25 ธันวาคม 2552

คิม พีค คนที่มีความทรงจำเป็นเยี่ยม

ใครที่เคยดูหนังเรื่องRain Manคงจะทึ่งถึงความทรงจำอันยอดเยี่ยมของRayซึ่งแสดงโดยDustin Hoffman หนังเรื่องนี้ได้เค้ามาจากชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ชื่อ Kim Peek คิมเกิดเมื่อวันที่๑๑พฤจิกายน ปีคศ๑๙๕๑ที่เมืองซอลท์เลคซิตี้มลรัฐยูท่าประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนคิมอายุ๙เดือนหมอบอกว่าว่าคิมจะเป็นโรคปัญญาอ่อนขั้นวิกฤต พออายุได้๑ปีกับ๔เดือน คิมสามารถที่จะอ่านหนังสือเล่มโตและจำข้อความได้หมดทั้งเล่มอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อปีที่ผ่านมาประมาณกันว่าคิมได้อ่านหนังสือมาทั้งหมดประมาณ๑๒๐๐๐เล่มและสามารถจำข้อความในหนังสือได้ทุกบันทัดหากจะขาดหรือตกหล่นก็ไม่เกิน๒% หากใครบอกวันเดือนปีกับคิม เขาจะสามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆได้เป็นฉากๆโดยการเอาเรื่องที่เขาอ่านจากที่ต่างๆและจำไว้มาปะติดปะต่อกันโดยไม่ผิดพลาด เคยมีคนมากมายวนเวียนไปทดสอบเขา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธความสามารถทางความจำอันยอดเยี่ยมของคิมได้ วิธีการอ่านหนังสือของเขาคือจะใช้ตาข้างซ้ายอ่านหน้าทางซ้ายและใช้ช้ตาข้างขวาอ่านหน้าทางขวา ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านหนังสือได้รวดเร็วมาก เพราะอ่านสองหน้าทีเดียวพร้อมกัน ใช้เวลา๘-๑๐วินาที ในขณะที่คิมมีพรสวรรค์เป็นเลิศในทางความจำ แต่เขามีปัญหาในการทำสิ่งง่ายๆที่คนอื่นๆทำได้โดยไม่ต้องคิดในชีวิตประจำวัน คิมเพิ่งจะเดินได้เอาก็เมื่อตอนอายุ๔ขวบ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เขาไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะใส่กระดุมเสื้อของตัวเองได้ เขาต้องมีคนดูแลและไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ ไอคิวของเขาอยู่ที่๘๗ ซึ่งในขณะที่คนทั่วไปจะอยู่ที่๑๐๐ องค์การนาซ่าได้เอาคิมไปศึกษาโดยการทำMRIสมอง และพบว่าสมองซีกซ้ายและขวาแทบจะไม่มีเส้นประสาทเชื่อมต่อกันอยู่เลย คิมเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปเมื่อวันเสาร์ที่๑๙ธันวาคม ๒๕๕๒

ได้ยินมาว่าไข่ดำหรือไข่เคของแม่ทอมเราสามารถจำไพ่ทายลอูกปอได้เป็นเลิศเหมือนกัน ไม่ทราบว่าจะสามารถเทียบรัศมีของตาคิมคนนี้ได้ไหม

13 ธันวาคม 2552

วิธีหาเงินของชาวแม่ทอมเมื่อวันวาน


ก่อนที่จะมาถึงยุคที่ชาวแม่ทอมกลายเป็นผู้บริโภคและเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรฐกิจสากลอย่างเช่นทุกวันนี้ แม่ทอมเคยเเป็นสังคมที่มีความพอเพียง สินค้าภาคอุสาหกรรมจากภายนอกส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่เสื้อผ้าและยารักษาโรค ซึ่งเป็นส่วนน้อยที่เข้ามาเนื่องจากชาวแม่ทอมไม่มีกำลังซื้อ ทั้งนี้เนื่องจากการผลิตทางการเกษตรเป็นการผลิตเพื่อการบริโภคเอง เหลือขายก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิด ชาวบ้านจึงไม่มีเงินเหลือให้เก็บเป็นกอบเป็นกำ เงินทองเป็นของหายากจะได้ซื้ออะไรที่เป็นผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงไม่ใช่ของแปลกที่หลายๆบ้านจะมีทรัพย์สินจากภาคอุสาหกรรมเพียงแค่มีดในครัว พร้า และจอบ อย่างละเล่ม แถมบางบ้านก็ยังไม่มีต้องอาศัยหยิบยืมจากบ้านอื่น การสร้างบ้านเรือนก็อาศัยวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นเบื้องแรก หากบ้าไหนมีเครื่องรับวิทยุฟังก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แสดงถึงความมีฐานะทางการเงินที่เหนือกว่าปกติจึงสามารถที่จะซื้อหาของที่เกินไปจากปัจจัยสี่มาใช้ได้ มีหนุ่มสาวจากแม่ทอมจำนวนไม่น้อยที่ทิ้งบ้านไปทำงานรับในถิ่นอื่น ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไปเป็นกรรมกรรับจ้างกรีดยางในท้องถิ่นใกล้เคียงที่มีการทำสวนยางเป็นล่ำเป็นสัน หนุ่มสาวเหล่านี้จะกลับบ้านกันตอนมีงานในท้องถิ่นเช่นตอนทำบุญเดือนห้าเดือนสิบหรือชักพระ แต่ละคนจะมีเครื่องแต่งตัวที่บ่งบอกว่ามีเงินในกระเป๋าไม่เหมือนพวกที่เทียวไปเทียวมาอยู่ในหมู่บ้านซึ่งไม่มีแม้แต่สักสลึงที่จะกินน้ำแข็งบอก ไม่ได้กินน้ำแข็งบอกก็ไม่เป็นไร อดเอาก็ได้ แต่เกิดมีใครแต่งงานใครบวชใครตายก็ต้องยุ่งหน่อยเพราะไม่มีอะไรจะไปช่วยงานเขา ยิ่งในบางช่วงมีงานต่างๆถี่มาก บางวันต้องไปกว่า๓งาน คนที่ไม่มีรายได้ก็ย่ำแย่ จะให้น้อยก็เกรงใจเจ้าภาพ จะให้มากก็ไม่มีเงิน จะไม่ไปก็เสียญาติเสียมิตร ชาวแม่ทอมผู้ไม่ค่อยมีอันจะกินก็เดือดร้อนกันทั่วไป การหาเงินทางลัดแบบที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆทางเศรฐกิจเพราะไม่มีการผลิตจึงเกิดขึ้น เริ่มจากการขอแบ่งวัวแบ่งไก่ของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่รู้และไม่ยินยอม เล่นปอเล่นกร็อกแกร็ก ทั้งที่มีเงินไปแทงเองและที่จับเสือมือเปล่าไปยักของคนอื่น บ้างก็ขอคนอื่นเอาดื้อๆแต่ทำให้เป็นการสุภาพหน่อยซึ่งเรียกว่าเลี้ยงน้ำชา เริ่มต้นด้วยการส่งบัตรเชิญมากินน้ำชาแล้วขอเงิน คนได้รับเชิญก็เกรงใจคนเชิญเลยจำเป็นต้องไป

กรณีหนึ่งซึ่งเป็นคลาสสิกที่เล่าต่อๆกันมานาน บังเฉมแกมีวิทยุหลอดยี่ห้อฟิลิปส์อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ไม่เกิน๕เครื่องในแม่ทอมขณะนั้น บังเฉมแกหัวใส เอาวิทยุเครื่องนั้นมาออกเบอร์(หวย) ขายใบละห้าบาท บังเฉมไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์แขนงที่เรียกว่าProbability แต่แกก็รู้ว่าโอกาสที่คนจะถูกนั้นหนึ่งในพันสำหรับเลข๓ตัว อย่างไรเสียแกคงจะมีกำไรหากโชคเข้าข้างแกและไม่มีใครถูก แกได้เงินแถมวิทยุก็ยังเป็นของแก พอเอาเข้าจริงๆปรากฏว่าใกล้จะถึงวันเบอร์ออกแล้วแกขายเบอร์ของแกได้แค่ไม่กี่ใบ สาเหตุเพราะมีคนไม่มากนักที่ยอมเสี่ยงกับเงิน๕บาท ในขณะที่บังเฉมกำลังสิ้นหวังที่จะขายเบอร์ให้ได้หลายๆใบ ในวันที่หวยจะออกนั้น หลวงเพียรเจ้าเก่าก็บอกบังเฉมว่ากูจะเอาสักใบแต่วันนี้กูไม่มีเงิน เอาเบอร์มาให้กูสักใบแล้วกูจะหา๕บาทมาให้มึงแต่ก็ไม่บอกว่าจะให้เมื่อไหร่ บังเฉมก็ตกลงให้แต่โดยดี คืนนั้นเบอร์ออกและเลขที่หลวงเพียรซื้อเกิดถูกขึ้นมา รุ่งเช้าหลวงเพียรก็ไปขอรับวิทยุพร้อมกับเงิน๕บาท บังเฉมก็ปฏิเสธที่จะให้วิทยุและรับ๕บาท บอกว่า๕บาทควรจะจ่ายก่อนเบอร์ออกไม่ใช่ทีหลัง ยุ่งละสิ ต่างคนต่างไม่ยอม ต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองมีเหตุผลกว่า เถียงกันอยู่ที่บ้านบังเฉมจนเที่ยงก็ตกลงกันไม่ได้ จึงมีการหยุดพักกินข้าวเที่ยงและนัดเจอกันที่หลาทอมหลังกินข้าวเที่ยงเพื่อที่จะเคลียร์กันต่อ ข่าวได้แพร่กระจายไปอย่ารวดเร็วโดนป้าเอียดหรือวิทยุวปถ๖แม่ทอม การเจรจารอบสองที่หลาทอมจึงมีคนมารอฟังกันอยู่เต็มหลา การโต้เถียงแสดงเหตุผลจึงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เย็นและมืดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ คนดูเริ่มทะยอยกลับบ้าน คนอยู่บ้านแถวๆหลาก็เอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน กินเสร็จสองคนก็ยังเถียงกันต่อไป ดึกก็ยังตกลงกันไม่ได้ คนดูจึงกลับไปนอนกันหมด เช้ามีคนมาพบบังเฉมและหลวงเพียรหลับกันอยู่ที่หลาด้วยความอ่อนเพลีย ผลปรากฏว่าหลวงเพียรเป็นฝ่ายประกาศชัยชนะเพราะบังเฉมสู้ความทรหดของหลวงเพียรไม่ไหว นี่น่าขำกว่านั้นก็คือหลังจากที่ได้วิทยุไปหลวงเพียรก็ได้ฟังอยู่ไม่กี่วัน พอถ่านหมดก็อดฟังอีกต่อไปเพราะเครื่องหลอดใช้ถ่าน๔๘โวลท์ก้อนขนาดแบ็ตเตอรีรถยนต์ ราคาก้อนละ๖๐บาท

06 ธันวาคม 2552

แม่ทอม.... จากทางเดินบนคันนาสู่ถนนสายเอเชีย



แม่ทอมในอดีตคือหมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมือง ทั้งๆที่อยู่ห่างหาดใหญ่แค่๑๐กม และห่างจากสงขลาแค่๒๐กม หากจะไปหาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงโดยเรือหางยาว รวมเวลาที่เรือต้องจอดรับคนตามท่าต่างๆ ไม่รวมเวลาที่ต้องจอดรอผู้โดยสารที่กำลังอาบน้ำกำลังอึ หรือกินเข้าวอยู่ตอนเรือมา ส่วนทางถนนนั้นไม่ต้องพูดถึง รถสี่ล้อแทบจะไม่มีสิทธิ์วิ่ง เพราะบนถนนก็คล้ายๆกับคันนา มีแต่รอยทางเดินเท้า สะพานข้ามคลองอู่ตะเภาที่รถวิ่งได้มีเพียงที่เดียวคือที่ข้างที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเปิดใช้ประมาณปีพ.ศ.๒๕๐๕ ส่วนสะพานรถไฟที่ท่าไทรซึ่งสร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ผ่านได้เฉพาะรถสองล้อ สรุปแล้วแม่ทอมคือแดนห่างไกลกันดาร ถนนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะมาสร้างกันเมื่อในรอบ๓๐ปีที่ผ่านมา สมัยนี้แม่ทอมห่างจากหาดใหญ่แค่๑๐นาทีและห่างจากสงขลาแค่๑๕นาที ถนนสายใหญ่ๆเกิดขึ้นมากมายเชื่อมหาดใหญ่เข้ากับเมืองอื่นๆ ชาวแม่ทอมจึงเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ไกลแสนไกลเท่าที่ถนนจะไปถึง....จวบจนกระทั่งบัดนี้ เด็กแม่ทอมรุ่นใหม่ได้พัฒนาจากการตะโกนข้ามรั้วหรือข้ามทุ่งของคนรุ่นก่อน มาติดต่อพูดคุยกันข้ามเมืองข้ามทวีปโดยใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต การพัฒนาของมือถือและอินเทอร์เน็ตก็เหมือนๆกันกับการเกิดขึ้นของถนนหนทางในยุคที่ผ่านมา เริ่มจากเราเดินจากคันนาสู่ถนนหมู่บ้านและสู่เมือง ตอนนี้เราสามารถเชื่อมต่อบ้านของเราเข้ากับโลกภายนอกโดย information network ไม่ว่าจะเป็นมือถือหรืออินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นเส้นทางสายใหม่ ที่เริ่มจะมีบทบาทต่อชาวแม่ทอมรุ่นใหม่

