั้นส่วนหนึ่งเป็นของหนีภาษีที่เข้ามาทางมาเลย์เซียและคนกรุงเทพฯเวลามาหาดใหญ่หรือคนหาดใหญ่ไปกรุงเทพฯของที่ซื้อไปฝากคนกรุงเทพฯก็คือแอปเปิ้ล คนฟังจึงเชื่อสนิทว่าเขาปลูกกันที่หาดใหญ่ เมื่อมีคนเชื่อ คนเล่าก็โม้ต่ออย่างไม่ต้องยั้ง ว่าเนื่องจากแอปเปิ้ลจากแม่ทอมขายดีไปทั่วโลก กิจการทำสวนแอปเปิ้ลของชาวแม่ทอมจึงทำให้ชาวแม่ทอมอยู่ดีกินดีและร่ำรวยกันถ้วนหน้า สายการบินทุกสายที่บินจากสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงเทพฯต้องบินผ่านแม่ทอม ซึ่งจริงๆแล้วก็คือบินผ่านแต่ไม่ได้ลงจอด สมัยนั้นยังไม่มีสนามบินหาดใหญ่ด้วยซ้ำไป ทีแรกคนโม้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้คนฟังเชื่อ เพราะเป็นการโม้ชนิดเป็นไปไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนเชื่อเสียสนิทจนได้

เด็กๆในแม่ทอมแหงนหน้าคอตั้งบ่าเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินไอพ่น พยายามจะมองหาว่าตัวเครื่องบินอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากเครื่องบินบินสูงมาก กว่าเสียงจะลงมาถึงเครื่องบินก็บินไปจนไกลลิบ เห็นแต่ขนาดเท่านิ้วก้อย มีการตั้งคำถามว่าคนโดยสารนั้นขี่ส่วนไหนของเครื่องบิน จะอยู่ข้างในหรือนั่งคร่อมไปบนหลังแบบขี่วัวขี่ควาย หลายๆคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าก็เห็นชัดๆว่ามันมีขนาดเท่านิ้วก้อยแล้วคนจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร กำนันเจือผู้รอบรู้ก็ให้ความกระจ่างว่า เขาย่อตัวคนให้เล็กลงก่อนที่จะเข้าไปในลำของเครื่องบิน เด็กๆต่างก็ร้องอ๋อว่ามันเป็นเช่นนี้เอง กำนันเจือยังบอกอีกว่า เครื่องบินนั้นต้องบินอย่างระวังเวลาจะบินเข้าไปในก้อนเมฆ เพราะอาจจะไปชนเอาวิมารของเทวดาเข้า บางคนสงสัยว่าเครื่องมันบินขึ้นได้อย่างไร คนขึ้นไปนั่งตอนไหน และ ฯลฯ ที่ยิ่งทำให้สับสนไปกว่านั้น เพราะบางคนไปได้ยินมาเรื่องการกระโดดร่มของทหารที่มาโชว์ที่หาดใหญ่ ก็เลยคิดกันไปว่าคนโดยสารเครื่องบินเวลาจะลงจากเครื่องก็ต้องกระโดดร่ม มีคนไปดูแล้วกลับมาเล่า เพื่อให้เห็นภาพพจน์ คนเล่าจึงบอกว่าร่มชูชีพนั้นทำด้วยผ้า เวลาลอยลงมาก็ลงช้าๆ คนกระโดดจึงไม่เจ็บ เนื่องจากร่มกันฝนที่ใช้กันอยู่ในหมู่บ้านนั้นมีอยู่สองชนิด คือร่มกระดาษและร่มผ้า กำนันเจือและหลวงนิดลูกลุงสีอินจึงไปหาร่มผ้ากันฝนมาคันหนึ่งเพื่อทดสอบการกระโดดร่ม หลวงนิดปีนขึ้นไปบนต้นยางในสวนของบังหละทอมตก (ตอนนี้คือสวนครูหลุบอยู่เยื้องกับที่ทำการอบตในปัจจุบัน) หลวงนิดเที่ยวเดินง่อยอยู่หลายวัน ส่วนร่มหรุบขึ้นข้างบนพังพินาศ

