21 มีนาคม 2553

ภาพแม่ทอมเมื่อ๑๕ปีก่อน

ทอม
สภาพของทอมเมื่อ๑๕ปีก่อนกับวันนี้ไม่ได้ดูแตกต่างกันมากนัก ที่เห็นชัดๆคือยังไม่มีการลงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวในระดับที่เห็นในปัจจุบัน การจับปลาในทอมก็มีอยู่เพราะเป็นเรื่องที่ทำกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ แต่ดูเหมือนว่าจะมีกฏเกณฑ์กติกาที่ได้รับการเคารพและปฏิบัติ จึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างลงไปอยู่ในทอม
เมื่ออีก๑๕ปีก่อนหน้านี้(ก่อนสภาพที่เห็นในรูป)บริเวณรอบๆทอมไม่ได้เป็นที่โล่งอย่างที่เห็น แต่เต็มไปด้วยป่าสาคูและต้นเผียะ ในทอมเต็มไปด้วยหญ้าและผักตบชวา หญ้าขึ้นทับถมกันหนากว่า๑๐นิ้วขนาดที่ขึ้นไปเดินข้างบนได้ หลายๆปีจึงจะมีน้ำท่วมใหญ่สักครั้งหนึ่ง ชะเอาบรรดาสวะวัชพืชไปออกคลองอู่ตะเภาจนหมด นับเป็นการขจัดความรกร้างเสียครั้งหนึ่งโดยธรรมชาติ ได้ตั้งต้นใหม่กันอีกครั้งหนึ่งกับทอมที่ปราศจากวัชพืชและซากพืช
ปากทอม
ปากทอมเป็นส่วนของทอมที่ไปต่อกับพรุออก เป็นชื่อที่เรียกสืบต่อกันมา หากไม่รู้ประวัติก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่าปากทอม ในยุคก่อนที่จะมีการขุดลอกทอมจนมีสภาพอย่างที่เห็น ปากทอมเป็นพงรกเป็นที่อยู่และที่ทำรังของนกน้ำนาๆชนิด เช่นนกอีลุ้มและนกเจาเป็นต้น และยังเป็นที่อยู่ของมูสังและสัตว์ป่าอื่นๆที่เหลืออยู่ในตำบลแม่ทอม เป็นสภาพของหนองน้ำธรรมชาติมีความงดงามมาก ฟากตะวันออกเป็นที่ของหวะแหละบอง ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นที่ของตระกูลหวานวงค์ ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเพิ่งมาถูกถมเชื่อมกันสมัยเงินผัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการถมคลองให้เป็นถนนและขุดถนนให้เป็นคลองเพื่อการเอางบประมาณมาใช้
แหลมขลี
แหลมขลีเป็นชื่อในประวัติศาสตร์อีกชื่อหนึ่ง แต่เดิมเป็นที่ไร่ของลุงพุดและป้าเขียว หน้าน้ำจะปรากฏเป็นแหลมยื่นออกไปในพรุตรงปากทอม มีต้นขลีและต้นชุมแสงใหญ่อยู่ตรงปลายแหลม เป็นที่พักเหนื่อยของคนที่พายเรือไปตัดไม้เสม็ดจากพรุตกมาทำฟืน คนที่บ้านอยู่หนองหินเคยอาศัยเส้นทางนี้ในการขนข้าวไปสีที่โรงสีของตำบลในยุคที่ชาวแม่ทอมส่วนใหญ่ยังทำนาและปลูกข้าวกินเอง
พรุออก
จากปากทอมไปทางทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ๆที่เรียกกันว่าพรุออก(หรือพรุเฉยๆ) แนวป่าอีกฟากหนึ่งคือส่วนที่เรียกกันว่าโคก ก่อนปีพ.ศ.๒๕๒๐ไม่มีบ้านคนนอกจากส่วนที่ค่อนไปทางทิศใต้ ไม่มีถนน มีแต่ทางเดินเท้าลัดเลาะไปตามสวนรกร้าง ที่อาจะมียางพารา ต้นตาลและต้นมะพร้าวเป็นหลัก หลังเกี่ยวข้าวเสร็จทุ่งนาแถวๆนี้คือที่เลี้ยงวัว ซึ่งวัวจะถูกปล่อยให้ออกหากินเองโดยไม่มีการล่าม หน้าที่ของเด็กๆก็คือการตามหาและต้อนวัวกลับบ้านในตอนเย็น วัวจะหากินทั้งทางฝั่งพรุออกหรือข้ามไปทางฝั่งพรุตก ความจริงแล้วหน้าที่เลี้ยงวัวเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ของเด็กๆก็คือได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ และฟังนิทานจากผู้ใหญ่ตามใต้ร่มไม้  ผู้ใหญ่เล่าว่าเคยมีป่าเสม็ดอยู่ที่พรุออกตรงไกล้ๆสวนหลวงเหย็บ เรียกกันว่าเหม็ดเอียด (ป่าเสม็ดเล็ก) ซึ่งโดนถางกลายเป็นนาไปจนหมดเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ๆแถบนั้นจะตกมาถึงหลวงเหย็บ 
พรุตก
พรุตกคือแหล่งผจญภัยในหน้าร้อนของเด็กๆสมัยก่อน ถนนที่เห็นอยู่เพิ่งจะมาสร้างกันหลังปีพ.ศ.๒๕๒๐ ซึ่งบรรยากาศเก่าๆได้หายไปหมดแล้วหลังจากมีการตัดถนนไปบรรจบกับถนนสายหลักที่โคกพลา-นารังนกน้ำจากบ่อที่หลาตาวันเคยใสสะอาด สำหรับดื่มกินดับกระหายของบรรดาคาวบอยน้อยใหญ่ หากอยู่ค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ต้องไปบ่ออิฐถ้าหากใครต้องการน้ำดื่ม บ่ออิฐเป็นบ่อโบราณอยู่ริมพรุใกล้บ้านของบรรพบุรษของท่านอธิการถาวรอดีตเจ้าอาวาสวัดคูเต่า ตามลักษณะททางภูมิศาสตร์ พรุตกคงจะเคยเป็นป่าชายเลนและเคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบเมื่อยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานก็คือซากสัตว์ทะเลที่อยู่ในชั้นดินดำหากว่าขุดลงไปประมาณ๕-๑๐เมตร
เล่าต่อๆกันมาว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของพรุตกไปจนถึงบ้านหาร ท่าช้างและบางหยี เป็นตงต้นเสม็ด เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่ จึงมีการหักล้างถางป่าเสม็ดให้กลายเป็นที่ทำนา จวบจนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๐๐ ป่าเสม็ดซึ่งเป็นป่าสาธารณะก็ยังเป็นที่ส่วนใหญ่ของพรุตก กว้างใหญ่มากขนาดเด็กๆเข้าไปยิงนกแล้วหลงอยู่เป็นวันสองวันหาทางออกไม่ได้
มีชาวบ้านจำนวนมากได้ทำการบุกรุกโดยอ้างว่าเป็นที่"หัวดิน"หรือเขตที่ติดอยู่กับที่ดินของเขา ป่าเสม็ดที่เหลืออยู่บ้างในปัจจุบันจึงเป็นเพียงส่วนน้อยที่เหลืออยู่ จากที่เคยเป็นสมบัติสาธารณะ ตอนนี้กลายเป็นสมบัติส่วนบุคคล 