ไม่ลำบากนักหากเรานึกถึงภาพของถนนสำหรับรถวิ่งและเห็นการเชื่อมที่ต่างๆบนผิวโลกเข้าด้วยกัน แต่ค่อนข้างจะลำบากนิดหน่อยหากจะจินตนาการถึงว่าระบบอินเทอร์เนต เชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วอินเทอร์เน็ตก็เหมือนๆกับการเชื่อมต่อกันของถนนที่เห็นในแผนที่ จากทางเข้าบ้านของแต่ละบ้านสู่ถนนของหมู่บ้าน จากหมู่บ้านสู่เมืองจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งและต่อๆกันไป หากว่าใครจะขับรถจากแม่ทอมไปออสเตรเลียก็ย่อมทำได้ แต่บางช่วงอาจจะต้องเอารถขี่เรือ ในระบบอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นโยงใยคล้ายๆใยแมงมุมที่ขึงดักแมลง จุดต่างๆบนใยแมงมุมจะเชื่อมต่อกันอยู่ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ในระบบของอินเทอร์เน็ต รถเข้าไปวิ่งไม่ได้แต่มีinformationซึ่งเปรียบเสมือนรถที่ไม่มีคนขับวิ่งไปวิ่งมา informationที่ว่านี้คือเลขฐานสอง ซึ่งงแทนด้วยสองสถานะของไฟฟ้าคือมีศักดา (หรือ1)และไม่มีศักดา(หรือ0) สิ่งเสมือนรถนี้เรียกว่าpacket .ในแต่ละpacketจะมีinformationว่ามาจากไหน (เลขIPของเครื่องที่มา) จะไปไหน(เลขIPของเครื่องที่เป็นจุดหมายปลายทาง) ส่วนนี้เรียกว่าส่วนหัว ส่วนถัดมาคือส่วนที่เป็นกระบะของรถสำหรับใช้บรรทุกของ ของในpacketก็คือinformationต่างๆที่เราส่งกันทางinternetเช่นข้อความ รูปภาพ และอีเมลล์เป็นต้น แต่ละpacketจะมีinformationประมาณ1000bytes หรือเท่ากับ1000ตัวอักษร (แต่ละตัวอักษรหรือ1byte มี 8bits , เช่น A=01000001 และ Z=01011010 เป็นต้น) สมมติว่าเราจะส่งไฟล์รูปภาพขนาด50K Bytesไปที่ขอนแก่น คอมฯของเราจะแยกไฟล์ออกเป็น50 packets คอมฯที่อยู่บนเน็ตซึ่งเรียกว่าrouterจะรับส่งpacketsกันต่อๆกันไปเป็นทอดๆ เนื่องจากแต่ละpacketมีที่มาที่ไปอยู่ในส่วนหัว การเดินทางของpacketแต่ละตัวอาจจะไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกันบนเน็ต เช่นตัวแรกอาจจะไปทาง สงขลา-นครฯ-สุราษฯ-กรุงเทพฯ-โคราช-ขอนแก่น อีกตัวอาจจะไปทางสงขลา-มาเลย์-สิงคโปร์-ญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หนองคาย-ขอนแก่น คอมฯที่ขอนแก่นจะเก็บpacketที่มาจากหลายๆเส้นทางมารวมกันเหมือนของเดิมเป็นภาพให้ดูได้ ระบบทั้งหมดที่ทำให้คอมฯทุกเครื่องรู้ว่าจะแตกไฟล์เป็นpacketที่ต้นทาง ส่งต่อกันบนเน็ต และรวมกันใหม่ที่ปลายทางเป็นมาตรฐานที่ตกลงกันทั่งโลกเรียกว่า TCP/IP หรือ Transmission Control Protocol / Internet Protocol สาเหตุที่ต้องมีการ.แตกไฟล์ออกเป็นpacketเพราะแรกเริ่มกระทรวงกลาโหมของอเมริกาเป็นผู้ออกแบบระบบ เขาต้องการให้ระบบสามารถอยู่รอดได้ถึงแม้จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ เพราะpacketsจะยังสามารถไปสู่จุดหมายได้หากว่าเมืองบางเมืองถูกทำลายลงทั้งเมืองโดยอาศัยเส้นทางอื่นๆที่ยังเหลืออยู่

เน็ตมีอยู่สองส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่เป็นของผู้ให้บริการ และส่วนของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการคือใครก็ได้ที่อยากต่อคอมฯเข้ากับiอิเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการเป็นเสมือนเจ้าของท่ารถบนถนนระหว่างเมืองที่ต้องเป็นภาระต่อคอมฯในแต่ละบ้านเข้ากับอินเทอร์เน็ตผ่าน"ท่าของเขา" ส่วนถนนหรือเน็ตก็เป็นสมบัติของอีกพวกหนึ่ง อย่างเช่นองค์การโทรศัพท์หรือบริษัทอื่นๆ มีการวางสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อมทุกทวีปเข้าด้วยกันด้วยไฟเบอร์ออพติคและบ้างก็ใช้ดาวเทียม อินเทอร์เนตจึงเชื่อมโลกเข้าไว้ด้วยกัน ข่าวสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงไปสู่ทุกส่วนของโลก ระยะทางอาจจะยังเป็นความห่างไกลสำหรับถนนบนผิวโลก แต่แทบจะไม่ต้องอาศัยเวลาสำหรับข่าวสาร นับว่าเราโชคดีที่สุดที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน หากเทียบกับคนยุคก่อนๆที่คนอยู่กันมาเป็นพันๆปีโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายเหมือนในช่วงอายุเรา คนเพิ่งประดิษเครื่องบินได้เมื่อร้อยปีก่อน ทีวีเมื่อห้าาสิบปีก่อน คอมฯที่ชาวบ้านซื้อมาใช้ได้เมื่อ๒๕ปีก่อน Windows ๙๕ เมื่อ๑๕ปีก่อน และอินเทอเน็ตก็เพิ่งเข้าถึงมือชชาวบ้านในประเทศที่พัฒนาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เป็นที่น่าเสียดายที่มีคนในแม่ทอมไม่กี่คนที่มีโอกาสได้ท่องอินเทอร์เน็ตและเรียนรู้จากแหล่งความรู้ทั่วโลก บังเหล็มหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนที่มีโอกาสตอนนี้จะบุกเบิกและกรุยทางให้คนแม่ทอมที่ยังอยู่ข้างหลัง ให้ได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้ในสาขาต่างๆอย่างเต็มที่ เมื่อก่อนหากอยากจะรู้อะไรก็ต้องไปห้องสมุด และห้องสมุดก็อาจจะไม่มีเรื่องที่ต้องการให้ค้น เดี๋ยวนี้แค่กูเกิ้ลเอาก็ได้ทันทีทันใด ไม่ว่าความรู้นั้นจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลก....

30 พฤศจิกายน 2552

เสือลอย

เสือลอยคือชื่อฉายาที่เพื่อนๆและชาวบ้านตั้งให้ จริงๆแล้วหลวงลอยเป็นคนดีคนหนี่งของหมู่บ้าน มีจิตใจโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขันอาสางานหนักทุกชนิดแล้วแต่ใครจะออกปากตั้งแต่ตักน้ำขุดดินขึ้นหมากขึ้นมะพร้าวและฯลฯ หลวงลอยเป็นลูกชายคนสุดท้องของป้าเอียดหรือสถานีวิทยุวปถ๖แม่ทอม บ้านป้าเอียดอยู่ติดกับโรงสีข้าวประจำหมู่บ้านซึ่งอยู่ริมคลอง เด็กชายลอยมักจะขโมยน้ำมันจาระบีที่โรงสีมาทาหัว เพราะคิดว่ามันใช้แทนมันใส่ตันโจที่หนุ่มๆยุคนั้นนิยมไดั้ โดยทั่วไปใครๆก็ชอบแก

ที่มาของคำว่าเสือคงจะสืบเนื่องมาจากความคนองผสมกับความหิวเสียมากกว่า จะขโมยบ้างก็คงจะเป็นผลหมากรากไม้ในสวนบ้านนั้นบ้านนี้ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่ากินจนอิ่มแล้วก็หมดกัน ที่หนักกว่านั้นและเป็นที่เล่าลือกันอยู่พักหนึ่ง คือเรื่องไอ้เสือทอมมีผ้าคลุมหน้าเป็นไอ้โม่งปล้นเจ๊กยิ่ว จีนจากหาดใหญ่ที่ถีบจักรยานบรรทุกไอสครีมแท่งหรือน้ำแข็งบอกเข้ามาขายในหมู่บ้าน สมัยนั้นถนนยังเป็นถนนดิน ยุคก่อนที่จะมีถนนลูกรังเสียอีก ราวๆเที่ยงเจ๊กยิ่วจะมาถึงหมู่บ้านและสั่นกระดิ่งเป็นสัญญานว่าน้ำเข็งบอกมาแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่จะขายได้สักกี่อันเพราะเด็กๆไม่ค่อยจะมีสตางค์ซื้อกินทั้งๆที่ราคาแค่แท่งละสลึง ประมาณว่าจากนางนกถึงวัดคูเต่าถ้าขายได้เกิน๑๐แท่งแล้วเป็นอันว่าเจ๊กยิ่วเฮงอย่างสุดๆในวันนั้น บางคราวเด็กๆได้เหรียญสลึงมาก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยเจ๊กยิ่ว แกไม่ได้มาทุกวัน แกมารายสะดวก จึงไม่มีใครรู้ล่วงหน้า หลวงเพียรมักจะเอากระดิ่งผูกคอวัวมาเดินสั่นตามถนนหลอกให้เด็กได้วิ่งออกดูมาคิดว่าเป็นรถน้ำแข็งบอกกันอยู่เนืองๆ

หลวงลอยและหนุ่มๆในหมู่บ้านนับถือหลวงเพียรมาก ยกย่องให้เป็นอาจารย์ เพราะหลวงเพียรมีความรู้กว้างขวาง จู่ๆวันหนึ่งเจ๊กยิ่วไปแจ้งกำนันว่าได้ถูกโจรซึ่งคลุมหัวด้วยผ้าซักน้ำ(ผ้าขาวม้า) โผล่แต่ตาใช้มีดปาดตาลจี้ให้เข็นรถเข้าไปในป่าสาคูหลังหลาทอม พอเข้าไปในดงสาคูก็โดนมัดมือเอาผ้าปิดตาและปิดปาก ได้ยินคนหลายคนออกมากินน้ำแข็งบอกกัน กินกันอยู่หลายชั่วโมงจนน้ำแข็งบอกเกือบหมดถังแต่ไม่แตะต้องเงินและทร้พย์สินอย่างอื่น เมื่อกินเสร็จก็ไล่เจ๊กยิ่วเข็นจักรยานกลับขึ้นไปบนถนน ไม่มีโอกาสเห็นว่ามีใครบ้าง กำนันก็รับปากว่าจะสืบหาตัวคนร้ายมาจัดการให้ เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านก็วิภากษ์วิจารณ์กันด้วยความขบขันเรื่องโจรอุกน้ำแข็งบอก หลายคนพอจะเดาได้ว่ามีใครบ้าง แต่ก็ไม่มีใครออกชื่อ กำนันก็ได้แต่รับปากให้มันพ้นๆไป ในกาลต่อมาบรรดาผู้ร่วมขบวนการก็ออกมานินทากันเองว่าใครกินน้ำแข็งบอกจนอ๊วกในวันนั้น

พออายุครบบวด ป้าเอียดก็จัดงานบวชนาคให้ลูกชายอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งๆที่แกแทบจะไม่มีเงินกะเขา ล้มวัวหลายตัว รับเครื่องไฟท่านเซี่ยฉลองกันอึกทึกครึกโครมสามวันสามคืน ชาวบ้านข้างเคียงมาช่วยงานกลับพร้อมเหล็กขูดทุกบ้าน ด้วยความที่เพื่อนมากเจ้านาคลอยเมาตลอดงาน จนกระทั่งวันบวชก็ยังโงนเงนไม่รู้เรื่องรู้ราว มีพิธีกรรมหลายอย่างในการบวชที่ต้องทำอย่างถูกต้อง การบวชจึงจะสมบูรณ์ เช่นมีการถามตอบเป็นภาษาบาลีว่า "มนุสโสสิ" ซึ่งแปลว่า"ท่านเป็นมนุษย์"ใช่ไหม?"นาคก็ต้องตอบว่า"อามะภันเต"ซึ่งแปลว่า "ครับ ผมเป็นมนุย์" ส่วนคำถามไหนที่ต้องตอบว่าไม่ก็ต้องตอบว่า"นัตถิ ภันเต" คำขานนาค จะมีการฝึกซ้อมกันอย่างดีก่อนเข้าโบสถ์ทำพิธี ถึงแม้ว่าจะมึนๆทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติจนกระทั่งพระถามด้วยสำเนียงเสียงดังฟังชัดทุ้มกระหึ่มโบสถ์ตามปกติ ช้าๆเนิบๆว่า...กุฏถัง..ซึ่งแปลว่า "คุณเป็นโรคขี้เรื้อนไหม" โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อร้ายแรงตั้งแต่สมัยพุทธกาล บวชไม่ได้ตามพระวินัย นาคลอยก็ตอบด้วยความมั่นใจ "อามะภันเต" พระกรรมวาจาจึงถามซ้ำอีก....กุฏถัง..นาคลอยก็ยังคงตอบว่า "อามะภันเต" ถามอีกหลายครั้งก็ยังตอบเหมือนเดิม

กำลังจะเสียพิธีนาคลอยก็หันไปทางที่หลวงเพียรนั่งอยู่ ส่งภาษาใบ้ขอความเห็น หลวงเพียรจึงพยักหน้า นาคลอยจึงค่อยๆอ้อมแอ้มตอบว่า .."นัตถิ ภันเต"..เพิ่งมารู้กันทีหลังว่ามีการสอนขานนาคกันในงานเลี้ยง หลวงเพียรแกล้งนาคลอยโดยการสอนให้ขานว่า.. "อามะภันเต" หากพระกรรมวาจาถามว่ากุฎถัง เพราะกุฏถังแปลว่าจะนอนในกุฎิไหมหลังจากบวชแล้ว

28 พฤศจิกายน 2552

น้ำตาลเดือนห้า

น้ำตาลโตนดเดือนห้าครับ ไมใช่น้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในเดือนห้า บังพูดถึงน้ำตาลที่มาจากต้นตาลโตนดในเดือนขนมจีนของชาวบ้านเรา เดือนห้าเหมือนกันที่ต้นตาลให้ให้ผลผลิตน้ำตาลที่มีคุณภาพเยี่ยม น้ำตาลสดจะใสแจ๋วหวานเข้มอร่อย ไม่ต้องเอาน้ำโคลนขึ้นไปแช่งวง ไม่ต้องเอาไม้หนีบไปหนีบงวงกระตุ้น น้ำหวานจะออกมาจนแทบจะล้นกระบอกโดยธรรมชาติ น้ำตาลหน้านี้จึงเป็นวัตถุดิบอย่างดีสำหรับทำน้ำตาลเมารสเยี่ยมยอด จริงๆแล้วน้ำตาลเมานั้นมันก็คือไวน์ชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับเหล้าองุ่นที่พวกคนในยุโรปกินกันมาเป็นร้อยเป็นพันปี แอลกอฮอล์เป็นส่วนเกินของชีวิต คนดื่มกินยากที่จะมีความพอดี ผลจึงออกมาเป็นโทษเสียเป็นส่วนใหญ่ พุทธและอิสลามจึงห้ามขาดเพื่อตัดปัญหา น้ำตาลเมามีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่าเหล้าโรงมาก อันตรายต่อสุขภาพก็น้อยกว่า แต่รัฐบาลทุคยุคทำทีเป็นเป็นห่วงสุขภาพของบระชาชน ออกกฎหมายให้น้ำตาลเมาเป็นของผิดกฏหมาย แต่เหล้าโรงไม่เป็นไร จริงๆแล้วก็เป็นเรื่องรายได้และผลประโยชน์ สุขภาพเป็นเพียงข้ออ้าง ที่หาดใหญ่มีโรงต้มเหล้าที่ปล่อยน้ำส่าเหล้าลงคลองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและไม่มีใครทำอะไรได้เพราะเส้นเขาหนา ว่ากันว่าเจ้าของโรงเหล้าคือตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการรังควาญชาวบ้านของเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ของที่เข้าข่ายของมึนเมาที่ถ้าชาวบ้านทำแล้วผิดกฏหมายก็คือ น้ำตาลเมา น้ำสมสายชู และลูกแป้ง (แป้งข้าวหมาก) แล้วช่างจองเวรจองกรรมกันจริงๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่สรรพสามิตและชาวบัาน โดนจับไปแต่ละครั้งก็โดนปรับจนหมดตัว ชาวบ้านไม่มีรายได้อะไรมากมาย
วันทำบุญเดือนห้าที่เปลวหนองหินคราวหนึ่ง ตอนเช้ามีการถวายขนมจีนพระตามปกติ พระฉันเสร็จชาวบ้านก็กินต่อ พอสายหน่อยก็มีการทำบุญอุทศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายและเลี้ยงเพล ช่วงนี้ก็จะมีวงน้ำตาลเมาหลายวง บางวงขายบางวงกินฟรีเพราะมีขาใหญ่มาเหมาแจก ก็กินกันพอหอมปากหอมคอ ใครผ่านไปผ่านมาก็ได้คนละขันหรือพล็อก จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนแตกฮือออกจากวงน้ำตาลเมา เจ้าหน้าที่สรรพสามิตกว่าสิบคนซึ่งปะปนมากับชาวบ้านแสดงตัวเข้าจับกุมคนกินน้ำตาลเมา ที่ช่วยกันมัดใส่กุญแจมือได้ก็มีคนแก่และผู้หญิงรวมแล้วเจ็ดแปดคน นอกนั้นวิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง...