หลังจากที่มีความพิศวงในเรื่องเครื่องบินมาเป็นเวลานาน ในที่สุดความฝันของเด็กๆก็เป็นความจริง วันหนึ่งประมาณเดือนธันวาคมปีพ.ศ.๒๕๑๒ น้ำกำลังหลากท่วมไปทั่วแม่ทอมตามปกติ พ่อหลวงเส้งออกไปหาหญ้ามาให้วัวที่ใกล้ๆหลนองแบน(หนองแบบนเป็น หนึ่งใน๔หนองน้ำ ที่เหลือคือหนองปลาตาย หนองขอน และ หนองโคลน)ฝั่งพรุตก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสวนตัวอย่างหลวงเหย็บในปัจุบัน จู่ๆแกก็เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินมาในระดับต่ำมาก ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ก่อนที่จะตั้งสติได้แกก็ได้ยินเสียงตูมใหญ่ตรงหนองแบนเพราะเครื่องบินทั้งลำได้ปักหัวลงไปในหนอง ต้นข้าวต้นหญ้าและน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หลายนาทีผ่านไปพ่อหลวงเส้งยังอยู่ในสภาพช็อคทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งว่ายน้ำออกมาจากจุดที่เครื่องบินตกพร้อมทั้งเรียกให้ช่วย พ่อหลวงเส้งจึงได้สติและรีบเข้าไปช่วย ชายคนดังกล่าวใส่ชุดทหารอากาศ และขอให้แกพาไปบ้านกำนัน พ่อหลวงเส้งจึงพาขึ้นเรือถ่อไปบ้านกำนันพ่วง ซึ่งในตอนนั้นมีวิทยุสื่อสารประจำตำบล ในขณะที่นักบินกำลังวิทยุติดต่อกับต้นสังกัดผ่านอำเภอ พ่อหลวงเส้งวิ่งไปบอกบ้านนั้นบ้านนี้ว่าจรวดตกที่หนองแบนให้ไปดูกัน ภายในเวลาไม่กี่นาที ข่าวก็แพร่ไปทั้ง๖หมู่บ้านว่าจรวดได้ตกลงมาที่หนองแบน หนึ่งชั่วโมงต่อมาที่โคกซึ่งอยู่ระหว่างทอมตกและทอมออกใกล้จุดที่จรวดของพ่อหลวงเส้งตกจึงคลาคล่ำไปด้วยไทยและแขกมุงหลายร้อยคน หน่วยต้นสังกัดของเครื่องบินลำดังกล่าวได้ส่งเฮลีค็อปเตอร์มาลงที่โคก ก็เลยได้รู้กันว่าจรวดที่พ่อหลวงเส้งบอกใครๆในตอนแรกนั้นแท้ที่จริงคือเครื่องบินตรวจการหนึ่งเครื่องยนต์ สองที่นั่งที่เกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องและจำเป็นต้องลงฉุกเฉิน

หน่วยการบินที่อำเภอเมืองสงขลาวางแผนที่จะกู้เครื่องบินลำดังกล่าวกลับฐาน เนื่องจากไม่มีทางรถจะเข้าไปถึงจุดที่ไกล้จุดที่ตก เรือที่เข้าไปได้คือเรือถ่อ ทางเดียวที่จะนำเครื่องบินกลับฐานคือถอดแยกออกเป็นส่วนๆแล้วเอาฮ.ขนาดใหญ่มาลำเลียงกลับไป ปัญหาแรกสุดก็คือต้องเอาเครื่องจากในหนองขึ้นมาอยู่บนโคกก่อน ฟังดูก็ท่าจะหนักหนาเอาการอยู่เพราะไม่มีเครื่องจักรที่จะนำเข้าไปได้ หลายวันถัดมา จำนวนคนที่แห่มาดูจากทั้งตำบลแม่ทอมและตำบลไกล้เคียงเพิ่มจำนวนจากร้อยเป็นพันในวันหนึ่งๆ คนมาดูแต่ก็ไม่เห็นเครื่องบินที่ยังอยู่ในหนองกไกลออกไปกลางทุ่ง จึงเกิดความคิดว่าเอาแรงคนที่มาดูนั่นหละช่วยกันฉุดลากเรื่องบินขึ้นมาจากหนองเอามาไว้บนโคก ทางฐานบินสงขลาได้ส่งเชือกสำหรับลากมาให้ หลังจากพยายามกันอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ลากเครื่องขึ้นมาอยู่บนโคกได้สำเร็จ เครื่องบินยังอยู่ในสภาพเกือบปกติ เพราะโชคดีที่จุดตกนั้นน้ำลึกมาก คนที่มาดูเครื่องบินในแต่ละวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

นับเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าทางฐานบินจะจัดการหาเครื่องฮ.ขนาดใหญ่มาจากหน่วยอื่นเพื่อทำการขนย้ายได้ ทางฐานบินมีการมาสร้างเต๊นท์ให้ทหารที่ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่เฝ้าเครื่องและจัดการอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาคนอยากเห็นและนั่งเครื่องบิน มีการจัดคิวให้คนที่มาขึ้นลองนั่งทั้งวัน มีแม่ค้านำของกินมาขายกันให้เป็นที่เอิกเกริกเมือนมีงานมหกรรม บังเหล็มเวียนเทียนขี่เครื่องบินอยู่เป็นสิบๆรอบ นั่งทีไรขาลงก็มีชิ้นส่วนในห้องนักบินติดมือลงมาทุกทีที่ละชิ้นสองชิ้น จนเขาจับได้และขอคืนไปจนหมด เนื่องจากระยะเวลาเป็นเดือนกว่าจะเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนน้อยใหญ่กลับฐานได้หมด ทหารหน่วยที่มาเฝ้าเครื่องและจัดการสิบกว่าคนกับชาวบ้านก็กลายเป็นเพื่อนสนิท เมาหวากท้องถิ่นผสมเหล้าโรงที่มากับเสบียงที่ฮ.มาส่งวันละสองเวลา เมื่อวันสุดท้ายจึงมีแต่บรรยากาศเศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์กันทั้งสองฝ่าย