เขตป่าเขา
เขาสูงที่มองเห็นลิบๆอยู่ทางทิศตะวันตกของของพรุตกคือส่วนหนึ่งของเทือกเขาบรรทัดอยู่ในเขตอำเภอสะเดา หาดใหญ่และรัตภูมิ ยอดเขาทางขวาสุดอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐๐๐เมตรเรียกว่าเขาแก้ว ถัดมาทางด้านซ้ายคือเขตป่าเขาในพื้นที่อำเภอคลองหอยโข่ง และบ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาอำเภอหาดใหญ่ ในยุคที่การต่อสู้ระหว่างพคทและฝ่ายรัฐบาลเพิ่มความแหลมคมขึ้น การปะทะกันครั้งแรกได้เกิดขึ้นที่บ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งอยู่ห่างจากตำบลแม่ทอมแค่๒๐กิโลเมตร (ระยะทางกาบิน) การต่อสู้เกิดติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากแม่ทอมเป็นทางผ่านของเครื่องบินติดปืนจากฐานบินที่ตัวเมืองสงขลา หลังจากเครื่องบินๆผ่านไปชั่วครู่ ชาวแม่ทอมจะได้ยินเสียงปืนกลจากเขตที่มีการต่อสู้อย่างชัดเจน สร้างความตระหนกตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอันมาก เนื่องจากทางการได้โฆษณาว่าพคทคือผีร้ายและจะจับคนไปไถนาแทนวัว หลังจากเหตุการณ์วันที่๑๔ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ การเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายก็ออกมาจากที่มืดในบางส่วน คนจำนวนมากเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ฝ่ายซ้ายรุกหนักทั้งทางการเมืองและการทหาร พวกซ้ายส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนเริ่มซึมลึกในมหาวิทยาลัยทุกแห่ง รวมทั้งที่มอ ฝ่ายรัฐบาลใช้วิธีการปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ระบบเศรษกิจแบบสังคมนิยมก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ในการบริหารประเทศได้ ควรจะปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช้ผู้กุมอำนาจชิงตัดสินเสียเองเพราะกลัวเสียผลประโยชน์ จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๑๙พวกขวาจัดในส่วนกลางได้สร้างเงื่อนไขในการปราบปรามสำเร็จที่ธรรมศาสตร์ มีคนตายหลายพันคนรวมทั้งนักศึกษา นักศึกษามอส่วนหนึ่งที่ทำกิจกรรมการเมืองก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับในส่วนกลาง มีการบุกค้นหอพัก ห้องเรียน และที่ทำการองค์การนักศึกษา รวมทั้งติดตามจับกุมตัวนักทำกิจกรรมที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร นักศึกษามอหลายร้อยคนจึงหนีขึ้นเขาไปอยู่กับพคทที่ทุ่งตำเสาและพัทลุง กว่ารัฐบาลจะเข้าใจวิธีเอาชนะและออกกฏหมายนิรโทษกรรมก็หลายปีหลังจากนั้น ต้องล้มตายกันทั้งสองฝ่ายอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น การเมืองแท้ๆที่เป็นต้นเหตุ มีคนดีๆมากมายจากมอที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองให้กับความขัดแย้งทางความคิดและการต่อสู้ ขุนเขาที่เห็นตั้งทะมึนอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่ทอมคือที่ฝังศพของเขาเหล่านั้น 

เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง แท้ที่จริงนักศึกษาทั้งหมดเป็นพวกแสวงหาสัจจธรรมและควาถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่คนยากคนจนที่ถูกกดขี่ขูดรีดที่ต้องต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย แต่หลังจากที่เขาได้ศึกษาปรัชญาการเมืองของมาร์ก-เลนิน-เหมา ทำให้เขาคิดไปว่านั่นคือสัจจธรรมสูงสุดสำหรับมวลมนุษย์ เนื่องจากทฤษฏีทางการเมืองสาขานี้ได้นำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์และปรัชญามาใช้อย่างเป็นระบบ เช่นมาร์ก-เลนินใช้ Dialectical Materialismในการวิเคราะห์สังคม ระบบการวิเคราะห์แบบDialecticนั้นใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรีกและอินเดียโบราณ พระพุทธเจ้าเองก็ใช้กฏเกณฑ์เดียวกันในการนำไปสู่การตรัสรู้ (การมองสรรพสิ่งให้เห็นถึงสภาพที่เป็นจริง) เป็นที่น่าเสียดายว่าฝรั่งไม่ค่อยจะเข้าใจปรัชญาตะวันออกถึงขั้นลึกซึ้งเขาจึงใช้ปรัชญาที่เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของเขาในการคิดและวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งเป็นการมองออกไปที่วัตถุเป็นด้านหลัก ในขณะที่ปรัชญาตะวันออกมองไปทั้งที่จิตและวัตถุแต่ถือว่าจิตเป็นใหญ่ เหมาก็มีอคติกับความคิดเก่าในสังคมจีนคือลัทธิเต๋าและพุทธฝ่ายมหายานจนพลาดที่จะเห็นของดีในอารยธรรมตะวันออก หาไม่เช่นนั้นแล้วโลกเราคงจะพัฒนาไปไกลกว่าปัจจุบันมากโดยเฉพาะทางด้านจิตใจและจริยศาสตร์ เพราะความรู้สุดยอดที่แท้จริงที่ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างทั่วถ้วนนั้นพระพุทธเจ้าได้ค้นพบเอาไว้นานกว่าสองพันปี แต่มีน้อยคนที่จะเข้าใจแม้กระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ เนื่องจากเป็นเรื่องลึกซึ้งและอาศัยสติปัญญาเป็นอย่างมากในการสัมผัส ท่านพุทธทาสได้ศึกษาและสรุปเอาไว้ในคำบรรยายสั้นๆที่ชื่อ "ใจความทังหมดของพระพุทธศาสนา"หรือ"แก่นพุทธศาสน์" สามราถอ่านได้ที่ลิ้งค์ข้างล่าง

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ19/4/53 16:47

    เหมาเจ๋อตง เต้งเสี่ยวผิง และก็แกงส์สี่คน และก็โจวเอินไหลเคยอ่านเมื่ออยู่ป.3จำได้แต่เนื้อหายังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรอ่านจากหนังสือพี่จำได้ว่าเป็นหนังสือการเมืองชื่อว่า อาทิตย์เคล็ดลับอะไรนี่แหละมีเป็นสิบเล่มยี่สิบเล่มพอพี่ๆเค้าอ่านกันก็อ่านบ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก้อ่านไปอย่างนั้นแหละหน้าหลังสูดเป็นหน้ากีฬามีมวยโลกรุ่นยักข์ให้ได้อ่านจำได้ตอนนั้นมีโจฟราเซีย เคน นอร์ตัน มูอัมหมัดอาลี จำได้ฉายาตอนนั้นบินโฉบฉ่ายเหมือนผีเสื้อแต่ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง ก็ดีเหมือนกันทำให้รักการอ่านตั้งแต่นั้นมา

    ตอบลบ