บ่าวคลิ้ง
คนบวชแล้วชาวบ้านก็เรียกว่าเณรหรือหลวง ส่วนคนที่ยังไม่บวชเขาก็เรียกไอ้หรือบ่าว ซึ่งแปลว่าพี่ เด็กก็เรียกบ่าว ผู้ใหญ่ก็เรียกบ่าว บ่าวคลิ้งจึงเป็นบ่าวของทุกคนยกเว้นที่อายุมากกว่าแกจะเรียกว่าไอ้คลิ้ง บ้าแกอยู่ตรงนาเนียน บ่าวคลิ้งลงไปนั่งอยู่บนหนมในแหวะโผล่แต่หัวอยู่ในพงหญ้า สรรพสามิตมายืนอยู่ริมคลอง จะลงไปก็กลัวตกหนม...
"ลุง...ลงไปทำทำอะไรในอยู่ในนั้น? ผมเห็นลุงกินหวากอย่ตรงโน้นเมื่อตะกี้" สรรพสามิตตะโกนถาม
"หม้ายนิ...ผมลงมาตรูดหญ้าให้งัวหรอก" บ่าวคลิ้งตะโกนตอบ
"แล้วกินหวากใช่ไหม? ผมเห็นลุงซดอยู่เฮือกๆ ไหนยกมือขึ้นดูซิ ไม่ยกผมยิง?" สรรพสามิตพูดพร้อมยกจุดสามแปดขึ้นขู่
บ่าวคลิ้งรีบยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ สรรพสามิตหัวเราะจนท้องแข็ง เพราะนิ้วชี้ของบ่าวคลิ้งงอคล้ายๆเคียว แกใช้นิ้วชี้แทนมีดงอแกล้งทำเป็นกำลังตัดหญ้า เสียดายที่ลูกไม้แกใช้ไม่ได้ผล

ลุงอิน
ในขณะที่คนอื่นเขาวิ่งกันไปจนหมด ลุงอินค่อยๆเดินเลียบไปทางศาลา ใครคนหนึ่งมาสะกิด ลุงอินสะดุ้งโหยง...
"ลุง...ผมเห็นลุงกินหวากเมื่อตะกี๊"
"หม้ายนิ...."
"ก็ผมเห็นกับตา ลุงยืนซดอยู่"
"กะเบอ...ผมชิมหีดนึงนิ"
"นั่นแหละ...ชิมนั่นแหละ ยื่นมือมาใส่กุญแจ"
เสียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์หัวเราะกันอึง ยกเว้นลุงอินคนเดียวที่หัวเราะไม่ออก เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเสียค่าโง่ที่ไปรับสารภาพโดยรู้เท่าไม่ถึงการ

หลวงเพื่อม
หลวงเพื่อมตอนนั้นกำลังหนุ่มฉกรรจ์ รูปร่างแข็งแรงสูงใหญ่ กินขนมจีนได้เป็นกะชะ หาบข้าวได้เกึอบสองเท่าของคนอื่นๆ กำลังวังชาหาตัวจับยากในตำบล สรรพสามิตนายหนึ่งวิ่งตามหลวงเพื่อมไปทางแหวะ วิ่งตามกันไปสักพักสรรพสามิตก็ต้องหยุดเพราะความเหนื่อย หลวงเพื่อมก็หยุดรอพร้อมทั้งตะโกนบอกว่าพักตามสบายเมื่อไหร่หายหนื่อยก็ค่อยใล่กันต่อ พอสรรพสามิตหายเหนื่อยก็วิ่งไล่อีก ยิงปืนขู่หลวงเพื่อมก็ไม่ยอมหยุดให้จับ เพราะหลวงเพิ่อมรู้ว่าเขายิงไม่ได้เพราะแกไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้ วิ่งตามๆหยุดๆกันไปเกือบถึงวัดคูเต่า สรรพสามิตเลยต้องยอมแพ้หันหลังกลับไปที่หนองหินมือเปล่า

หลวงเพียร
หลวงเพียรวิ่งหนีออกมางนาเนียน โดยมีสรรพสามิตวิ่งตามมาติดๆ หลวงเพียรเป็นน้องชายหลวงเพื่อม แต่ไม่ทรหดอดทนและฝีเท้าจัดเหมือนพี่ชาย จึงจวนเจียนจะโดนรวบอยู่หลายตอน วิ่งก็ไม่สะดวกเพราะวิ่งในนาและต้องวิ่งข้ามคันนา วิ่งมาจนถึงดงตาลใกล้บ้านพ่อท่านเชือน จวนตัวเต็มที่เลยปีนหนีขึ้นไปบนต้นตาล ไต่พะองขึ้นไปนั่งหอบอยู่บนยอด เรียกให้สรรพสามิตให้ตามขึ้นไปจับ สรรพสามิตได้แต่เดินวนรอบต้นตาล แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ลง ยิงปืนขู่หลวงเพียรก็ตะโกนบอกลงมาว่ากูรู้ว่ามึงยิงให้ถูกกูไม่ได้ สรรพสามิตบอกว่ากูจะรอ ก็เลยนั่งเฝ้าโคนโหนดอยู่จนเย็น พรรคพวกต้องพาผู้ต้องหาที่จับได้ไปโรงพักหาดใหญ่ จึงจำเป็นต้องจากไปมือเปล่า

ลุงพุด
ลุงพุดใส่โสร่งจะวิ่งหนีอายุก็มากแส้ว วิ่งก็ไม่ถนัด กะจะมุดรั้วหนีไปอีกด้านหนึ่งของสวนติดป่าช้า คลานเข้าไปติดอยู่ในกอเตยใหญ่ จะไปออกอีกด้านก็ไปไม่ได้ จะกลับออกมาทางที่เข้าไปก็ออกไม่ได้ สรรพสามิตมานั่งยองๆเรียกให้ออกมา บอกให้ชาวบ้านถางก็ไม่มีใครมีพร้า ให้กลับไปเอาพร้าที่บ้านมาก็ไม่มีใครยอมให้ความร่วมมือ จะตามเข้าไปก็เข้าไม่ได้ ลุงพุดเลยรวดตัวไปอีกคน

27 พฤศจิกายน 2552

แม่ทอมหน้าน้ำปี๒๕๕๒







ศาลาท่าน้ำหัวนอนวัดคูเต่า












บริเวณวัดคูเต่า














บริเวณวัดคูเต่า












บริเวณวัดคูเต่า














บริเวณวัดคูเต่า













บริเวณวัดคูเต่า













บริเวณวัดคูเต่า













วัดนารังนก













เณรเริง?













วัดนารังนก













วัดนารังนก













วัดนารังนก













วัดนารังนก













วัดนารังนก













วัดนารังนก













หลาทอมหลังใหม่














ทอม(ที่สาธารณะหรือบ่อเลี้ยงปลา?)
















ริมถนนเข้าหาดใหญ่














ทุ่งแหวะ
















ทุ่งแหวะ

26 พฤศจิกายน 2552

แนะนำบุคคลสำคัญในอดีต


บังเขียนเองคนเดียวคงจะไม่ไหว ต้องช่วยกันเล่าและช่วยกันเขียน เขียนลงในช่องความเห็น แล้วบังค่อยย้ายมาเข้าในหน้าหลัก ตอนนี้เอาเฉพาะคนที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะลุกขึ้นมาโต้แย้งอะไรไม่ได้ แต่ละคนจะมีประวัติย่อซึ่งต้องช่วยกันสืบและเขียน

  1. พ่อท่านหอม
  2. พ่อท่านแก้ว
  3. พ่อท่านเซี่ย
  4. พ่อท่านปาน
  5. หมอกลับหมู่๔
  6. นางเอียดหมู่๔(สถานีวิทยุ วปถ๖)
  7. หมอทองหมู่๓
  8. หมอเหลาะหมู่๔
  9. กำนันรุย
  10. กำนันพ่วง
  11. นายบ้านแนม
  12. นายบ้านคร้าว
  13. นายบ้านนวล
  14. นายบ้านเพื่อม
  15. นายบ้านยอดแก้ว
  16. นายบ้านเกลี้ยง
  17. นายบ้านชุม
  18. นายบ้านคง
  19. ครูนพ
  20. ครูเห้ง
  21. ครูเพิ่ม
  22. ครูแก้ว
  23. ครูอินทอง
  24. ครูอิ้น
  25. ครูหงวน
  26. ครูเจริญ
  27. นายไข่เชื้อ
  28. โนราห์เหี้ยง
  29. หนังหมุน
  30. นายถ้าย(ครูมวยไทย)
  31. นายรอด (มัคทายก)
  32. นางผุย(หมอตำแย)

25 พฤศจิกายน 2552

เรื่องของคนชื่อไข่

ไข่เป็นชื่อยอดนิยมชองบ้านเรา มีทั้งที่เป็นชื่อจริงและขื่อเล่น เมื่อมีหลายไข่ก็เกิดความสับสน จึงมีการเพิ่มคำต่อท้ายเพื่อจะได้รู้ว่าเป็นไข่ไหน ตำต่อท้ายมักจะมาจากชาวบ้านตั้งให้ บังจะนับเฉพาะไข่รุ่นลายครามที่ไม่จ้งแล้ว ส่วนไข่รุ่นพลาสติกจะยังไมนับ แล้วจึงค่อยเล่าเรื่องของแต่ละไข่ไปทีละท่านตามแต่ที่สืบเสาะได้ หากไข่ไหนตกหล่นก็ช่วยกันใส่ให้ครบด้วยครับ ไข่ฮั่น ไข่ตุด ไข่ชุ่น ไข่โขน ไข่เชื้อ และไข่หนู

ไข่เชื้อ....

ท่านเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งของแม่ทอม หากจะเรียกให้หรูหน่อยก็ต้องว่าท่านเป็นเอกทางด้านจิตรกรรมและปฏิมากรรม เป็นภูมิปัญญาประจำตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ บ้านท่านอยู่เลยหลาทอมไปทางทิศใต้เล็กน้อย ท่านมีอาชีพวาดและแกะตัวหนังตะลุงจากหนังวัวและหนังควาย ลูกค้าของท่านจะเป็นนายหนังตะลุงในท้องถิ่นเช่นหนังหมุนและนายหนังจากตำบลใกล้เคียง เล่ากันว่าหนังหมุนซึ่งเป็นนายหนังตะลุงชาวแม่ทอมได้จ้างท่านไข่เชื้อตัดรูปหนังซึ่งเป็นคนพี้นบ้านซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ พอโผล่ออกมาที่หน้าจอแล้วคนก็ฮาตึงทันที แต่ก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของเจ้าตัวและลูกหลานนัก แถมแกตั้งชื่อรูปหนังเหมือนชื่อตัวจริง ที่เด่นๆมีอยู่สามตัวคือ ตาเขียว ยายลาย และตาแท็ง ก่อนที่ตัวหนังจะออกมาบนจอ เสียงของตัวหนังจะนำมาก่อน ตาเขียวจะเริ่มด้วยเสียงไอแค็กๆเพราะแกเป็นวัณโรคปอดเรื้อรัง ยายลายจะนำด้วยเสียด่าเจื้อยแจ้ว แกจะนำเอาสัตว์ใหญ่ๆชนิดต่างๆมาผสมพันธุ์กับคนที่แกไม่ชอบและด่าด้วยพรรณนาโวหารที่เห็นภาพพจน์ขนาดที่ต้องทำให้ท่านเสฐียรโกเศศต้องชิดซ้ายให้ ตาแท็งก็จะมีกระบอกน้ำตาลเมานำหน้าออกมาก่อนเพราะแกเป็นเอกทัคคะในทางขี้เมาของตำบล ส่วนรูปตัวหนังตะลุงของหนังหมุนที่ติดปากชาวบ้านต่อๆกันมาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้คือรูปผี ซึ่งวาดและทำโดยท่านไข่เชื้อ มีความน่าเกลียดน่ากลัวมาก หากใครโดนล้อว่าหน้าตาเหมือนผีหนังหมุนก็เป็นอันว่าโหมละไร้เทียมทาน..... ท่านไข่เชื้อได้รจนานิทานไว้หลายเรื่อง นัยว่าจะได้เค้ามาจากของเก่าเช่นเรื่องท้าวเจ็ดขด ยายชี?กรด กุ้งเด็ก ฤาษีข้าวเย็น ฤาษีนกเค็ด และนิทานใหญ่ บังจะเล่าเฉพาะอันหลังสุดในคราวต่อไป ซึ่งเป็นเรทPGที่เด็กๆฟังได้โดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ปกครอง ส่วนที่เหลือเล่าที่นี่ไม่ได้เพราะติดเรท x