ตลอดเวลาที่หน่วยรักษาการมาอยู่ ลุงสีอินค่อนข้างที่จะเข้าติดและเอาอกเอาใจหัวหน้าหน่วยเป็นพิเศษจนออกหน้าออกตา แกมักจะพาหัวหน้าหน่วยไปกินหวากที่บ้านเพราะแกคาบตาลเอง หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าสงสัยแกหวังจะได้ลูกเขยทหารอากาศ แต่ลุงอินก็ไม่เคยเผยไต๋ให้ใครรู้ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่หน่วยรักษาการจะถอนกำลังกลับ ฮ.บินมารับที่โคก ใครๆต่างก็ประหลาดใจที่เห็นลุงอินแต่ตัวต้วยชุดภูมิฐานที่สุดของแก คือกางเกงขาสั้นตัวใหม่เอี่ยมและเสื้อลายตัวงาม เดินตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นไปขึ้นเครื่องฮ.พร้อมๆกับหน่วยรักษาการณ์ ใครๆก็เลยถึงบางอ้อว่าลุงอินพยายามตีสนิทกับหัวหน้าหน่วยเพื่ออะไร เท่าที่รู้แกคือชาวแม่ทอมคนแรกที่ได้นั่งฮ.และเห็นตำบลแม่ทอมจากกลางอากาศ เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมเขื่องของลุงอินมาตลอดแกคุยแล้วคุยอีก กำนันเจือได้ยกย่องให้ลุงอินและหลวงนิดสองพ่อลูกเป็นผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม

28 กุมภาพันธ์ 2553

แป๊ะเซี่ยง

    หากจะพูดถึงโรงเรียนบ้านแม่ทอมและโรงเรียนวัดคูเต่าโดยที่ไม่พูดถึงแป๊ะเซี่ยง ก็เหมือนกับว่าจะไม่ครบเครื่อง เพราะแป๊ะเซี่ยงคือคนที่รับผิดชอบเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะรับผิดชอบและยุ่งด้วยในโรงเรียนซึ่งเป็นภาระที่หนักหนาเอาการ หน้าที่นั้นก็คือภารโรง แป๊ะเซี่ยงบ้านอยู่ท่าคูเต่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแกมีคุณสมบัติอะไรที่ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ และก็ไม่รู้ว่าแกเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอจำความได้ก็เห็นแป๊ะเซี่ยงอยู่ในหน้าที่นี้เรียบร้อยแล้ว งานหลักของแกก็คือ ตักน้ำมาใส่โอ่งไว้ให้เด็กกิน ขนน้ำเข้าห้องส้วมไว้ให้ครูใช้ล้างก้นและราดส้วม เด็กไม่ได้พลอยใช้ด้วยหรอกเพราะส้วมในระยะแรกๆมีเอาไว้ให้ครูเท่านั้น เด็กต้องวิ่งออกไปปล่อยในป่า นอกนั้นแล้วแกก็มีหน้าที่ปลูกและรักษาต้นไม้ดอกไม้รอบๆ โรงเรียน กวาดขยะและสุดแล้วแต่บรรดาครูจะเรียกใช้ แกจะนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีและใส่เสื้อขาวแก่ซึ่งสีออกไปทางดำๆเหมือนของเด็กนักเรียนเพราะฤทธิ์เหงื่อเพราะแกมีอยู่ชุดเดียวและต้องใส่ทุกวัน ทำไมถึงต้องเป็นกางเกงขาสั้นสีกากีและเสื้อขาว? สงสัยว่าเป็นเครื่องแบบภารโรงที่ครูนพกำหนดขึ้นเพื่อให้ดูต่างจากครูซึ่งใส่กางเกงขายาว


ถ้าเป็นวันธรรมดา แป๊ะเซี่ยงจะมาถึงโรงเรียนก่อนใครๆเพื่อเปิดประตูและหน้าต่าง แต่ถ้าเป็นวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันพิเศษเพราะเป็นวันที่มีตลาดนัด แกจะมาถึงเช้ากว่าปกติ หลังจากเปิดประตูหน้าต่างโรงเรียนเสร็จเรียบร้อย แกจะรีบไปที่ตลาดนัดเพื่อหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างตัดผม ส่วนเช้าวันธรรมดาก่อนเข้าเรียนแกจะรับตัดให้เด็กๆนักเรียน แต่หากเป็นเช้าวันพฤหัสก็จะตัดให้กับลูกค้าทั่วไป เด็กๆชอบไปตัดผมกับแป๊ะเซี่ยงเพราะแกจะเล่านิทานในขณะที่ตัดผม ที่เพิงตัดผมของแกจึงมีเด็กๆเต็มทุกวัน ทั้งที่ไปตัดผมและที่ไปพลอยฟังนิทาน ซึ่งนิทานของแกส่วนใหญ่เป็นเรื่องจากหนังตะลุง หนังกลางแปลง และนิทานอีสปที่เล่าแล้วเล่าอีกซ้ำๆซากๆเพราะมี่ที่แกจำได้อยู่ไม่กี่เรื่อง

