07 มีนาคม 2553

ผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม

     แม่ทอมสมัยก่อนถึงแม้ว่าจะมีความกันดาร ห่างไกลความเจริญของเมืองและดูเหมือนว่าเป็นตำบลที่โลกลืม แต่ชาวแม่ทอมหลายคนที่ไปเรียนต่อในเมืองก็โม้ให้คนที่ไม่เคยมาหรือรู้จักแม่ทอมฟังกึ่งขบขัน จนคนฟังหลายๆคนที่เส้นตื้นหน่อยเชื่อสนิท เช่นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านกำนันเจือซึ่งไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯโม้ให้พระและเณรที่วัดฉัตรแก้วฯซึ่งแกไปพักอยู่ว่าอันตำบลแม่ทอมอันเป็นบ้านเกิดของแกนั้นชาวบ้านมีอาชีพปลูกแอปเปิล ซึ่งความจริงก็คือฝรั่งหรือชมพู่หรือย่าหมูที่ชาวปักษ์ใต้เรียกกันแต่แกเอาไปโม้ให้เป็นแอปเปิ้ล เนื่องจากแอปเปิ้ลที่ขายในกรุงเทพฯนั้นส่วนหนึ่งเป็นของหนีภาษีที่เข้ามาทางมาเลย์เซียและคนกรุงเทพฯเวลามาหาดใหญ่หรือคนหาดใหญ่ไปกรุงเทพฯของที่ซื้อไปฝากคนกรุงเทพฯก็คือแอปเปิ้ล คนฟังจึงเชื่อสนิทว่าเขาปลูกกันที่หาดใหญ่ เมื่อมีคนเชื่อ คนเล่าก็โม้ต่ออย่างไม่ต้องยั้ง ว่าเนื่องจากแอปเปิ้ลจากแม่ทอมขายดีไปทั่วโลก กิจการทำสวนแอปเปิ้ลของชาวแม่ทอมจึงทำให้ชาวแม่ทอมอยู่ดีกินดีและร่ำรวยกันถ้วนหน้า สายการบินทุกสายที่บินจากสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงเทพฯต้องบินผ่านแม่ทอม ซึ่งจริงๆแล้วก็คือบินผ่านแต่ไม่ได้ลงจอด สมัยนั้นยังไม่มีสนามบินหาดใหญ่ด้วยซ้ำไป ทีแรกคนโม้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้คนฟังเชื่อ เพราะเป็นการโม้ชนิดเป็นไปไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนเชื่อเสียสนิทจนได้

เด็กๆในแม่ทอมแหงนหน้าคอตั้งบ่าเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินไอพ่น พยายามจะมองหาว่าตัวเครื่องบินอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากเครื่องบินบินสูงมาก กว่าเสียงจะลงมาถึงเครื่องบินก็บินไปจนไกลลิบ เห็นแต่ขนาดเท่านิ้วก้อย มีการตั้งคำถามว่าคนโดยสารนั้นขี่ส่วนไหนของเครื่องบิน จะอยู่ข้างในหรือนั่งคร่อมไปบนหลังแบบขี่วัวขี่ควาย หลายๆคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าก็เห็นชัดๆว่ามันมีขนาดเท่านิ้วก้อยแล้วคนจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร กำนันเจือผู้รอบรู้ก็ให้ความกระจ่างว่า เขาย่อตัวคนให้เล็กลงก่อนที่จะเข้าไปในลำของเครื่องบิน เด็กๆต่างก็ร้องอ๋อว่ามันเป็นเช่นนี้เอง กำนันเจือยังบอกอีกว่า เครื่องบินนั้นต้องบินอย่างระวังเวลาจะบินเข้าไปในก้อนเมฆ เพราะอาจจะไปชนเอาวิมารของเทวดาเข้า บางคนสงสัยว่าเครื่องมันบินขึ้นได้อย่างไร คนขึ้นไปนั่งตอนไหน และ ฯลฯ ที่ยิ่งทำให้สับสนไปกว่านั้น เพราะบางคนไปได้ยินมาเรื่องการกระโดดร่มของทหารที่มาโชว์ที่หาดใหญ่ ก็เลยคิดกันไปว่าคนโดยสารเครื่องบินเวลาจะลงจากเครื่องก็ต้องกระโดดร่ม มีคนไปดูแล้วกลับมาเล่า เพื่อให้เห็นภาพพจน์ คนเล่าจึงบอกว่าร่มชูชีพนั้นทำด้วยผ้า เวลาลอยลงมาก็ลงช้าๆ คนกระโดดจึงไม่เจ็บ เนื่องจากร่มกันฝนที่ใช้กันอยู่ในหมู่บ้านนั้นมีอยู่สองชนิด คือร่มกระดาษและร่มผ้า กำนันเจือและหลวงนิดลูกลุงสีอินจึงไปหาร่มผ้ากันฝนมาคันหนึ่งเพื่อทดสอบการกระโดดร่ม หลวงนิดปีนขึ้นไปบนต้นยางในสวนของบังหละทอมตก (ตอนนี้คือสวนครูหลุบอยู่เยื้องกับที่ทำการอบตในปัจจุบัน) หลวงนิดเที่ยวเดินง่อยอยู่หลายวัน ส่วนร่มหรุบขึ้นข้างบนพังพินาศ