+++นิทานใหญ่(ที่ท่านไข่เชื้อเล่าไว้+++

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในบ้านแม่ทอม มีสองยายตาปลูกขนำอยู่ที่โคกทอมตก ตานั้นชื่อว่าตาคง แกเป็นคนชอบเล่นว่าว (เป็นว่าวจริงๆอะ) ประมาณว่าว่าวของตาคงนั้นตัวใหญ่มาก พอว่าวขึ้นแกก็ปล่อยไว้เช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน วันหนึ่งม็องช็องของว่าวมันเอียง แกเลยบอกให้ยายหุงข้าวเหนียวห่อเตาะหมากให้ ได้แล้วแกก็ใช้เป็นเสบียงในการเดินทางขึ้นไปตามเชือกว่าวเพื่อไปปรับม็องช็องของว่าวให้ถูกต้อง แกเดินทางรอนแรมอยู่หลายวันก็ไปถึงตัวว่าว ในขณะที่ปรับม็องช็องอยู่นั้น ว่าวเกิดหลุดจากเชือก ว่าวก็ลอยไปตามลมและพาเอาตาคงติดไปด้วย อีกหลายวันว่าวและตาคงก็ไปตกที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ว่าวหักเสียหายหมดจึงต้องทิ้ง พบชาวบ้านกำลังชุลมุนวุ่นวาย ไม่มีใครสนใจตาคงและว่าวใหญ่ของแกแม้แต่น้อย ครั้นถามเขาว่าเป็นที่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้ บอกได้แค่ว่าก็อยู่กันมานานตั้งแต่บรรพบุรุษแต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนเหมือนกัน ครั้นถามว่ากำลังทำอะไรกัน เขาก็บอกว่ากำลังนวดและซ้อมข้าวเหนียวเพื่อจะทำเหนียวเรียนเลี้ยงกันทั้งหมู่บ้าน เห็นแต่ข้าวเหนียวใส่ชันวางอยู่เต็มไปหมดแต่ไม่เห็นมีทุเรียน ครั้นถามว่าทุเรียนอยู่ไหนเห็นมีแต่ข้าวเหนียววางเต็มไปหมดเป็นร้อยๆชัน เขาก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าและชี้ขึ้นไปบอกว่าโน่นไงทุเรียน หล่นตั้งหลายวันแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงดินเสียที ถ้ายังไม่รีบไปไหนก็อยู่รอกินเหนียวเรียนกันก่อน ตาคงปฏิเสธว่าไม่พรือจะรีบหาทางกลับบ้าน แกก็ออกเดินต่อมาอีกหลายวัน ก็มาเจอชายคนหนึ่งเข้ากลางทาง ชายคนนั้นถามตาคงว่าเห็นควายของเขาผ่านมาทางนี้บ้างไหมตาคงบอกว่าก็ไม่เห็นเลย จึงถามถึงลักษณะของควายเผื่อว่าจะพบทีหลัง ชายคนนั้นจึงบอกว่าตัวมันก็ไม่เล็กไมใหญ่ แต่เขามันไปเกี่ยวเอาดาวและเดือนแหว่งไปแล้วหลายดวง พร้อมทั้งชี้ให้ดูเดือนบนท้องฟ้าที่มีอยู่แค่เสี้ยวเดียว กำลังจะร่ำลาแยกทางกัน ก็ได้ยิดเสียงดังตึงสนั่นหวั่นไหว ตามด้วยเสียงชัยโยโห่ร้องของคนนับพันมาจากทุกทิศ บ้างแบกบ้างทูนชันข้าวเหนียวบ้างหามสวดบ้างหามเตาวิ่งไปที่โคนต้นทุเรียน จะไปทำเหนียวเรียนกินกัน ตาคงจึงวิ่งตามคนอื่นไป ครั้นไปถึงทุกคนต้องตะลึง เพราะควายตัวที่ชายคนนั้นกำลังตามหา ได้ลงไปปลักกลิ้งเกลือกอยู่ในพูเรียนเสียสองพูแล้ว อย่างไรก็ตามส่วนที่เหลือก็ยังเลี้ยงคนได้เป็นพันแถมทำเรียนกวนไม่ใส่เม็ดในอีกต่างหาก กินเหนียวเรียนจนอิ่ม เอาเรียนกวนห่อเตาะ ร่ำลาชาวบ้านออกเดินทางต่อเพื่อหาทางกลับบ้าน จนกระทั่งมาถึงริมห้วยแห่งหนึ่ง มีต้นไม้ขึ้นอยู่ร่มรื่นนาๆชนิด เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆแกก็พบว่าต้นไม้เหล่านี้ออกลูกเป็นขวด บางต้นลูกกลมบางต้นลูกแบนแตกต่างกันไปแล้วแต่พันธุ์ไม้ โดนลมพัดกระทบกันดังกุ๊งกิ๊งระงมไปทั้งป่า ที่แก่ได้ที่ก็หล่นลงมากองที่โคนต้น ส่วนใหญ่ก้นขวดกระทบหินตอนหล่น ก้นของมันจึงบุบเข้าบ้างในเล็กน้อย ตาคงจึงเข้าใจทันทีว่าเออหนอ ขวดที่ใช้ๆกันอยู่มาจากต้นขวดที่นี่นี่เอง พอถึงหน้าน้ำขวดที่หล่นเรี่ยราดอยู่ทั่วไปคงจะโดนน้ำพัดพาลงไป คนก็เก็บไปใช้สอยใส่นั่นใส่นี่อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ดังนั้นแม่น้ำสายนี้ก็คงจะไหลไปถึงที่แม่ทอมแน่นอน แกจึงเดินเลียบแม่น้ำตามสายน้ำลงมา หลายเดือนถัดมาแกก็กลับถึงบ้านพร้อมกับความรู้ใหม่ๆที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ว่าขวดที่เราท่านใช้กันอยู่นั้นมันเป็นเพียงเปลือกของผลไม้ชนิดหนึ่ง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไข่ฮั่น

ไข่ฮั่นบ้านอยู่ริมคลองใกล้ๆหนองเบา แกมีหัวสถาปนิก ออกแบบบ้านและสร้างเอง ทำไปทำมามีมุขออกมาทั้งสี่ด้านมีช่อฟ้าใบระกา ชาวบ้านก็พูดกันว่าบ้านแกมีลักษณะเหมือนวัด หากเป็นคราวาสทำอยู่จะเป็นกาลกิณี จะจริงจะเท็จไม่เห็นจะทำให้ใครเดือดร้อน หากเจ้าตัวไม่ถือเสียอย่าง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้ามไว้ในพระสูตร เป็นเรื่องที่ว่ากันเอาเอง ตาไข่ฮั่นและครอบครัวก็คงจะมีความไม่สบายใจอยู่พอสมควร เมียของตาไข่ฮั่นชื่อยายเหี้ยง แกเป็นคนเงียบๆทุนเดิมแกสติไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ตอนแต่งงานอยู่กินกะตาไข่ใหม่ๆมาเจอสภาพบางอย่างที่ทำให้แกเข้าใจว่าตาไข่ไปมียายแคงเป็นเมียน้อย จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่มีใครรู้ชัด แต่ยายเหี้ยงพาหญิงคู่กรณีไปฟ้องกำนันรุยให้ตัดสินว่าตาไข่จะเป็นผัวใครแน่ เลยไปเปิดฉากด่ากันต่อหน้ากำนันรุยซึ่งกลายเป็นผู้พิภากษาจำเป็น กำนันห้ามก็ไม่ได้หยุด ผู้พิภากษาแผนโบราณโมโหเลยตบเสียคนละทีแล้วไล่ออกจากบ้าน ทั้งสองคนมีเรื่องด่ากันมาตลอดอีกหลายปี ที่รุนแรงที่สุดยายเหี้ยงได้บุกเข้าไปในบ้านยายแคงคู่กรณีพร้อมด้วยมีดปาดตาลเล่มใหญ่ฟันต้นกล้วยทั้งสวนขาดระเนระนาด เสร็จแล้วบุกขึ้นไปบนบ้านฟันทุกสิ่งทุกอย่าที่ขวางหน้า บานหน้าต่างถูกฟันทะลุห้อยต่องแต่ง ยายแคงกับแม่ไหวตัวทันวิ่งหนีไปก่อนแล้ว ยายเหี้ยงได้กลายเป็นคนวิกลจริตสมบูรณ์แบบตั้งแต่วันนั้น แกลืมภาษาที่แกเคยพูดอยู่ทุกวัน แกพูดภาษากลางกับทุกคนตั้งแต่บัดนั้น แต่สำเนียงและคำพูดที่ใช้ฟังแล้วเหมือนหนังตะลุง ชาวบ้านจึงตั้งชื่อให้ว่า ข้าหลวงน้ำเคย
++++++++++++++++++++++++++++++++

ไข่ชุ่น

ไข่ชุ่นเป็นชาวหนองม่วง ก็เหมือนไข่อื่นๆคื่อแกชื่อไข่เฉยๆ ส่วนคำว่าชุ่นนั่นน่าจะมาจากฉายาที่เด็กๆสมัยโน้นตั้งให้ เพราะแกเป็นโรคประสาทอย่างอ่อนๆ หากเป็นสมัยนี้ก็คงจะเรียกกันว่าDown syndrome แกไม่ได้ทำมาหากินอะไร แต่แกก็มีกินอย่างสมบูรณ์จนแกจะติดไปทางอ้วน แกจะกินอยู่ตามงานศพ ส่วนงานบวชและงานมงคลอย่างอื่นแกไม่เข้า แต่ถ้าเป็นงานศพแกก็จะอยู่กินจนเผา มีใครตายที่ไหนแกจะไปถึงแทบจะพร้อมกับที่คนจะหมดลม โดยปกติแกไม่พูดเพราะแกพูดได้ไม่กี่คำ เด็กสงสัยกันว่าแกมีญาณคล้ายๆอีแร้งที่รู้ว่าจะมีคนตายที่ไหน ถิ่นหากินของแกเริ่มจากบางกล่ำ บางเหรียง บางหยี แม่ทอม คูเต่า คลองแห บ้านหาร ท่าช้าง แกเดินจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งได้ตลอดปี ทั้งปีต้องมีคนตายให้แกไปกินได้ตลอด หากไม่มีใครตายขัดสนเข้าก็อาศัยข้าววัด รอคนตายรายใหม่ หากจะช่วยเจ้าภาพบ้างแกทำงานอย่างเดียวเท่านั้นคือตักและขนน้ำ อย่างอื่นแกไม่ทำ ยังคิดอยู่ว่าตอนแกตายใครเป็นคนจัดการศพให้แก
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไข่โขน

ได้ยินเขาเล่าว่าฉายาโขนหลังไข่นี้ได้มาเนื่องจากแกไปหัดเล่นโขน โดยดัดเอวดัดหลังจนสู้ไไหวจึงไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากโขนเป็นการแสดงของภาคกลาง จึงไม่ค่อยจะแน่ใจว่ามีความถูกต้องแค่ไหน วานลูกหลานช่วยต่อเดิมก็แล้วกัน ลุงไข่แกนุ่งผ้าชนิดพิเศษซึ่งถือเป็นแฟชั่นชั้นนำสำหรับชาวบ้านสมัยก่อน เริ่มต้นด้วยการชื้อผ้าขาวมาผืนหนึ่ง เย็บเป็นผ้าถุงขนาดพอดี แล้วเอาลงหมักในน้ำยาชนิดพิเศษซี่งทำเองจากเปลือกไม้ยางเหนียวนาๆชนิด ทำเสร็จผ้านั้นจะมีความเหนียวทนทานเป็นพิเศษ ใช้ได้เป็นปีๆโดยไม่ขาด ขนาดว่าผ้ามันทนทาน ลุงไข่ก็เช่นรุ่นพี่รุ่นพ่อเช่นกำนันรุย นายบ้านแนม ลุงเคว็ด และตาจันที่ใช้ผ้าอันทนทานกว่าผ้าลีวายส์นี้อย่างทนุถนอม เวลานั่งท่านจะไม่นั่งทับผ้า แต่จะปัดให้มันพ้นก้นก่อนจะนั่งลง นับว่าหนังก้นของท่านเหล่านั้นยังทนทานกว่าผ้าสูตรพิเศษนี้เป็นไหนๆ นั่งบนหนามงับยังไม่รู้สึกระคายเคือง...

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไข่ตุด

ไข่ตุดได้ฉายานี้เพราะมีตุดที่ไข่ แกเป็นคนหน้าตาดี พูดจาสุภาพไพเราะสาวๆติดกันเกรียวมาตั้งแต่หนุ่ม ไข่ตุดจึงมีเมียมากมายหลายคนยากที่จะติดตามขึ้นทะเบียนได้ครบถ้วน เอาเป็นว่าแกเข้าขั้นนักรักตัวฉกาจของแม่ทอมเลยทีเดียว แกอยากเป็นตำรวจมากแต่ไปจับฉลากแล้วไม่ติด (สมัยก่อนตำรวจมีการเกณฑ์แบบทหาร) แกไปได้เครื่องแบบตำรวจมาจากไหนไม่รู้ชุดหนึ่ง หมวกไม่มีหน้าฉิ่งแกก็ทำเอาเองจากกระดาษซองบุหรี่กรุงทอง ปีหนึ่งแกจะได้ใส่เพียงครั้งเดียวคือในวันลากพระ เพราะถ้าใส่วันอื่นอาจจะเจอข้อหาปลอมแปลงเป็นเจ้าพนักงาน ใส่ชุดแล้วแกมักจะตั้งด่านตรวจทั้งทางรถทางเรือเป็นที่ครึกครื้น ตัวอย่างหนึ่งของการเป็นมีมธุรสวาจาของท่านไข่ตุด เป็นที่รู้กันดีว่าครูนพซึ่งเป็นครูเก่าแก่ของหมู่บ้านนั้นเป็นคนตระหนี่อย่างหาตัวจับยากในพิภพจบแดน แกซื้อรถจักรยานยนต์ฮอนด้า๕๐ซีซีใหม่เอี่ยมซึ่งอาจจะนับได้ว่าเป็นรถใหม่คันแรกของตำบลมาคันหนึ่ง ซึ่งแกทนุถนอมสมบัติชิ้นนี้มากกว่าป้าเลี่ยงเมียแกเสียอีก จริงๆแล้วแกหวงทุกสิ่งทุกอย่างที่แกเป็นเจ้าของ สำหรับรถเครื่องคันนี้จึงเป็นสุดยอดแห่งความหวงแหน แทบจะได้แบกไปโรงเรียนแทนที่จะขับ เนื่องจากเด็กๆและชาวบ้านไม่ค่อยจะได้เห็นรถเครื่อง พอแกขับวิ่งไปตามถนน เด็กๆก็ถึงขั้นต้องทิ้งชามข้าววิ่งออกมาดูและวิ่งตาม บางคนก็วิ่งขึ้นหน้านำไปไกล สาเหตุเพราะแกขับช้าๆ ถนอมเพราะกลัวรถเสีย ต่อมาเด็กจึงขนานนามรถคันนี้ว่า"ไอ้ทื่อ" พอไปจอดที่ไหนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ล้อมดูกันไม่รู้เบื่อ เด็กคนไหนมือเถเที่ยวไปจับต้องรถเข้าอาจจะโดนหวดเอาง่ายๆ ประมาณสองสามเดือนหลังจากซื้อรถ ใครๆก็ให้มีอ้นต้องพิศวงงงงวย เมื่อเห็นท่านไข่ตุดสามารถยืมรถคันนี้ขับเข้าหาดใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า ใครถามว่าท่านไข่ตุดใช้วิทยายุทธกระบวนท่าใดจึงกล่อมครูนพได้แกก็ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกใคร ต่อมาท่านไข่ตุดไปเข้าเส้นไหนไม่รู้ แต่ก็คงด้วยมนุษยสัมพันธุ์อันเยี่ยมยอดของแก ได้ไปทำงานเป็นยามอยู่ที่ม.อ.หาดใหญ่ นับเป็นความสมหวังอย่างหนึ่งของแกที่มาได้งานนี้ ความฝันที่จะได้เป็นดำรวจก็ได้เป็นจริงขึ้นมา ได้พกปืน ได้ตั้งด่านตรวจรถตรงประตูใหญ่คอยปิดเปิดไม้กั้นถนน จริงๆแล้วก็คือตำรวจนั่นเอง แต่เป็นตำรวจของมหาวิทยาลัย ชาวแม่ทอมได้เลื่อนตำแหน่งให้แกได้เป็นอธิการบดีก่อนที่จะเกษียณกลับมาอยู่ที่แม่ทอม