     ลูกสาวคนโตของแป๊ะเซี่ยงชื่อดีกำลังแตกเนื้อสาว ไม่ใช่จะแกล้งว่า แต่แกค่อนไปทางโหมละมากกว่าสวย แกคั่วลูกกอขายเด็กตอนพักกลางวัน เด็กๆเรียกแกว่าฉีดี ครูจิตรเป็นครูหนุ่มที่เพิ่งได้รับการบรรจุมาใหม่ บ้านของครูจิตรอยู่ที่น้ำน้อย แกไปเช้าเย็นกลับโดยขี่รถจักรยานไปมาทางเกาะหมี-ทุ่งปาบ-นารังนก แรกๆครูจิตรก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉีดี เที่ยงๆแกก็ไปนั่งขบลูกกอที่เพิงของฉีดี แต่ฉีดีคิดว่าครูจิตรมาชอบแก ฉีดีเริ่มจีบครูจิตรอย่างออกหน้าออกตา ตามจีบอย่างไม่เกรงใจใคร แป๊ะเซี่ยงก็พลอยสนับสนุนหวังได้ลูกเขยครู จากที่เคยไปนั่งขบลูกกอคั่วตอนเที่ยงๆ ครูจิตรต้องหลบหน้าไม่ยอมโผล่ไปที่บริเวณที่แม่ค้ามาขายของตอนพักกลางวันอีก ประจวบกับครูจิตรโดนเสือหิวแถวๆทุ่งปาบปล้นเอารถจักรยานของแกไป ครูจิตรจึงจำเป็นต้องพักที่วัดคูเต่าอยู่พักหนึ่ง เล่ากันว่าคืนหนึ่งฉีดีบุกกุฎิครูจิตรและครูจิตรต้องปีนหนีออกทางหน้าต่างก่อนที่จะต้องปราชิกหรือโดนชาวบ้านขี้อิจฉาและล้อมกุฏิเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าอาวาสในยุคนี้

     พูดถึงข้าวเที่ยง ตอนโรงเรียนพักกลางวัน เด็กๆส่วนหนึ่งที่เอาข้าวห่อมาก็จะไปหาที่กินข้าว ส่วนใหญ่ก็ตามใต้ต้นไม้หรือไม่ก็ในบริเวณวัด มีคนเอาของมาขายเหมือนกัน แต่มีเด็กอยู่ไม่มากนักที่มีสตางค์พอที่จะซื้อกินได้หนึ่งอิ่ม ขนมโคตรบองของยายเห้งอันละสลึงทำด้วยข้าวเหลือจากวัด น้ำหวานถุงละสลึงดูดเฮือกเดียวหมด ข้าวยำจานละสลึงช้อนสองทีหมดจาน ข้าวแกงจานละห้าสิบสตางค์มีมันขี้หนูสองสามหัวและน้ำแกง เนื้อชิ้นน้อยๆหนึ่งชิ้นหากโชคดี จะขายแพงกว่านี้ก็ไม่มีใครมีสตางค์ซื้อ คนขายก็ไม่รู้จะขายใคร ที่ขายกันไปได้เพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นของจากในสวน ส่วนครูนั้นจะกินจานละบาท เห็นข้าวจานละบาทที่ขายครูแล้วอิจฉา จานใหญ่กว่าและขายให้เฉพาะครูเท่านั้น หากเพิ่มอีกห้าสิบสตางค์ก็จะได้ไข่หนึ่งซีกด้วย คนขายข้าวแกงและข้าวยำคือป้าถั้นซึ่งเป็นเมียแป๊ะเซี่ยง จานละบาทนี่ไม่มีเด็กกินเพราะเกินงบประมาณ เด็กส่วนใหญ่หากได้สตางค์ไปโรงเรียนก็คือหนึ่งสลึง ห้าสิบสตางค์มีบ้างก็คือลูกครู ส่วนบังเป็นขาข้าวยำหากวันไหนไม่มีข้าวห่อ เช้าๆตอนเดินไปโรงเรียนก็เก็บผักเหนาะข้างทางไปด้วยเช่น ยอดหมุยและใบพาหมเป็นต้นเพื่อที่จะได้เอาออกมากินเป็นหมวดข้าวยำในตอนเที่ยงซึ่งช่วยให้อยู่ท้องขึ้นอีกเล็กน้อย หมวดชุดพิเศษนี้จะกินให้คนเห็นก็ไม่ได้ ต้องแอบกินเพราะตดกลิ่นพาหมเหม็นอย่างร้ายกาจจนครูสั่งห้ามป้าถั้นไม่ให้เอาพาหมมาทำหมวดข้าวยำขายที่โรงเรียน

      การโดนหวดด้วยไม้เรียวเป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักเรียนเมื่อครั้งกระโน้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็โดนหวดยันเต มีการหาหวายและไม้นมแมวมาไว้ที่โรงเรียนเป็นมัดๆเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ที่ตีเพื่อสั่งสอนให้หลาบจำก็มี ที่ตีตามอารณ์ปุถุชนที่ไร้เหตุผลของครูก็มีบ้าง ในบางครั้งพ่อเด็กแบกปืนลูกซองไปเจรจากับครูขี้โมโหที่โรงเรียนก็เคยมีตัวอย่าง แป๊ะเซี่ยงได้ถ่ายทอดคาถาให้เด็กๆไว้ท่องตอนโดนตี เล่าลือกันว่าชะงัดมาก ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นกำนันเจือ ซึ่งว่ากันว่ากำนันเจือยังใช้อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ใช้เป็นคาถามหาละลวยแทน จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ดูผลงานของท่านกำนันเอาเอง คาถานี้ได้มีการใช้สืบต่อกันมาหลายๆรุ่นหลังจากนั้น คาถามีอยู่สามพยางค์ "อึ-มึ-ทึ" วิธีใช้เมื่อโดนหวดต้องหลับตานึกถึงแป๊ะเซี่ยง กลั้นใจแล้วบริกรรมในใจให้เร็วที่สุด หากทำได้ถูกต้องโดนตีเท่าไหร่ก็จะไม่มีความเจ็บปวด อันคาถานี้ไม่ได้รู้กันแต่เฉพาะในหมู่เด็ก แต่ครูก็รู้เหมือนกัน ดังนั้นเวลาครูเจริญจะหวดใครแกก็จะชิงว่าเสียเอง...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...ควั้บที่ตามมาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคาถา แต่เป็นเสียงไม้เรียวกระทบก้น...