หลังจากที่มีความพิศวงในเรื่องเครื่องบินมาเป็นเวลานาน ในที่สุดความฝันของเด็กๆก็เป็นความจริง วันหนึ่งประมาณเดือนธันวาคมปีพ.ศ.๒๕๑๒ น้ำกำลังหลากท่วมไปทั่วแม่ทอมตามปกติ พ่อหลวงเส้งออกไปหาหญ้ามาให้วัวที่ใกล้ๆหลนองแบน(หนองแบบนเป็น หนึ่งใน๔หนองน้ำ ที่เหลือคือหนองปลาตาย หนองขอน และ หนองโคลน)ฝั่งพรุตก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสวนตัวอย่างหลวงเหย็บในปัจุบัน จู่ๆแกก็เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินมาในระดับต่ำมาก ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ก่อนที่จะตั้งสติได้แกก็ได้ยินเสียงตูมใหญ่ตรงหนองแบนเพราะเครื่องบินทั้งลำได้ปักหัวลงไปในหนอง ต้นข้าวต้นหญ้าและน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หลายนาทีผ่านไปพ่อหลวงเส้งยังอยู่ในสภาพช็อคทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งว่ายน้ำออกมาจากจุดที่เครื่องบินตกพร้อมทั้งเรียกให้ช่วย พ่อหลวงเส้งจึงได้สติและรีบเข้าไปช่วย ชายคนดังกล่าวใส่ชุดทหารอากาศ และขอให้แกพาไปบ้านกำนัน พ่อหลวงเส้งจึงพาขึ้นเรือถ่อไปบ้านกำนันพ่วง ซึ่งในตอนนั้นมีวิทยุสื่อสารประจำตำบล ในขณะที่นักบินกำลังวิทยุติดต่อกับต้นสังกัดผ่านอำเภอ พ่อหลวงเส้งวิ่งไปบอกบ้านนั้นบ้านนี้ว่าจรวดตกที่หนองแบนให้ไปดูกัน ภายในเวลาไม่กี่นาที ข่าวก็แพร่ไปทั้ง๖หมู่บ้านว่าจรวดได้ตกลงมาที่หนองแบน หนึ่งชั่วโมงต่อมาที่โคกซึ่งอยู่ระหว่างทอมตกและทอมออกใกล้จุดที่จรวดของพ่อหลวงเส้งตกจึงคลาคล่ำไปด้วยไทยและแขกมุงหลายร้อยคน หน่วยต้นสังกัดของเครื่องบินลำดังกล่าวได้ส่งเฮลีค็อปเตอร์มาลงที่โคก ก็เลยได้รู้กันว่าจรวดที่พ่อหลวงเส้งบอกใครๆในตอนแรกนั้นแท้ที่จริงคือเครื่องบินตรวจการหนึ่งเครื่องยนต์ สองที่นั่งที่เกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องและจำเป็นต้องลงฉุกเฉิน

หน่วยการบินที่อำเภอเมืองสงขลาวางแผนที่จะกู้เครื่องบินลำดังกล่าวกลับฐาน เนื่องจากไม่มีทางรถจะเข้าไปถึงจุดที่ไกล้จุดที่ตก เรือที่เข้าไปได้คือเรือถ่อ ทางเดียวที่จะนำเครื่องบินกลับฐานคือถอดแยกออกเป็นส่วนๆแล้วเอาฮ.ขนาดใหญ่มาลำเลียงกลับไป ปัญหาแรกสุดก็คือต้องเอาเครื่องจากในหนองขึ้นมาอยู่บนโคกก่อน ฟังดูก็ท่าจะหนักหนาเอาการอยู่เพราะไม่มีเครื่องจักรที่จะนำเข้าไปได้ หลายวันถัดมา จำนวนคนที่แห่มาดูจากทั้งตำบลแม่ทอมและตำบลไกล้เคียงเพิ่มจำนวนจากร้อยเป็นพันในวันหนึ่งๆ คนมาดูแต่ก็ไม่เห็นเครื่องบินที่ยังอยู่ในหนองกไกลออกไปกลางทุ่ง จึงเกิดความคิดว่าเอาแรงคนที่มาดูนั่นหละช่วยกันฉุดลากเรื่องบินขึ้นมาจากหนองเอามาไว้บนโคก ทางฐานบินสงขลาได้ส่งเชือกสำหรับลากมาให้ หลังจากพยายามกันอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ลากเครื่องขึ้นมาอยู่บนโคกได้สำเร็จ เครื่องบินยังอยู่ในสภาพเกือบปกติ เพราะโชคดีที่จุดตกนั้นน้ำลึกมาก คนที่มาดูเครื่องบินในแต่ละวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

นับเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าทางฐานบินจะจัดการหาเครื่องฮ.ขนาดใหญ่มาจากหน่วยอื่นเพื่อทำการขนย้ายได้ ทางฐานบินมีการมาสร้างเต๊นท์ให้ทหารที่ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่เฝ้าเครื่องและจัดการอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาคนอยากเห็นและนั่งเครื่องบิน มีการจัดคิวให้คนที่มาขึ้นลองนั่งทั้งวัน มีแม่ค้านำของกินมาขายกันให้เป็นที่เอิกเกริกเมือนมีงานมหกรรม บังเหล็มเวียนเทียนขี่เครื่องบินอยู่เป็นสิบๆรอบ นั่งทีไรขาลงก็มีชิ้นส่วนในห้องนักบินติดมือลงมาทุกทีที่ละชิ้นสองชิ้น จนเขาจับได้และขอคืนไปจนหมด เนื่องจากระยะเวลาเป็นเดือนกว่าจะเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนน้อยใหญ่กลับฐานได้หมด ทหารหน่วยที่มาเฝ้าเครื่องและจัดการสิบกว่าคนกับชาวบ้านก็กลายเป็นเพื่อนสนิท เมาหวากท้องถิ่นผสมเหล้าโรงที่มากับเสบียงที่ฮ.มาส่งวันละสองเวลา เมื่อวันสุดท้ายจึงมีแต่บรรยากาศเศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์กันทั้งสองฝ่าย

ตลอดเวลาที่หน่วยรักษาการมาอยู่ ลุงสีอินค่อนข้างที่จะเข้าติดและเอาอกเอาใจหัวหน้าหน่วยเป็นพิเศษจนออกหน้าออกตา แกมักจะพาหัวหน้าหน่วยไปกินหวากที่บ้านเพราะแกคาบตาลเอง หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าสงสัยแกหวังจะได้ลูกเขยทหารอากาศ แต่ลุงอินก็ไม่เคยเผยไต๋ให้ใครรู้ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่หน่วยรักษาการจะถอนกำลังกลับ ฮ.บินมารับที่โคก ใครๆต่างก็ประหลาดใจที่เห็นลุงอินแต่ตัวต้วยชุดภูมิฐานที่สุดของแก คือกางเกงขาสั้นตัวใหม่เอี่ยมและเสื้อลายตัวงาม เดินตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นไปขึ้นเครื่องฮ.พร้อมๆกับหน่วยรักษาการณ์ ใครๆก็เลยถึงบางอ้อว่าลุงอินพยายามตีสนิทกับหัวหน้าหน่วยเพื่ออะไร เท่าที่รู้แกคือชาวแม่ทอมคนแรกที่ได้นั่งฮ.และเห็นตำบลแม่ทอมจากกลางอากาศ เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมเขื่องของลุงอินมาตลอดแกคุยแล้วคุยอีก กำนันเจือได้ยกย่องให้ลุงอินและหลวงนิดสองพ่อลูกเป็นผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8/3/53 11:11

    จุดที่เครื่องบินตกตอนนี้เขาเรียกว่าหนองเรือบิน ก็น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของแม่ทอมชาวแม่ทอมคนแรกที่ได้นั่งเครื่องบินเฮริคอปเตอร์ก็คือลุงอิน ส่วนคนที่กระโดดร่ม(กันฝน)ลงจากต้นยางก็คือหลวงหนิดหรือครูหนิดซึ่งเป็นลูกชายของลุงอินแต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งทั้งสองคนได้ทำอัตถวิบากกรรมแก่ตัวเอง หลวงหนิดหรือครูหนิดซึ่งรับราชการครูสอนที่โรงเรียนบ้านหนองม่วงได้กินยากรัมม๊อกโซนเข้าไปญาติและเมียได้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้องแต่ไม่ทันได้ปัสสโมสุขโขเรียบร้อย..ซึ่งทำความโศกเศร้าเสียให้กับลุงอินเป็นอย่างยิ่งหลังจากนั้นมาไม่กี่เดือนลุงอินก็ได้ผูกคอตายกับต้นยางข้างบ้านของแกตายตามลูกชายของแกไป..ปิดฉากนักกระโดดร่ม(กันฝน)และผู้ที่ได้นั่งเครื่องบินเฮริคอปเตอร์คนแรกของชาวแม่ทอมตั่งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ตอบลบ