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ไข่หนู

ไข่หนูเป็นชาวหนองม่วงเหมือนไข่ชุ่น เป็นอีกคนหนึ่งที่สติไม่ค่อยสมประกอบ แกมีลูกหญิงชายหลายคนแต่ให้มีอันเป็นไปเหมือนกันหมด คือสติฟั่นเฟือนที่ชาวบ้านเรียกกันว่าบ้า โดยปกติหากไม่อยู่บ้านแกจะนั่งนอนๆอยู่ที่หลาต้นไข่เน่าที่หนองม่วงเฝ้าลูกไข่เน่า หากเป็นวันพฤหัส แกจะมาตลาดนัดวัดคูเต่าเอาลูกไข่เน่ามาขาย และเก็บของตกของหล่นที่คนมานัดทำตกไว้ อันว่าการเก็บของตกที่นัดนี้นิยมทำกันมานานในหมู่เด็กๆ พอนัดเลิกคนขายของเก็บของเสร็จก็พอดีโรงเรียนพัก พวกหาของตกจะรีบวิ่งไปที่ตลาดนัด เดินกวาดสายตาไปทุกตารางนิ้วเผื่อว่าจะเจอเหรียญสลึงเหรียญห้าสิบสตางค์หรืออะไรก็ได้ที่คนทิ้งหรือทำตกเอาไว้ กลิ่นตลาดนัดคูเต่านี่มีเอกลักษณ์เฉพาะของมัน เป็นกลิ่นโคลน ผสมกลิ่นเคยและปลาเน่า นึกแล้วอยากอ๊วก แต่สำหรับตอนนั้นมันคือการแข่งขันอย่างหนึ่งว่าใครจะเจออะไรที่มีค่าที่สุด ซึ่งไม่มีอะไรเคยมากไปกว่ายางเส้นและเศษสตางค์ ไม่เฉพาะแต่เด็กๆที่มาหาของตก ไข่หนูก็มาหาเช่นเดียวกัน แกถือไม้กระบองสีดำมะเมื่อมยาวท่วมหัว กระบองอันนี้เป็นอาวุธคู่กายของแก ใครเที่ยวไปตอแยอาจจะโดนทุบเอาง่ายๆ เมื่อต่างคนต่างมาหาของตก ผลประโยชน์ก็ขัดกัน ไข่หนูจะแสดงความไม่พอใจอย่างแรงหากเด็กเจอของ แกจะถือกระบองวิ่งมาตรงที่เด็กเจอแล้วหาบ้าง แบกกระบองเอาไว้บนบ่าเด็กๆต้องวิ่งหนีกันชุลมุล ไม่มีใครอยากจะอยู่ในรัศมีกระบองของไฃ่หนู



Updated โดย : บังเหล็ม วันที่ : 11/25/2009 16:19:52

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

15 พฤศจิกายน 2552

จากเว็ปอบตแม่ทอม (2)

หัวเรื่องกระทู้ :บอกกันหน่อย
เนื้อหากระทู้ :
ตอนนี้ทาง อบต มีการรับสมัครบุคลากร บ้างไหม หรือถ้ามีจะมีในช่วงไหน ผู้รู้ช่วยบอกกันหน่อย
โดย : กอหญ้า IP = 58.147.23.XX วันที่ : 14 ก.ย. 2552 09:31:40

ความคิดเห็นที่ : 1
กำลังรับสมัคร พนักงานวิดทอม หนี่งตำแน่ง สนใจสมัครได้ที่สำนักงานอบต
โดย : บัง วันที่ : 18/8/2009 18:36:43

ความคิดเห็นที่ : 3
แนะนำบังเอาไว้วิดเองแหละกัน จะได้ไม่เปลื่องงบประมาณหลวง ปล. ด้วยปราถนาดีจาก...............
โดย : คนที่บังอาจรู้จัก IP = 111.84.100.XX วันที่ : 24/8/2009 21:38:28

ความคิดเห็นที่ : 4
สมัครโดยตรงที่บังก็ได้ ส่งใบสมัครและResumeมาที่ bungsarong@gmail.com ผู้สมัครจะต้องตอบคำถามข้างล่างได้หมดทุกข้อ (ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น) ใครคือชาวแม่ทอม๓คนแรกที่มีรถเครื่องขับ? (Hint: ฮอนด้า๕๐cc) นายหนังตะลุงคนแรกและคนสุดท้ายของแม่ทอมคือใคร และตัวหนังที่เป็นชาวแม่ทอมชื่ออะไรบ้าง มโนราห์คณะที่เป็นชาวแม่ทอมชื่อคณะอะไร มีเอกลักณ์ทางไหน? ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เคยขึ้นในทอมเรียกว่าต้นอะไร? ผู้ที่สอบผ่านได้เป็นพนักงานวิดทอมจะได้เงินเดือนจากบังโดยตรง ไม่เกี่ยวกับ อบต
โดย : บัง วันที่ : 08/9/2009 02:03:00

ความคิดเห็นที่ : 7
รู้สึกว่าบังจะรอบรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นอย่างดีขอถามบังหน่อยครับว่า..กำนันคนแรกของแม่ทอมชื่อว่าอะไร
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 23/9/2009 10:42:10

ความคิดเห็นที่ : 8
คุณยุคที่๕ กำนันคนแรกก็คือต้นราชวงศ์แก้วกุลนิลนั่นแหละ
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 23/9/2009 17:58:35

ความคิดเห็นที่ : 9
บังราชวงศ์..กุลนิล..หรือ..แก้วกุลนิลกันแน่ครับช่วยตอบหน่อยครับ
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 26/9/2009 16:49:48

ความคิดเห็นที่ : 10
(กำนัน)ทอง แก้วกุลนิล (ช่วงชีวิตประมาณ พ.ศ.๒๔๐๕-๒๔๗๕)
กำนันรุย แก้วกุลนิล (ช่วงชีวิตประมาณ พ.ศ.๒๔๓๕-๒๕๒๕)
กำนันพ่วง แก้วกุลนิล (ช่วงชีวิตประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕-๒๕๔๐)
กำนันเจือ ธรรมชาติ ปัจจุบัน

กำนันทอง คือหัวหน้าบ้านแม่ทอมคนแรก สมัยนั้นยังไม่มีตำแหน่งกำนัน ซึ่งก็คือกำนันที่เรียกกันในสมัยต่อมา กำนันทองมีลูกชาย๓คน คือนายทองนวลซึ่งต่อมาเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่๓ นายแนมซึ่งต่อมาเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่๑ และนายรุยซึ่งต่อมาเป็นกำนันตำบลแม่ทอม(หมู่๒) นายรุยมีลูกชายหญิงหลายคนซึ่งเกิดจากภรรยาสองคน ลูกเขยเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่๔ นายเพื่อมลูกชายเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่๓ต่อจากนายทองนวล นายพ่วงเป็นกำนันสืบต่อจากนายรุย ในช่วงหนึ่งราชวงศ์แก้วกุลนิลครอง๔หมู่บ้าน หมู่๑ถึงหมู๔นับเป็นเวลากว่า๒๐ปี หมู่๕นั้นผู้ใหญ่บ้านเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายกอบตคนปัจจุบันซึ่งเพิ่งได้รับเลือก ชื่อชุม ส่วนผู้ใหญ่บ้านหมู่๖ชื่อคง อย่างไรก็ตามทั้ง๖หมู่บ้านสามัคคีกลมเกลียวกันเป็นอย่างดี หลังจากผู้ใหญ่บ้านหมู่๔ซึ่งเป็นลูกเขยของกำนันรุยเกษียณอายุ นายยอดแก้ว ธรรมชาติ ซึ่งเป็นลูกชายนายยอด ธรรมชาติ เพื่อนร่วมสมัยของกำนันรุย ก็ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแทน ถัดมาก็คือท่ากำนันเจือ กำนันตำบลแม่ทอมในปัจจุบัน ขอกล่าวถึงประวัติ "กุลนิล"และ"แก้วกุลนิล"เล็กน้อย เพราะหลายๆคนอาจจะอยากรู้ คงจะพอนึกออกกันว่าเราเพิ่งใช้นามสกุลกันในสมัยรัชกาลที่๖ ซึ่งตรงกับยุคกำนันทอง แต่เดิมนั้นชาวแม่ทอมและชาวคูเต่าคือคนอพยพ แบ่งออกเป็นสามพวกใหญ่ๆคือ พวกแรกคือพวกที่อาศัยอยู่ในส่วนอื่นๆรอบทะเลสาบสงขลา พวกทีสองเป็นชาวจีนทีมาจากเมืองจีนโดยเรือสำเภา พวกที่สามเป็นชาวอาหรับ เริ่มแรกนั้นก็ตั้งบ้านเรือนกันบนสองฟากคลองอู่ตะเภาเพราะมากันทางเรือ ในส่วนของแม่ทอมนั้นตระกูลของนายนิลเป็นผู้บุกเบิก มีญาติพี่น้องมากกว่าใคร มีทั้งที่มจิตใจใฝ่ในเรื่องดีงามเช่นท่านที่ก่อตั้งวัดคูเต่า และฝ่ายที่เป็นนักเลงหัวไม้เป็นโจรปล้นสดมภ์ มีทั้งพุทธทั้งอิสลาม เมื่อมีการใช้นามสกุลและลำดับญาติก็มีการตั้งกุลนิลขึ้น กำนันทองไม่อยากจะใช้กุลนิลเพราะรังเกียจกุลนิลที่ไม่เป็นคนดี จึงเอาชื่อบิดาของตัวเองมาใส่นำหน้า เป็นแก้วกุลนิล ว่าเป็นกุลนิลเหมือนกัน แต่เป็นฝ่ายนายแก้วซึ่งเป็นฝ่ายธัมมะ ในสมัยต่อมาลูกชายกำนันรุยสองคนได้กลับไปใช้กุลนิล(ไม่มีแก้วนำหน้า)อีก โดยให้เหตุผลว่าท่านไม่สนใจว่าบรรพบุรุษจะชั่วหรือดี บรรพบุรุษก็ยังเป็นบรรพบุรุษ จะกลับไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้

โดย : Bung วันที่ : 26/9/2009 22:17:35

ความคิดเห็นที่ : 11
ขอบคุณบังมากครับที่ให้ความรู้ทำให้รู้เรื่องในอดีตขึ้นอีกแยะแต่ผมทันช่วงหลังจากการเปลี่ยนกุลนิลเป็นแก้วกุลนิลนั้นบางทีบังอาจจะได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อนนะครับเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับการเปลี่ยนกุลนิลเป็นแก้วกุลนิลนี้เกิดขึ้นตอนปลายกำนันรุยใกล้ปลดที่เปลี่ยนเป็นแก้วกุลนิลนี้มีสามท่านนะครับมีกำนันพ่วงแก้วกุลนิลมีนายเพียรแก้วกุลนิลมีนายไพศาลแก้วกุลนิล(ครูหลุบ)นอกจากนั้นยังใช้กุลนิลเหมือนเดิมนายเพิ่มพ่อครูสมพิณก้ใช้กุลนิล(นายเพิ่มนี้เป็นพี่ชายกำนันพ่วง)นายเพื่อมก็ยังใช้กุลนิล(อดีตผู้ใหญ่บ้าน)ก็ไม่รู้จะถูกต้องตามอดีตหรือเปล่าถ้าผิดพลาดก็ขออภัยด้วยครับ.ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายยุคแล้วยุคที่1กำนันทองยุคที่2กำนันรุยยุคที่3กำนันพ่วงยุคที่4กำนันเจือ...ต่อไปก็คงเป็นยุคที่5ไช่ไหมบังบางทีสุมาอี้อาจจะกลับมา
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 28/9/2009 08:43:39

ความคิดเห็นที่ : 12
ข้อมูลของบังไม่ผิดหรอก ของคุณยุคที่๕ละสิที่คลาดเคลื่อนอย่างแรง บังเคยไปค้นที่อำเภอ(หาดใหญ่) สัมภาษณ์คนที่รู้เรื่องหลายคนเมื่อหลายปีก่อน บังยืนยันอีกครั้งว่าถูกต้อง นายบ้านแนมและนายบ้านนวลซึ่งเป็นลูกของกำนันทองก็แก้วกุลนิล ลูกสาวของนายบ้านแนมซึ่งเมื่อก่อนทำงานอยู่ที่ๆว่าการอำเภอหาดใหญ่ก็ใช้แก้วกุลนิลและเป็นคนช่วยบังค้นหลักฐานบางส่วน ต้นตระกูลแก้วกุลนิลที่กล่าวถืงทั้งหมดเคยอยู่ที่หมู่๔ ถัดจากบ้านครูสมพิณไปทางทิศเหนือ คุณยุคที่๕คงจะได้รับฟังมาผิดๆ มืคนทอมที่รู้จริงเหลืออยู่ไม่กี่คน นอกนั้นแลอะๆเลือนๆเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่เพราะไม่เคยค้นและบันทึก ก็คงเพราะฤทธิตะหวาก แถมให้อีกนิด เผื่อว่าคุณยุคที่๕จะเป็นปลายแถวของกุลนิล ภรรยาของกำนันทองนั้นชื่อเหนี้ยว เป็นบุตรสาวชาวจีนอพยพจากมลฑลกวางตุ้งแซ่เส็ง ยังมีฮวงซุ้ยอยู่ริมคลองฝั่งตะวันตก เยื้องๆกับวัดใหม่หรือบ้านหัวควาย แกได้ตั้งชื่อหลานคนหนึ่งซึ่งเกิดจากกำนันรุยว่า"เส้ง"เพื่อรักษาแซ่เอาไว้ ยังมีเรื่องของธรรมชาติ บัวทอง ดวงสุวรรณ ลัภกิตโรและอีกหลายๆนามสกุลที่บังมีรายละเอียดอยู่ ว่างๆก็แวะมาคุยกะบังแล้วจะเล่าให้ฟัง
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 28/9/2009 09:47:01

ความคิดเห็นที่ : 13
บังครับเส้งนี้พ่อของครูหลุบหรือเปล่าครับก็แปลว่าตระกูลกุลนิลนี้แท้จริงคงเป็นเชื้อสายชาวจีนไม่ทราบว่าเป็นจีนใหน..แต้จิ๋ว..ฮกเกี้ยน..ไหหลำ..หรือว่าจีนแคระครับ.ดีมากเลยครับที่อบตแม่ทอมได้จัดทำเว็บบอร์ดนี้ขึ้นมาทำให้ได้รับความรู้แยะขึ้นอยากถามบังอีกสักข้อครับเรื่องทวดทอมอยากถามว่ารูปปั้นแกะสลักไม้ทวดทอมนี้ทำจากไม้อะไรครับบัง
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 28/9/2009 10:12:43