16 กุมภาพันธ์ 2553

โรงเรียนบ้านแม่ทอม

   ในแถบตำบลคูเต่าและแม่ทอมเมื่อประมาณก่อนปีพ.ศ.๒๔๖๐ โรงเรียนเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่คือโรงเรียนโคกคา มีนักเรียนไม่กี่คนและครูหนึ่งคนซึ่งสอนทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นป.๑ถึงป.๔ เนื่องจากบริเวณที่เรียกว่าโคกคาในสมัยโน้นเป็นที่ห่างไกลสำหรับทุกคน ชาวบ้านจึงตกลงกันที่จะย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่วัดคูเต่าซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนทั้งสองตำบล รวมทั้งวัดคูเต่าเป็นวัดใหญ่และสะดวกในเรื่องการคมนาคมเนื่องจากสมัยโน้นคลองอู่ตะเภาเป็นเส้นทางหลักในการไปมาหาสู่กับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทางเหนือน้ำคือเมืองหาดใหญ่ หรือเมืองสงขลาซึ่งไปทางใต้น้ำและทะเลสาบ อาคารเรียนหลังแรกคืออาคารที่อยู่ตรงเชิงสะพานแขวนที่เชื่อมกับตำบลคูเต่า

อาคารหลังนี้ได้ถูกรื้อถอนเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ หรือเมื่อเดือนที่แล้ว รายชื่อครูใหญ่รุ่นเก่าของโรงเรียนวัดคูเต่า
  1. นายเดช จรัสพันธุ์  ๒๔๕๙-๒๔๖๕
  2. นายอุไร สุมาลย์สิงห์ ๒๔๖๕-๒๔๖๖
  3. นายสอน สุวรรณวงค์ ๒๔๖๖-๒๔๖๘
  4. นายผัน วิริยะสมบัติ ๒๔๖๘-๒๔๖๙
  5. นายสุทธิ บัวลอย ๒๔๖๙-๒๔๗๐
  6. นายนพ บัวทอง ๒๔๗๐-๒๕๑๑
  7. นายทวีป บัวทอง ๒๕๑๒-๒๕๒๕
ครูนพ บัวทองคือหนึ่งในบรรดาครูรุ่นแรกๆ เนื่องจากครูคนอื่นๆอยุ่กันในระยะเวลาสั้นๆ ครูนพจึงเป็นครูคนเดียวที่ใครๆจำได้ นักเรียนรุ่นแรกๆน่าจะเป็นรุ่นครูเพิ่ม (พ่อครูสมพิณ) ครูแก้ว (พ่อครูออด)และครูคนอื่นๆที่อายุไล่เรี่ยกันซึ่งได้กลับมาเป็นครูต่อตามโรงเรียนต่างๆในตำบลในระยะต่อมา เนื่องจากการศึกษาภาคบังคับให้เด็กทุกคนจบอย่างน้อยชั้นป.๔ เป็นผลจากพระราชบัญญัติประถมศึกษาปีพ.ศ.๒๔๗๘ ซึ่งกำหนดให้เด็กที่อายุครบ๘ปีต้องไปเข้าเรียนชั้นป.๑ เนื่องจากการบังคับตามกฎหมายยังไม่เข้มงวด การส่งลูกเข้าโรงเรียนยังเป็นเรื่องความสมัครใจของพ่อแม่และเด็กแต่ละคน จำนวนคนเรียนจึงมีไม่มาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมองว่า"เรียนก็ชาม ไม่เรียนก็ชาม" เอาลูกไว้ช่วยไถนาและทำงานบ้านจะได้ประโยชน์กว่า ครูจึงมีการไปเกณฑ์เด็กมาเข้าโรงเรียน จนกลายเป็นเรื่องวิวาทกันระหว่างครูกับผู้ปกครองอยู่เนืองๆ เด็กที่ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลยจึงมีมาก และที่มาเริ่มแต่อยู่ไม่ถึงป.๔ก็มีเยอะ ที่เรียนจนจบป.๔จึงมีน้อยเต็มที จบแล้วสักพักหนึ่งก็อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เพราะลืมหมด ปีทั้งปีไม่เคยได้อ่านได้เขียน แถมไม่มีหนังสือให้ได้อ่าน จะมีบ้างก็คือเศษกระดาษที่มากับห่อเคย(กะปิ) จะอ่านก็ไม่ถนัดเพราะว่ามันเหม็น ชาวแม่ทอมที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้การศึกษากับตัวเองโดยการอ่านกระดาษห่อเคยคือพ่อหลวงเส้ง(พ่อครูหลุบ) แกมักจะมีเรื่องมาเล่าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่แกอ่านมาจากเศษกระดาษที่หล่นปลิวอยู่ที่ตลาดนัดคูเต่าหรือกระดาษห่อของห่อเคยแล้วแต่ว่าจะหยิบได้

เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๔๙๕ได้มีการสร้างอาคารเรียนแห่งใหม่ขึ้นทางด้านทิศใต้ของบริเวณวัดคูเต่า (อาคารนี้มีลักษณะเป็นรูปตัว L) หลังจากทางการประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปีพ.ศ.๒๕๐๓ โรงเรียนวัดคูเต่ามีการขยายการเรียนการสอนจากระดับสูงสุดป.๔เป็น ป.๗ อาคารหลังเก่าที่เชิงสะพานก็ยังมีการใช้งานอยู่เป็นครั้งคราว เช่นเวลาหน้าน้ำ เนื่องจากที่ไหม่ที่ย้ายไปเป็นที่ลุ่ม อาคารใหม่มีการยกพื้นจนพ้นระดับน้ำโดยอาศัยสถิติของระดับน้ำโดยเฉลี่ยในแต่ละปี แต่อาคารเรียนชั่วคราวของชั้นป.๑นั้นจะมีน้ำเกือบถึงเอว จึงต้องไปพึ่งอาคารเรียนหลังเก่าและโรงธรรมตลอดหน้าฝน ในช่วงที่น้ำขึ้นสูงสุด โรงเรียนมักจะจำเป็นต้องปิดสองหรือสามสัปดาห์แทบทุกปีเพราะเด็กไปโรงเรียนไม่ได้ เนื่องจากระดับน้ำบนถนนบางช่วงสูงกว่าระดับกางเกง ในช่วงปีพ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๕มีครูประจำหลายคนเช่น ครูนพ บัวทอง (ครูใหญ่) ครูวีระ เถาสุวรรณ ครูกันยา แก้วชูชื่น (ครูกล้ำ) ครูเจริญ สังขกุล ครูสงวน สุวรรณวงค์ ครูดุสิต แสงดี ครูเขื้อม เพชรสุวรรณ ครูมานะ สวัสดิกานนท์ ครูวัน รัตนชัย ครูชูศรี โสธะโร ครูจิตร เจริญดี ครูวิภาภร อนุภักดิ์ ครูอุทุมพร สังคหะ ครูกุศล มาลากุล ครูสุจินต์ และครูหลุบ ครูสมพิณ ครูหลายคนไม่ได้อยู่นานจึงอาจจะดูเเหมือนว่ามีครูมากมาย แต่จริงๆแล้วมีอยู่ไม่เกิน๘คนในแต่ละช่วง

ประมาณปีพ.ศ.๒๕๑๐โดยการนำของครูนพ มีการเรี่ยไรรวบรวมเงินจากชาวตำบลแม่ทอมเพื่อซื้อที่ดินเป็นที่สร้างโรงเรียนแห่งใหม่ บริเวณที่เหมาะสมและได้รับเลือกคือที่ๆที่ชาวบ้านเรียกกันว่า"สวนป่ากลาง" ซึ่งเป็นบริเวณนาและสวนที่มีป่ารกทึบอยู่ตรงกลาง เป็นที่อยู่ของมูสัง ลิงป่าและงูใหญ่นาๆชนิด เป็นที่ดินของชาวตระกูลสังฆโณ พื้นที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง นอกจากจะเป็นป่ารกเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังเต็มไปด้วยจอมปลวก และที่ลุ่มน้ำขัง กว่าจะปราบพื้นที่ได้ราบเรียบก็ใช้เวลาหลายปี ซึ่งทั้งหมดไม่ได้อาศัยเครื่องจักรแม้แต่น้อย การปราบพื้นที่เป็นไปด้วยแรงคนล้วนๆอาศัยพร้า ขวาน เลื่อย จอบ และเสียม


ประมาณปีพ.ศ.๒๕๑๓ อาคารเรียนก็แล้วเสร็จ และมีการย้ายโรงเรียนอย่างเป็นทางการจากวัดคูเต่ามาที่ๆแห่งใหม่ จากโรงเรียนวัดคูเต่าก็กลายมาเป็นโรงเรียนนบ้านแม่ทอม สภาพพื้นที่ยังไม่สม่ำเสมอนัก บางส่วนยังเป็นที่นา ชาวบ้านยังคงช่วยกันอน่างขยันขันแข็งที่จะพัฒนาพื้นที่ มีการสร้างบ้านพักครูหลังแรก ซึ่งดูเหมือนว่าบ้านที่ได้มาใช้แค่๑ใน๔ของงบประมาณที่ได้รับ วัสดุที่ใช่ก่อสร้างและฝีมือแทบจะพอๆกับที่ชาวบ้านทำขนำ ส่วนที่ไม่ได้รับแต่หายไปคือส่วนที่ชาวบ้านและโรงเรียนไม่อาจจะเข้าใจและตรวจสอบได้เพราะเกิดขึ้นในระดับจังหวัด ชาวบ้านมาเห็นตัวบ้านเมื่อทำเสร็จต่างก็พากันสาปแช่งกันทั่วถ้วน ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ครูวันประกาศว่าจะย้ายมาอยู่เป็นคนแรกทั้งๆที่บ้านตัวเองอยู่ห่างไปแต่๑กม. ครูวันเลยโดนเขม่นโดยคนที่ไม่พอใจสภาพของบ้านและไม่รู้จะระบายกับใคร การที่ครูวันจะเข้าอยู่ในบ้านหลังนั้นจึงกลายเป็นเป้าระบายความหงุดหงิดของเจ้าถิ่นหลายๆคน วันแรกที่ครูวันใขกุญแจบ้านพักครูหลังใหม่เพื่อขนของเข้า แกจึงแทบจะลมใส่ เพราะเจอส้วมใหม่เอี่ยมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน มีคนไปอึใส่ไว้จนล้นคอห่าน แถมเรี่ยราดเอาไว้ทั่วห้องน้ำ ประมาณกันว่ามีผู้ปฎิบัติการอย่างน้อย๓คนและใช้เวลาอย่างน้อย๓วันจึงได้ปริมาณมากพอที่ทำให้ครูวันแค้นจัดและพยายามสืบอยู่เป็นปี แต่ดูเหมือนว่าจะหาหลักฐานอะไรไม่ได้นอกจากกองขี้ หลายปีผ่านไปเรื่องนี้ก็ยังไม่หมดกลิ่น กลายเป็นตำนานของโรงเรียนบ้านแม่ทอม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครูวันหาตัวคนขี้ใส่บ้านเจอหรือเปล่าและไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหาเจอแล้วแกจะทำอย่างไร


06 กุมภาพันธ์ 2553

ก๋วยเตี๋ยว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วบังเคยถามคนจีนที่รู้ภาษาจีนหลายคน ทั้งจากไต้หวัน ฮ่องกง และแผ่นดินใหญ่เกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวแต่ก็ไม่มีใครรู้จัก ทีแรกคิดว่าออกเสียงไม่ถูก เขาจึงฟังไม่รู้เรื่อง อุตส่าห์พยายามผันตั้งแต่ไม้เอก โท ตรีและจัตวา จนครบก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบังเหล็มพยายามพูดถึงอะไร มารู้ทีหลังว่าก๋วยเตี่ยวเป็นภาษาแต้จิ๋ว ให้พยายามจนปากฉีกก็ไม่มีใครฟังรู้เรื่องหากจีนคนนั้นไม่รู้ภาษาแต้จิ๋ว
ความวิจิตรพิศดารและวิวัฒนาการของก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวจีนอีกต่อไป ของชาวจีนเหลืออยู่แต่ก๋วยเตี๋ยวผัดเขละๆเหมือนแป้งเปียกเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับกลายเป็นชาวไทยและญวนที่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลก ก๋วยเตี๋ยวสูตรไทยนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เนื้อสดเนื้อเปื่อย น้ำไส เย็นเตาไฟ และฯลฯ ที่ดังระเบิดไปทั่วโลกก็คือมาม่า ส่วนของชาวญวนนั้นเรียกกันว่าเฝอ(pho) มีลักษณะคล้ายๆของไทย แต่มีเอกลักษณ์เด่นอยู่สองอย่างคือ มีการยกจานผักมาให้คนกินใส่เอง ซึ่งประกอบด้วยใบโหระพาและถั่วงอกเป็นหลัก เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือชามก๋วยเตี๋ยวเขามีสามขนาด เล็ก กลาง และใหญ่ ขนาดใหญ่นั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนกินจุ บางร้านชามใหญ่ของเขานั้นมีขนาดอ่างอาบน้ำของเด็ก ที่หาดใหญ่ก็พอจะหากินได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมเมือนทางภาคอีสานและภาคกลาง ฮิตมากถึงขนาดก๋วยเตี๋ยวไทยสู้ไม่ได้ จึงมีการปล่อยข่าวว่าใครกินก๋วยเตี๋ยวญวนแล้วจะเป็นโรคจู๋ในบางสมัย