ความคิดเห็นที่ : 14
ใช่ครับเป็นนายเส้งพ่อครูหลุบ หลักฐานว่าใครเป็นใครในกุลนิลยุคก่อนกำนันทองนั้นไม่ค่อยแน่ชัด อย่าลืมว่านี่ตรงกับสมัยรัการที่๓-๔หรีอพ.ศ.๒๓๐๐-๒๔๐๐ เท่าที่รวบรวบรวมได้นั้น กุลนิลรุ่นก่อนกำนันทองสายหนึ่งเป็นเชื้อสายแขกเปอร์เชีย มีการทำพิธีทางอิสลามที่สั่งสอนกันมามาจนถึงยุคกำนันทองแล้วหายไป ส่วนทางสายจีนนั้น การไหว้บรรพบรุษช่วงตรุษจีนนั้นยังคงปฏิบติกันอยู่จนปัจจุบันที่บ้านที่เคยเป็นที่เกิดของกำนันทอง ซึ่งในปัจุบันคึอบ้านเลขที่๘หมู่๔ ส่วนที่ถามว่าเป็นจีนสาฃาไหนนั้นหาหลักฐานไม่ได้รู้แต่ว่ามาจากกวางตุ้ง พวกแก้วกุลนิลมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหนักไปทางแขกมากกว่าจีน เท่าที่เคยสอบถามลูกหลาน ทั้งกำนันทองและภรรยาก็มีรูปร่างสูงใหญ่ ความจริงอันนี้คงจะบอกได้คร่าวๆถึงชาติพันธุ์ที่มาทั้งทางแขกและจีน ส่วนรูปสลักของทวดนั้นเท่าที่รู้ทำจากไม้ขนุนที่ขึ้นอยู่ใกล้ศาลา แต่ไม่รู้อันไหนเป็นอันไหนทำกันหลายครั้งเพราะอันเก่าหายไป
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 28/9/2009 18:09:30

ความคิดเห็นที่ : 15
ขอบคุณบังเหล็มครับก็เท่ากับกุลนิลนี้เป็นการผสมกันระหว่างอิสลามกับจีนแน่นอนครับวันก่อนไปงานแต่งงานของตระกูลกุลนิลก่อนวันทำพิธีเขามีการทำดูหลีมีการแกงแพะแล้วเชิญโต๊ะครูมาทำพิธีทางเจ้าภาพบอกว่าตายายทวดเป็นอิสลามตอนนี้พิธีนี้ยังไม่หายไปครับบังยังมีอยู่แล้วที่ถามเรื่องรูปแกะสลักไม้ของทวดไม่ไช่อะไรหรอกครับคือว่าทวดทอมนี้ศักดิ์สิทธ์มากให้คนถูกหวยหลายครั้งแล้วก็อยากทราบว่าไม้ที่ไช้แกะสลักนั้นเป็นไม้อะไรตอนนี้รู้แล้วเป็นไม้ขนุน..เป็นไม้มงคลครับบังแค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว..ขนุน..ถ้าเรียกสั้นๆคือหนุน.หนุนให้คนมีโชคมีลาภขอบคุณบังอีกครั้งถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวผมขอถามทางเมล์ก็ได้สมัครแล้วครับ
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 29/9/2009 08:41:38

ความคิดเห็นที่ : 16
บังนายบ้านเถ็กดูดีดีนี้คล้ายแขกเปอร์เซียมากหล่อคมเข้มมีขนที่หน้าอกเป็นแผงแน่นอนเลยกุลนิลมีเชื้อสายแขกแน่นอนเป็นเหตุผลที่สนับสนุนได้ครับบัง..ว่าแต่บังได้รับเมล์ที่เกี่ยวกับ..มิสมาเลย์..หรือยังเดี๋ยวจะส่งไปให้สวยสุดยอดครับบัง
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 29/9/2009 09:44:56

ความคิดเห็นที่ : 17
เล่าไปเล่ามาบังก็ค่อนข้างจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจพอสมควร เพราะมีชื่อคนหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เว็บบอร์ดเป็นที่สาธารณะ เอาเป็นว่าเอาไว้คุยกันข้างนอกดีกว่า บังก็ป้วนเปี้ยนอยูแถวใกล้ๆนี้แหละ หากส่งอีเมลล์มาก็บอกบ้างว่ามาสายทางไหน อาจจะรู้จักกัน จะได้นัดถองตะหวากกันสักสองสามไห บังคาบตาลและเทเอง รับรองไม่ใส่ยาทันใจเหมือนของท่านดวง ปากทอม
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 29/9/2009 10:19:26

ความคิดเห็นที่ : 18
บังครับผมพึ่งจะนึกได้ครับแน่นอนกุลนิลนี้มีเชื้อสายอิสามแน่นอนชัวส์ออดิโอแน่นอน..ถ้าไม่อย่างนั้นตอนเลือกอ.บ.ตที่ผ่านมานายบ้านเถ็กคงไม่ส่ง..กุลนิลลงชนกับ..แก้วกุลนิลแน่นอนก็เหมือนที่บังว่านั่นแหละกุลนิลนี้บุตรเขยสไภ้เชื่อมโยงกันกว่า50เปอร์เซนต์ของชุมชนถ้าเป็นแบบนี้กุลนิลคงจะแตกเป็นก๊กเล็กก๊กน้อยอีกไม่นานก็คงแตกละเอียด..ครับตามประวัติศาสตร์ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแผ่นดินเมื่อรวมกันแล้วก็จะแตกเมื่อแตกแล้วก็จะรวมกันเป็นเช่นนี้มาตลอด..ว่าแต่บังคาบตาลด้วยหรอบังทำกินหรอยมั๊ยไหมเทียบกับน้ำตาลหลวงเปลียวนี้พอจะวัดกันได้หรือเปล่า..พอพูดถึงน้ำตาลนี้ชักเปลี้ยวปากขึ้นมาแล้วละบังใว้โอกาสดีๆค่อยนั่งถองหวากกันสักครั้ง..กินหวากกับเพื่อนที่รู้ใจกินสักพันไหก็ไม่เมา..ว่าแต่บังเถอะเป็นอิสลามกินหวากแล้วไม่บาปหรือบัง
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 29/9/2009 11:11:55

ความคิดเห็นที่ : 19
แขกบ้านเราก็มีที่มาต่างกัน ส่านใหญ่เเป็นแขกที่มาจากแผ่นดินแถวแหลมมลายูและชวา พวกนี้ตัวเล็กส่วนใหญ่เป็นอิสลามนิกายสุหนี่ ส่วนพวกที่มาจากเปอร์เชีย(อิหร่านในปัจจุบัน)เป็นนิกายชีอะแทบทั้งหมด พวกนี้รูปร่างสูงใหญ่เมื่อเทียบกับแขกแหลมมลายูและชะวา พวกเปอร์เชียเคยเป็นศุลต่านเมืองสงขลา (ฝั่งเขาแดง)ในสมัยพระนารายณ์ ส่วนบังเหล็มเป็นพวกแขกตี้ จึงคาบตาลเทเมาและกินได้โดยไม่บาป แขกแม่ทอมส่วนหนึ่งเป็นแขกนอกคอกมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ แขกจากที่อื่นมาเห็นเข้าแล้วสะอึก
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 29/9/2009 20:58:17

จากเว็ปอบตแม่ทอม (1)

หัวเรื่องกระทู้ :จับตาการปลดและแต่งตั้งลูกจ้างกับธาตุแท้คณะผู้บริหารชุดใหม่
เนื้อหากระทู้ :
หลังจากที่ กกต.รับรองผลการเลือกตั้ง อบต.แม่ทอมแล้ว และผู้บริหารชุดใหม่กับบรรดาสมาชิกเข้าทำงานอย่างเป็นทางการแล้ว ต่อไปต้องจับตาดูว่าผู้บริหารชุดใหม่จะดำเนินการใดเป็นสิ่งแรก ปลดคนงานชุดเก่า เอาชุดใหม่ในทีมงานเข้าทำงานแทนหรือจะรีบดำเนินงานตามนโยบายต่าง ๆ เมื่อครั้งหาเสียง...เรื่องนี้ต้องคอยจับตาครับ
โดย : พลังหนุ่ม IP = 115.67.170.XX วันที่ : 28 ต.ค. 2552 13:28:10

ความคิดเห็นที่ : 1
ลูกจ้าง คือ คนทีนายกจากเพื่อเป็นทีมงาน นอกเหนือจากพนักงาน หรือข้าราชการ ที่จะช่วยทำงาน สมมุติ หากคนขับรถยนต์คนเดิม เป็นคนที่อีกฝ่ายเข้ามาทำงาน แล้วถามว่า ถ้าผมเป็นนายก ผมจะไว้ใจได้แค่ไหน คนขับรถกับนายกต้องไปด้วยกันตลอด ถามว่า ถ้าไว้ใจไม่ได้ จะสามารถรักษาความลับทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวของนายกได้ไหม๊ นี่คือตัวอย่าง เอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย อย่าวิจารณ์อย่างเดียว และไม่ต้องมาตั้งประเด็นให้มีการเกลียดชังกัน แต่หากมีการสอบเข้าเป็นข้าราชการ หรือพนักงานประจำ ท่านค่อยตรวจสอบอีกทีก็แล้วกัน
โดย : คนทอม IP = 61.19.66.XX วันที่ : 02/10/2009 15:08:58

ความคิดเห็นที่ : 2
ว่าจะไม่ขอออกความเห็นแล้วเชียวแต่ก้อดไม่ได้ถ้าคนทอมคิดแบบนี้ก็แปลว่าค่าของคนอยู่ที่คนของใครนะซิผมก็ขอให้คนทอมคิดในมุมกลับร้อยแปดสิบองศาดูซิถ้าคนขับรถคนนั้นเป็น..คนทอม..ต้องมาโดนปลดหรือบีบออกเพราะเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามโดยที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร คนทอมจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้าท่านนายกคนปัจจุบันมีวิสัยทัศน์หรือมีความคิดแบบนี้ผมคิดว่าออกไปขายแอมเวย์หรือเลี้ยงหมูอย่างเดิมดีกว่า ..แต่ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าระดับภูมิปัญญาของคนที่เป็นถึงระดับ.ผอ.มาก่อนคงจะไม่มีความคิดตื้นๆแค่นี้..ขอบคุณครับ
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 03/10/2009 11:17:51

ความคิดเห็นที่ : 3
คุณยุคที่ 5 ผมขออธิบายให้คุณฟังใหม่ ผมบอกแล้วว่าสมมุตินะ เข้าใจไหม๊ และที่สำคัญคุณก็ต้องคำนึงถึงโลกแห่งความเป็นจริงด้วย และที่สำคัญผมก็ไม่รู้ว่าคนที่เป็นคนขับรถคนเดิมเป็นใคร เป็นญาติใคร และมีนิสัยอย่างไร เรื่องคนดีไม่ดีผู้บริหารจะเป็นคนตัดสินใจเอง อย่าลืมว่าท่านนายกต้องการทีมงานที่ร่วมกันพัฒนาแม่ทอมเรา ถ้าสมมุติอีกนายกคนเก่าซึ่งมีความขัดแย้งกับนายกคนใหม่มาก เคยจ้างญาติตัวเองเป็นแม่ครัวหรือมือปืนไว้ ผมถามว่า ถ้าคุณได้เป็นนายกคุณจะจ้างบุคคลทั้งดังกล่าวไว้เป็นแม่ครัวหรือมือปืนอีกหรือไม่ (ขอให้มองถึงความจริง) ผมบอกไว้ว่า ผมก็เป็นผู้บริหารหน่วยงานของรัฐด้วยเป็นคนแม่ทอมโดยกำเนิด ที่ไม่เคยใช้เส้นสายในการเข้าทำงาน ใช้ความสามารถของตัวเองล้วนๆ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่ทำงานผมอยู่ที่ไหน และผมก็เป็นญาตินายกเกษมด้วย ไม่รู้จักนายกคนใหม่ด้วยซ้ำ เห็นแต่ในภาพที่หาเสียงเท่านั้น และผมคิดว่า แม่ทอมเราน่าจะดีกว่าเดิม และผมไม่เห็นด้วยที่กับผู้ได้เป็นประธานสภา เลยทำให้รู้ว่า บ้านเราไม่พัฒนาจริง ควรเอาคนที่มีความรู้ สามารถอ่านระเบียบ กฏหมาย หรือ ยังมีความสามารถในการศึกษาหาความรู้พัฒนางานด้านสภา ได้มากกว่านี้ เอาคนแก่มาเป็นประธานสภา โอกาสหน้าขอให้คิดใหม่ๆหน่อย แต่ขอโทษอีกที่ถึงวันนี้ ผมยังไม่รู้ว่า ผู้บริหารมีใครบ้าง สมาชิกมีใครบ้าง สรุปมาให้ผมทราบหน่อย ขอบคุณ
โดย : คนทอม IP = 61.19.66.XX วันที่ : 03/10/2009 14:09:18

ความคิดเห็นที่ : 4
ผมเห็นด้วยกับความเห็นของจอมยุทธทั้งสองท่าน เป็นการมองจากคนละมุม ท่านคนทอมมองจากความเป็นจริงในทางปฏิบัติ แต่ท่านยุคที่๕มองโดยอาศัยความบริสุทธิยุติธรรมเป็นที่ตั้ง จริงๆแล้วความเห็นที่แตกต่างทั้งสองสามารถที่จะไปด้วยกันได้ คือต้องใช้กฏกติกาที่มีอยู่แล้วในการวินิจฉัย ก็เห็นกันอยู่ในประวัติศาสตร์ หากมีการเปลี่ยนราชวงศ์ครั้งใด ก็มีการถอนรากถอนโคนกันเสียทีหนึ่งโดยไม่มีความปรานีใดๆ ปัจุบันหากมีการเปลี่ยนรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้จะไม่มีการฆ่า๗ชั่วโคตรเหมือนสมัยก่อน ก็จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งการเมืองยกชุด ส่วนที่เป็นข้าราชการประจำก็อาจจะต้องมีการโยกย้ายตามแต่ผู้นำคนใหม่จะเห็นสมควรในขอบเขตของกฏหมาย คนที่เป็นข้าราชการอาชีพที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนั้นมักจะอยู่รอดเพราะความเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนคนเล่นพรรคเล่นพวกมักจะตกกระป๋องไปพร้อมๆกับนายคนเก่า.......ผมได้ติดตามอ่านความเห็นของท่านคนทอมมาหลายปีเงียบๆ นึกนับถืออยู่ในใจ บอกว่าเป็นชาวแม่ทอมโดยกำเนิด แต่ให้มีอันต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดออกสู่ยุทธจักรแต่เยาว์วัย ตกระกำลำบาก มุมานะร่ำเรียนวิทยายุทธจนสามารถฝ่าด่าน๑๘มนุษย์ทองคำของวัดเส้าหลินออกมาขจัดมารพิทักษ์ธรรมในยุทธจักรได้อย่างเต็มพากภูมิ แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยมีความคับแค้นรันทดอันใดในชาติกำเนิดบองตัว จึงต้องแปลงโฉมหลบตัวเร้นกายมิให้ผู้คนรู้จักจำได้แม้กระทั่งญาติแลสหายทั้งหลายที่เคยเล่นชี้โพตีตูดกันที่นาออกเมื่อกาลก่อน ว่าเดี๋ยวนี้มีศักดิ์เป็นหลงจู๊ทำราขการรับใช้ฮ่องเต้ในสาขาลึกลับแห่งหนึ่ง ข้าน้อยผู้น้องก็พลอยชื่นชมในบุญญาบารมีไปด้วย เฝ้าเพียรเรียนถามว่าท่านคนทอมจอมยุทธผู้กล้าเป็นใครจะได้ส่งเทียบไปคารวะเชิญมารับประทานสุราสักสองสามจอก ก็ไม่เคยได้รับเกียรติตอบรับ อาจเป็นเพราะบังเหล็มต่ำต้อยเกินไปในเชิงวิทยายุทธและมิอาจเทียบเทียม อันบุญคุณความแค้นอะไรก็ตามแต่เก่าก่อนที่พี่ท่านแบกไว้เต็มบ่านั้นน่าจะถึงเวลาให้ปลดวางและทิ้งได้ข้างหลังได้แล้ว
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 04/10/2009 02:15:50

ความคิดเห็นที่ : 5
ในฐานะที่เป็นคนตั้งกระทู้ เลยแวะเข้ามาทักทาย การที่คนทอมบอกว่าอย่ามาตั้งประเด็นให้มีความเกลียดชังกันนั้น ผมไม่ทราบว่าท่านคิดอย่างไร แต่การที่ผมตั้งกระทู้ไปนั้นเพื่ออยากรู้ทัศนคติทางการเมืองของแต่ละท่านเท่านั้นเอง ความที่คนทอมอธิบายมานั้นใคร ๆ เขาก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ยิ่งบังเหล็มมาขยายความต่อยิ่งเห็นชัดเจนว่าการเมืองในบ้านเรานั้น เป็นอย่างที่ว่าจริง และนั่นคือความจริงที่ดำรงอยู่ พลังหนุ่มขอถามต่อว่าแล้วสังคมที่พึงปรารถนา สังคมที่ดีงาม ควรเป็นอย่างไร หรือเล่นกันไปตามการเมืองเก่า ๆ ล้าสมัย เรามาช่วยกันจรรโลงสังคมให้น่าอยู่ไม่ดีหรือ อย่าไปสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่ดีเลย โดยส่วนตัวแล้วพลังหนุ่มก็เอาใจช่วยทีมใหม่อยูเหมือนกัน แต่นี่เรามาช่วยกันติหรือทักท้วงกันล้วงหน้า ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดมิควร ถ้าท่านและทีมงานสามารถก้าวผ่านและยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นกว่าบุคคลอื่นหรือทีมเก่าที่ท่านเคยนินทาเขา ท่านก็นับเป็นยอดคนแล้วและมันผู้ใดก้าวผ่านไปได้มันผู้นั้นสมควรได้รับคำกล่าวสรรเสริญ
โดย : พลังหนุ่ม IP = 115.67.186.XX วันที่ : 04/10/2009 14:13:18

ความคิดเห็นที่ : 6
ขอบคุณบังเหล็มที่เข้าใจผม แต่ท่านพูดถึง "นานอก" ผมไม่รู้จัก อยู่ส่วนไหนของแม่ทอมเรา อย่าหาว่าผมลืมบ้านตัวเองนะ "ท่าตก" "ท่องกอไหล" "หลาตาวัน" "แหวะ" "หลาทวด" ผมรู้จักและเรื่องกินเหล้าผมกินน้อย(ไม่เคยเมาให้คนบ้านเราเห็น) ไม่เล่นการพนัน บุหรี่ไม่สูบ น่าจะทำให้ท่านทราบได้ว่าผมดี เลว แค่ไหน พ่อแม่ผมควรได้เป็นพ่อ แม่ ตัวอย่างด้วยซ้ำ ผมกลับไปบ้านผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ผู้ใหญ่ หรือเพื่อน บางคนเรียก "ไอ้..." "มึง" แต่ก่อนไม่มีใครสนใจครอบครัวผม ซึ่งพวกเขาว่ายากจน ไม่มีใครชวนเข้าบ้าน และที่ท่านบอกว่า " เป็นชาวแม่ทอมโดยกำเนิด แต่ให้มีอันต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดออกสู่ยุทธจักรแต่เยาว์วัย ตกระกำลำบาก มุมานะร่ำเรียนวิทยายุทธจนสามารถฝ่าด่าน๑๘มนุษย์ทองคำของวัดเส้าหลินออกมาขจัดมารพิทักษ์ธรรมในยุทธจักรได้อย่างเต็มพากภูมิ" มันก็มาจากสาเหตุที่ว่าครอบครัวผมจนพ่อแม่จึงส่งให้พวกผมศึกษาหาความรู้ให้สูง ซึ่งก็ได้เรียนหนังสือสูงทุกคนเพื่อจะได้มีงานทำที่ดี เป็นคนดีของสังคม กลับมาพัฒนาบ้านเรา ซึ่งสักวันหนึ่งพวกท่านก็คงจะรู้ว่า ครอบครัวผมเป็นใคร ณ ตอนนี้ผมไปมาแล้วทุกประเทศรอบเมืองไทย ทั้ง พม่า ลาว เขมร มาเลเซีย ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้ไปไกลถึงขนาดนี้ เคยเป็นเด็กเลี้ยงวัว หากบ หาปลา เก็บลูกไทร ลูกหัวครกขาย เคยเป็นเด็กวัด ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ที่อื่น คนที่ไปหาผมทุกคนต้องยกมือไหว้(ยกเว้น พระ )เรียกผมว่า ท่านหัวหน้า การที่ผมเข้ามาวิจารณ์ในกระทู้ของ อบต.แม่ทอม เพียงเพราะอยากทราบความเคลื่อนไหวของการเมืองบ้านเรา ทราบความคิดของคนที่สามารถเข้ามาอยู่ใน เน็ต ก็เท่านั้นเอง ใครจะด่า จะว่า อย่างไรผมรับฟัง เพื่อข้อมูลต่างๆที่เราพูดถึงกันได้ทำให้คนอื่นและผู้บริหาร หรือสมาชิก ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ในการบริหาร การตรวจสอบ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ พวกเราที่เป็นคนแม่ทอม จะได้ร่วมรับทราบและตรวจสอบด้วย ขอให้ทุกท่านได้ร่วมกันตั้งกระทู้ที่เป็นประโยชน์ให้พวกเราได้รับทราบ และขอให้ผู้บริหารช่วยเข้ามาตอบกระทู้ หรือชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย ระบุชื่อ ตำแหน่งด้วย ท่านต้องเปิดเผย ถามคำถามหน่อย ผมชอบคุณบังเหล็ม มีความคิดดี อยากรู้ว่าบ้านอยู่หมู่ไหน
โดย : คนทอม IP = 61.19.66.XX วันที่ : 04/10/2009 21:04:27

ความคิดเห็นที่ : 7
"นาออก"ครับคุณคนทอมไม่ใช่"นานอก" นาออกคือที่นาริมคลองตรงกันข้ามกับวัดเก่า(วัดอู่ตะเภา)ฝั่งตะวันตก หากเป็นญาติของอดีตนายกเกษมก็คงจะนึกออก ตรงนี้เคยเป็นที่นาของพวกญาติๆของอดีตนายกเกษม ผมคิดว่าคุณคิดมากเกินไปนะครับ ว่าครอบครัวของคุณโดนเพื่อนบ้านดูถูก ผมว่าคนที่ดูถูกคนดีในแม่ทอมนั้นมีเพียงน้อยนิด แต่ส่วนใหญ่เป็นคนดีโอบอ้อมอารี จริงๆแล้วชาวแม่ทอมเป็นเครือญาติกันแทบทั้งหมด ก็คงมีบ้างที่กระบบกระทั่งกัน บางครั้งพี่น้องท้องเดียวกันก็ยังทะเลาะกัน เรื่องธรรมดา แต่หากจะพกพาเอาความคับแค้นขมขี่นข้ามเดือนข้ามปีก็คงจะมีแต่คนที่แบกที่หามความรู้สึกอันนั้นเท่านั้นที่เป็นทุกข์ คนอื่นๆอาจจะลืมไปเสียนานแล้ว ฐานะทางเศรษกิจและสังคมของชาวแม่ทอมไม่ได้ต่างกันมากมาย ผมว่าในอดีตในช่วงอายุเรามันจนเหมือนกันทั้งนั้น แม่ทอมเคยเป็นสังคมกสิกรรมผลิตแต่พอเลี้ยงครอบครัว ตอนนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง ในส่วนของผมคิดว่าทุกคนเป็นคนดีครับ คิดแล้วสบายใจเพราะไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดกะเราอย่างไร ผมเขียนเป็นภาษาบู๊ลิ้มสนุกๆ ไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นดูแคลนหรือชวนเมานะครับ ความจริงผมก็ไม่ใช่คนนิยมเมาและ เลิกเมาในทุกๆเรื่องมานานแล้ว ในส่วนของผมการประสพความสำเร็จสูงสุดไม่ได้อยู่ที่ผมได้ไต่บันไดดาราได้จนถึงจุดสูงสุดที่กำลังของผมจะทำได้ในสังคม แต่เป็นจุดที่ผมค้นพบตัวผมเองและเข้าใจโลกและชีวิตดีขึ้นกว่าเก่า ความสำเร็จอย่างหลังนี้จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ไม่เกี่ยวกับระดับการศึกษาในโรงเรียน หากสังเกตุดีๆ จะพบคนเช่นนี้อยู่จำนวนหนึ่งในทุกๆที่ ในทุกชาติและทุกภาษา ซึ่งดูเหมือนว่ามีคุณพ่อคุณแม่ของคุณรวมอยู่ด้วย ความรู้ที่เกิดขึ้นเป็นการสัมผัสกับสัจจธรรมของแต่ละบุคคลด้วยตัวเองคล้ายๆกับการรู้ร้อนรู้หนาวแต่ซับซ้อนกว่า ไม่มีใครเหนือกว่าใครในความรู้ชนิดนี้ เป็นสิ่งที่ภาษาหนังสือเขาเรียกว่าwisdom ดังนั้นคนแก่ก็อาจจะไม่ใช่คนล้าสมัยไปเสียทั้งหมด ที่สามรถชี้ทางที่ถูกต้องให้คนรุ่นใหม่ได้นั้นก็มีอยู่ ที่แก่พร้าวเฒ่ามะละกอก็มีมาก
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 04/10/2009 23:40:11

ความคิดเห็นที่ : 8
ผมยอมรับในตัวของท่านบังเหล็มครับในยุทธจักรนี้ในแม่ทอม ในอดีตถ้าพูดถึงบังเหล็มทุกคนจะร้องอ๋อในทันทีในขณะที่บังเหล็มอยู่ช่วงวัยรุ่นผมยังหัวเท่ากำปั้นอยู่เลยนะครับสำหรับคนทอมก้เหมือนกันนะครับยอมรับในมุมมองสำหรับการเมืองถูกทุกมุมแหละครับแล้วแต่จะมองกันในมุมใหน..แต่สำหรับการเป็นผู้นำสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้นำคืออะไร..คือการมีคุณธรรมถ้าผู้นำขาดการมีคุณธรรมเสียแล้วจะเกิดอะไรขึ้นในสังคมสิ่งที่ผมบอกว่าไม่เชื่อว่าผอจะมีความคิดตื้นๆเพียงแค่นี้ก้เพราะท่านเคยเป็นถึงอดีตครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษร์ลูกหามามากมายคนที่เป็นครูบาอาจารย์จิตใจของความเป็นครูย่อมสูงส่งย่อมเป็นคนที่มีคุณธรรมสูง..แต่ถ้าคนที่เป็นครูมีจิตใจที่ปลาศจากการมีคุณธรรมเสียแล้วสังคมมีแต่อันตรายครับ..ขอบคุณบังเหล็ม.ขอบคุณคนทอม.ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้และทุกท่านด้วยจิตรคารวะ..
โดย : ยุคที่5 IP = 58.147.54.XX วันที่ : 05/10/2009 08:41:36

ความคิดเห็นที่ : 9
สมัยเรียนที่โรงเรียนวัดคูเต่าผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง บ้านอยู่นางนก เขาต้องเป็นคนที่ต้องเดินไกลกว่าใครๆในการไปโรงเรียน บ้านเขาอยู่เกือบติดกับเขตตำบลบ้านหาร สมัยนั้นโรงเรียนยังอยู่ที่วัดคูเต่า เขาเป็นคนเงียบๆฉลาดและเรียนหนังสือดีมากๆ มักจะสอบได้ที่หนึ่ง เขามาจากครอบครัวที่ค่อนข้างจะขัดสน แต่ก็คงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่กับคนอื่นๆ แต่ละคนจะหารองเท้าใส่ได้สักคู่เป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะด่างคนต่างไม่มีรายได้อะไรเป็นกอบเป็นกำ นอกจากลูกครูที่ค่อนข้างจะหรูหรากว่าใคร เราถนัดที่จะเดินเท้าเปล่ากันมากกว่า ครูก็อ้างความเป็นระเบียบทุกคนต้องใส่รองเท้า เพื่อนคนนี้มีวุฒิภาวะสูงกว่าวัยมาก เป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ ครู เพื่อนๆ และแม้แต่ชาวบ้านที่เขาเดินพบกันตอนไปโรงเรียนก็ชอบเขา เขาไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นว่าเขาเเป็นคนมีปมด้อยอะไร อ่อนน้อมถ่อมตัวและมีสมถะ ใครๆก็พูดกันว่าเด็กคนนี้จะไปไกล ถึงแม้ว่าจะลำบากก็ตาม เรียนจบการติดต่อก็ขาดจากกัน ต่างคนต่างไป ผมก็ได้ข่าวเขาบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่เคยเจออีกเลย เท่าที่สอบถามจากคนนั้นคนนี้ เขาเรียนจนจบปกศ เป็นครู ทำงานไปเรียนไปด้วยความอุตสาหะ สอนที่สตูลแต่ไปเรียนที่มอปัตตานีจนจบปริญญาตรี ไปต่อโทและจบนิด้าออกมาทำงานทางค้านบริหารการศึกษาย้ายไปเป็นศึกษาอำเภอตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุด ทั้งๆที่ไม่เคยเจอเขาอีกเลยนับสิบปี ผมก็ยังติดตามถามหาและชื่นชมในความสำเร็จที่ลุล่วงด้วยความเพียรของเขามาตลอด ท้ายที่สุดได้ยินว่าได้ย้ายมาเป็นนายหัวอยู่ที่หน่วยงานบริหารการศึกษาที่สงขลา ช่วงนี้ไปเรียนมสธได้ปริญญากฏหมายมาอีกใบหนึ่ง ที่ชาวบ้านได้ทำนายไว้นั้นไม่ผิดพลาดเลย......ทีแรกผมคิดว่าคุณ"คนทอม"จะเป็นเขาคนนั้น แต่อ่านๆข้อความที่โพสแล้วไม่น่าจะใช่ เพื่อนคนที่ผมพูดถึงคนนี้คงจะพูดถึงความสำเร็จของตัวเองในอีกลักษณะหนึ่ง หรีอไม่พูดเลย เมี่อตอนเด็กๆเขาเป็นคนประเภทที่ร.๖บรรยายไว้ว่า....อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก...สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงต่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย....แต่คุณคนทอมผิดกับเขาในการบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง คุณคนทอมค่อนไปทางประเภท"พกปืนโผล่ด้าม"แบบหลวงตุด ส่วนเพื่อนผมคนนี้เป็นประเภท"คมในฝัก"เหมือนหลวงข้ง คุณคนทอมคงจะไม่ใช่คนที่ผมพูดถึง
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 05/10/2009 09:30:56