เมื่อสมัยที่แม่ทอมยังอยู่ในสภาพกันดารและห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ถึง๓ชั่วโมงโดยเรือหางยาว อาหารการกินประจำวันของคนในหมู่บ้านก็คือข้าวกับเคยจี่ จิ้งจัง เท้าหยี (เต้าหู้ยี้) แป้งแดง ปลาหลังเขียวแห้ง ปลาขี้เกะแห้ง หรือหากจะหรูหราขึ้นมาหน่อยก็มีแกงส้มปลาชนิดต่างๆแล้วแต่จะหาได้ตามฤดูกาล หรือถ้าเป็นวันที่มีตลาดนัดคูเต่า ก็จะมีหมูเนื้อและปลามาขาย แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีเงินไปซื้อ สรุปแล้วอาหารที่ชาวแม่ทอมกินกันก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง หากวันไหนได้กินแกงคั่วใส่กะทิก็หมายความว่าสุดยอดแห่งความโอชะที่ใครๆรู้จัก เด็กๆมักจะได้ยินผู้ใหญ่ที่เข้าไปธุระในเมืองกลับมาเล่าให้ฟังถึงความเอร็ดอร่อยของข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด และก๋วยเตี๋ยวที่เจ๊กขายที่ร้านในหาดใหญ่ ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำนั้นเขามีตู้แขวนหมูแดง ตับหมู และอะไรต่างๆจิปาถะเอาไว้ เมื่อคนเข้าไปเจ๊กคนขายก็จะจัดการทำให้ตามแต่จะสั่ง อันว่าตับหมูและลูกชิ้นนั้นสุดแสนจะอร่อย คนเล่าก็เล่าไปอย่างเอร็ดอร่อยออกท่าซี้ดปาก เด็กๆที่นั่งฟังก็น้ำลายไหลยืดพลอยอร่อยไปด้วยเหมือนได้กินเอง คนเล่าก็มักจะถูกคะยั้นคะยอให้เล่าแล้วเล่าอีกซ้ำๆซากๆ เด็กจะได้จินตนาการถึงความเอร็ดอร่อยของก๋วยเตี๋ยวน้ำกันอีก เด็กๆจึงไฝ่ฝันกันว่าวันหนึ่งตัวจะได้ลิ้มรสไอ้ก๋วยเตี๋ยวน้ำนี้สักครั้ง
ยุคถัดมามีอาแป๊ะเจ๊กปลายแถวจากคูเต่ามาทำก๊วยเตี๋ยวขายที่ตลาดนัดวันพฤหัส ขายถ้วยละบาท ความฝันของเด็กหลายคนก็ได้กลายเป็นความจริง คือได้ลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวสมใจ แต่ก็ไม่เหมือนกับที่เคยได้ฟังมาจากคนที่เคยไปกินที่หาดใหญ่ เพราะก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดนัดคูเต่านั้น เส้นก๋วยเตี๋ยวไม่กี่เส้น ถั่วงอกไม่กี่ต้น หมูสองซิ้น น้ำซุบหม้อเปล่าอีกหนึ่งตวัก และมันหมูหนึ่งช้อน อายิโนโมโต๊ะหนึ่งช้อนใหญ่ อร่อยแทบจะขาดใจตาย หลายคนถามหาลูกชิ้น อาแป๊ะบอกว่าใส่ไม่ได้เพราะมันแพง
นิยายปรำปราเรื่องความความโอชะของก๋วยเตี๋ยวได้กลายเป็นอาหารในฝันของเด็กและผู้ใหญ่ส่วนหหนึ่งในแม่ทอมไปเสียแล้ว เช่นคราวหนึ่งเถ้าแก่สบจัดงานฉลองสะพานข้ามคลองที่บ้านใต้ กลางวันแกเอาเครื่องขยายเสียงลงเรือประกาศไปตลอดย่านน้ำให้คนไปร่วมงาน เพื่อเป็นการจูงใจให้คนไป แกโฆษณาว่าแกจะขายก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วย ตอนนั้นท่านไข่เคกำลังเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม รีบไปขอสตางค์พ่อตั้งแต่เที่ยงกะว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวบังสบให้สมอยากตอนค่ำ ข้างพ่อก็บอกว่ามึงจะไปกินอะไรกะก๋วยเตี๋ยวไอ้สบ เพราะมันเป็นแขก ก๋วยเตี๋ยวอร่อยเขาต้องใส่หมู ไข่เคก็ไม่ฟัง อุตส่าห์เดินไปถึงบ้านใต้เพื่อจะกินก๋วยเตี๋ยว รุ่งเช้ากลับมา ไข่เคเล่าว่ากินแล้วแทบอ๊วกเพราะมันวัวติดคอ ก๋วยเตี๋ยวแขกบังสบกินเหมือนกินเปรต ซึ่งไขเคหมายถึงกินเหมือนกินลาที่เขาทำให้เปรตกิน

เมื่อหลายปีก่อน ครูหลุบ ครูออด และโต้โผใหญ่อีกหลายคนได้จัดงานเลี้ยงใหญ่สำหรับชาวกุลนิล แก้วกุลนิล รวมไปถึงเขยและสะใภ้ ลองนึกเอาเองก็แล้วกันว่า งานจะใหญ่ขนาดไหน เพราะแค่กุลนิลไม่รวมเขยรวมสะใภ้ก็ปาเข้าไปครึ่งหมู่บ้านแล้ว เมื่อมีการหยั่งเสียงว่าอยากกินอะไรในการเลี้ยงใหญ่ของชาวกุลนิลในครั้งนี้ ผลจากการนับคะแนนปรากฎว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำก๋วยเตี๋ยวผัดและก๋วยเตี๋ยวน้ำเลี้ยง นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งของทัศนะของชาวแม่ทอมที่มีต่อก๋วยเตี๋ยว บังไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ได้ยินมาว่าการเลี้ยงใหญ่คราวนี้มีหลายคนกินจนต้องหาม บ้างอ๊วกบ้างอืด พุงป่องเหมือนเนียงเคย เนื่องจากทำกันไม่ค่อยเป็นและปริมาณมากเกินไป เส็นก๋วยเตี๋ยวจึงดิบๆสุกๆ กินเข้าไปมากแล้วไปอืดอีกเกือยเท่าตัวในท้อง ชาวกุลนิลและเขยสะใภ้หลายรายจึงเกือบจะท้องแตกตายเพราะความตะกละเหมือนชูชก ว่างๆครูหลุบและครูออดน่าจะจัดอีกครั้ง อยากจะรู้ว่าคราวนี้ชาวกุลนิลอยากกินอะไร เพราะกุลนิลรุ่นจิ้งจังเดี๋ยวนี้นั่งเหลานั่งพัตตาคาร