ความคิดเห็นที่ : 10
ข้าน้อยขอคารวะให้พี่ท่าน(บังเหล็ม)หนึ่งจอกมีดสั้นตระกูลลี้ทุกยุคคมกริบสมคำร่ำลือจริงๆมีดสั้นพอหลุดออกจากฝักไม่มีคำว่าพลาดเป้า
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 06/10/2009 08:28:33

ความคิดเห็นที่ : 11
จากความคิดเห็นที่9ที่บังเหล็มพูดถึงถ้าจะให้ผมเดาเพื่อนของบังเหล็มที่ว่านี้นามสกุล ผิวทอง ไช่ไหมครับ
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 06/10/2009 08:32:27

ความคิดเห็นที่ : 12
ขอบคุณบังเหล็มที่ให้ข้อคิดดีสำหรับผู้อ่านรวมทั้งผมด้วย แต่สำหรับ ที่ท่านว่าผม เป็นคนประเภท "พกปืนโผล่ด้าม"แบบหลวงตุด ผมขอปฏิเสธนะ ผมเป็นคนธรรมดาก็เท่านั้น ไม่เคยอยากเป็นเจ้าคนนายคน ยิ่งปัจจุบันแล้วไม่อยากเป็นข้าราชการ อยากทำอาชีพเกษตรกรรม ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง อยู่กับครอบครัว ดีกว่า ไม่ใช้พออยู่ทาง แม่อยู่ทาง ลูกอยู่ทาง กว่าจะมาได้อยู่กันทุกวันก็หลังเกษียณอายุ ตอนนั้น ลูกก็ไปมีครอบครัวใหม่แล้ว อยู่กันสองคนตายาย สุดท้ายชีวิตก็ไม่เห็นมีอะไร หาช่วงมีความสุขได้น้อยกว่ามีความทุกข์ (แค่นี้แหละผมบ่นชีวิต) ท่านบังเหล็มอายุแก่กว่าผมมากนะ ถ้าพูดถึง ป.7 รุ่นผม ป.6 โรงเรียนวัดคูเต่า (ไม่ใช่ ร.ร.บ้านแม่ทอม) ผมอายุ30 กว่าๆเอง และไม่รู้จัก "นาออก"จริงๆ แต่ฟังจากการเขียนของท่านแล้ว ทั้งเรื่อง ตระกูล กุลนิล แก้วกุลนิล แล้วทำให้รู้ว่าท่านรู้จริง จะถูกจะผิดก็แล้วแต่ ผมอยากรู้เพิ่มเติม ตระกูล สกุลเด็น มาจากไหน ช่วยชูสกุล กับ ชูสกุลเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ผมเดาไม่ออกจริงว่า ท่านเป็นใคร แต่ผมว่า น่าจะมีอาชีพเป็นครู ผมเป็นเด็กรุ่นหลังจริงๆ รุ่นเรียนป.6 ของผม ไม่ค่อยอยู่ที่แม่ทอม น่าจะมี ไม่เกิน 5 คนแล้ว ส่วนใหญ่จะเรียนต่อแล้วก็ไปทำงานที่อื่นทั้งนั้น ผมได้ข้อคิดดีๆจากการเข้ามาอ่านกระทู้นี้ ขอให้สร้างสรรค์กันนะครับ ร้องเรียนได้
โดย : คนทอม IP = 125.26.88.XX วันที่ : 06/10/2009 13:22:07

ความคิดเห็นที่ : 13
ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเอาชื่อคนมาบอกกันชัดๆบนเว็ปบอร์ดด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง นอกจากคนๆนั้นจะเป็นคนที่เป็นผู้นำฃองชุมชนซึ่งใครๆก็รู้จักหรือ คนที่ตายไปแล้วและเป็น ประวัติศาสตร์ และผมจะเลือกพูดแต่เรื่องที่มันไม่ทำให้คนที่ถูกพูดถึงเสียหาย หรือหากจะติดตลกบ้างก็ใช้ชื่อเล่นและฉายาที่มีเฉพาะคนวงในและจำกัดเท่านั้นที่เข้าใจ ผมพูดถึงกุลนิลและแก้วกุลนิลเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ของแม่ทอมด้วย ไม่ได้สำคัญแต่เฉพาะคนในสองตระกูล อย่าให้ผมพูดเกี่ยวกับประวัติหลวงตุดหรือปลัดหนิดที่นี่เลยครับ แค่ออกชื่อนี่ก็ไม่ดีแล้ว แต่คนที่ไม่รู้เรื่องภายในหมู่บ้านที่ช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องอ่านแล้วก็ไม่รู้หรอกว่าผมพูดถึงใคร แต่คุณคงจะรู้ทันที อย่าลืมว่าทุกอย่างที่ใครเขียนลงบนเน็ต นอกจากระติดอยู่ที่เวปนั้นๆแล้ว บริษัทอย่างกูเกิ้ลจะเอาไปเก็บไว้ อาจจะเป็นข้อมูลให้ค้นกันต่อไปอาจจะเก็บไว้เป็นร้อยๆพันๆปีหรือจนกว่าเขาจะลบหรือไม่ลบอีกเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่นวันหนึ่งคุณไปสมัครงานหากคุณมีชื่อและนามสกุลและรายละเอียดอย่างอี่นอยู่บนเว็ป เป็นเรื่องน่ากลัวมากๆถ้าหากว่าเขาสามารถค้นเรื่องต่างๆเกี่ยวกับคุณได้จากกูเกิ้ล ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะนะครับ ในบางประเทศเขาทำกันแล้ว เพราะฉะนั้นใครใช้เวปเมลล์และชอบโพสข้อความต้องระวังให้ดี ของฟรีนั่นหละตัวดี อย่าไปใช้ให้มันมัดตัวเองและลูกหลานในอนาคตก็แล้วกัน อย่าคิดว่าใช้นามแฝงแล้วไม่มีใครรู้นะครับว่าชื่อและที่อยู่จริงคืออะไร เวลาคุณท่องเทียวในเวปต่างหรือส่งอีเมลล์ มันเหมือนกับคุณขับรถไปมา คุณอาจจะลืมไปว่ารถทุกคันมีป้ายทะเบียน เวลาคุณเข้าเน็ตก็เช่นเดียวกัน ผิดกันแต่ว่าทุกที่ที่คุณไปในเน็ตเขาบันทึกป้ายทะเบียนของคุณไว้โดยอัตโนมัต ถึงแม้จะใช้คอมจากที่ๆไม่ใช่ที่ของคุณ ที่ๆคุณไปบนเวปมันบันทึกไว้ว่ามาทำอะไร ในเครื่องของคุณเองก็มีคุกกี้เก็บพฤติกรรมการใช้เว็บของคุณไว้ เวลาคุณไปเว็ปอื่นมันก็อ่านเอาไป มีเทคนิคในการติดตามเชื่อมโยงข้อมูลกันโดยคอมพิวเตอร์จนสามรถสร้างฐานข้อมูลของคุณได้ชนิดที่พอเจ้าตัวมาเห็นแล้วอยากผูกคอตาย มีหลายบริษัทที่กำลังหากินโดยการขายข้อมูลส่วนตัวของชาวบ้านที่หามาได้จากเน็ต ที่พูดยืดยาวนี่ก็เพราะอยากให้เข้าใจกัน บางคนยังคิดว่าการเขียนข้อความบนเวปนั้นมันเหมือนกับการเขียนห้องน้ำหรือศาลา เขียนแล้วไม่มีใครรู้ จึงไม่ค่อยจะคิดก่อนที่จะเขียน บางครั้งก็พูดกันค่อนข้างจะรุนแรง พูดไปแล้วจะขอโทษมันก็แก้ไม่ได้...ผมไม่ได้ว่าการเหน็บปืนโผล่ด้ามไม่ดีนะครับ เพียงแต่บอกว่ามันเป็นสไตร์ของแต่ละคน ก็ดีเหมือนกันถ้าให้มันดูตุงๆอยู่ในเสื้อเอาไว้บ้าง คนก็ได้รู้ว่าเราก็มีเขี้ยวเล็บอย่าเที่ยวมาหาเรื่อง แต่หากโผล่มากเกินไปคนก็รู้ว่าของเรามันแค่โคลท์ตราควายยิงได้นัดเดียวแล้วต้องหันหลังวิ่ง เขาจะลากเอา๓๕๗ออกมาแล้วเราจะนอนเขียวเหมือนถุงท่อมอยู่ตรงนั้น
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 07/10/2009 00:16:52

ความคิดเห็นที่ : 14
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆครับ
โดย : คนทอม IP = 61.19.66.XX วันที่ : 10/10/2009 12:03:24

ความคิดเห็นที่ : 15
แฟนคลับบังเหล็มอีกคนครับ อยากรู้จักตัวจริงเป็นๆ ผมน่าจะเป็นรุ่นลูกของบังนะครับแต่ แต่เราคุยภาษาเดียวกัน ผมว่าบังนี่สุดยอดแล้วนะครับคนรุ่นนี้เก่งคอม อย่างนี้หาตัวจับยากลีลาการเขียนบอกได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง น่าจะเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นสักเรื่องนะครับ ใช้พื้นทีแม่ทอมและตัวละครเป็นคนแม่ทอมเป็นตัวเดินเรื่อง ใช้ฉากบรรญากาศเก่าๆ บ้านเราไม่มีนักเขียน เลยนะครับเท่าที่ทราบ กวี ก็มีลุงวร จะเรียกว่ากวีได้มั๊ยครับคนที่แต่งเพลงเรือแม่ทอมบ้านเราคงมีไม่กี่คนครูเปลื้องอีกคน มีความสามารถสูง บังเป็นคนที่รวบรวมประวัติแม่ทอมไว้มากน่าจะช่วยลุงวรเก็บรวบรวมเพลงเรือต่างๆของลุงวรไว้ด้วยนะครับเพราะเพลงแตละเพลงก็บอกถึงประวัติศาสตร์เหตุการช่วงนั้นๆ ผมทราบมาว่าเพลงเรือของแหลมโพธิ์มีการรวบรวมไว้แล้วบางส่วนโดยอาจารย์จากราชภัฏ แต่ของของเราไม่ทราบจริงๆ บ้านเราศิลปินพื้นบ้านมีอยู่ไมมากน่าจะส่งเสริมหรือรักษาเพื่อให้อยู่คู่บ้านไปนานๆนะครับ
โดย : ยา IP = 119.31.55.XX วันที่ : 13/10/2009 01:42:03

ความคิดเห็นที่ : 16
ท่านยาไม่น่าจะยกย่องบังไปเทียบกับชั้นปรมาจารย์ผู้เจนจบทั้งสองท่านที่เอ่ยถึง บังก็เป็นเด็กรุ่นใหม่เช่นเดียวกันกับใครๆที่แวะเวียนมาที่นี่ หากว่าบังเป็นรุ่นพ่ออย่างที่ให้เกียรติ บังก็คงจะเป็นเหมือนรุ่นพ่อท่านอื่นๆ ที่คงจะวางหัวหมูไก่ต้มจุดธูปเทียนสักการะคอมพิวเตอร์ขอเบอร์ หรือถอดฝาครอบออกหาเลขหวยบนชิ้นส่วนตัวเล็กตัวน้อย คนเล่นคอมก็คล้ายๆกับคนขับรถ ใครๆก็ขับเป็นแม้แต่หวะเส็นนางนก ขับได้แต่ก็ไม่รู้ว่าคาบูเรเตอร์ของเครื่องยนต์มันอยู่ตรงไหน บังก็เช่นเดียวกัน แค่รู้บ้างนิดหน่อยๆไว้เป็นเครื่องลาง ที่บังรู้เรื่องเก่าๆก็อาศัยฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง หากวันไหนบังไม่ไปขึ้นตาลก็มาเป็นชาวโลกไซเบอร์ เตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ พอเข้าสู่โลกไซเบอร์ บังก็ไม่มีตัวตนให้จับต้อง บังเหล็มเป็นแค่โฟตอนหรืออนุภาคของแสงจำนวนหนึ่งที่หลุดจากจอโมนิเตอร์ไปเข้าตาคนอ่าน ทำให้คนอ่านเห็นภาพต่างๆขึ้นในจินตนาการ....บังเขียนจนชักจะขี้เกียจแล้ว คนดูแลเว็ปนี้ค่อนข้างจะเป็นพวก perfectionist ที่มีความปราถนาดีต่อทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเต็มเปี่ยม อยากให้ข้อความที่โพสท์บนเว็ปนี้มีความถูกต้องทั้งอักขระวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ใครเขียนแล้วท่านอ่านไม่เข้าใจท่านก็ลบหมด บังเขียนทีละตัว แต่ท่านผู้ดูแลเว็ปลบทีละกระทู้ อย่างเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีกระทู้โดนลบไปสองกระทู้ บังเขียนโต้อยู่กับหลายๆท่านอย่าออกรส โดยที่ไม่มีอะไรส่อไปในทางเสียหายแม้แต่น้อย มีคนอ่านแต่ไม่ออกความเห็นกว่าเจ็ดร้อย หากไม่สนใจเขาคงไม่มาอ่านให้เสียเวลา....โดนลบเฉย... ท่าน"คนทอม"ตั้งกระทู้ที่เรียกร้องให้ทางอบตออกมาชี้แจงงานในเว็ปบอร์ดบ้าง กระทู้โดนลบแค่ชั่วข้ามคืน บังเคยเขียนใช้ภาษาบ้านเราปนกับภาษากลาง ไอพีของบังโดนแบนทั้งsubnetอยู่หลายวัน น่าจะแบนให้ครบทุกเลขในอิเทอเน็ตแค่ 4,294,967,296หมายเลข (หรือ2^32)จะได้หมดเรื่องหมดราวปิดตัวเองไปเลย บังมีไม้คาบตาลเหมียไว้สำหรับหนีบงวงตาลให้น้ำหวานออก หากท่านผู้ดูแลเว็บอยากจะหนีบงวงของตัวเองให้น้ำตาลออกบ้างแล้วบังอาสาหนีบให้ฟรีๆ ยิ่งช้ำยิ่งน้ำเยอะ ขออย่างเดียวให้คิดให้มากๆก่อนที่จะลากหนูพลาสติกออกกินกระทู้ของชาวบ้าน
โดย : บังเหล็ม วันที่ : 13/10/2009 09:25:36

ความคิดเห็นที่ : 17
คุณยาครับก็น่าจะเก็บรวบรวมนะครับเพลงเรือแหลมโพธ์นี้เป็นของดีของบ้านเราเป็นวัฒนธรรมของบ้านเราดีใจครับที่ไม่ทอดทิ้งเก็บรักษาใว้ให้ลูกให้หลานได้ศึกษาว่าในอดีตที่ผ่านมาแม่ทอมเรามีของดีอยู่เยอะอย่างน้อยก็หนึ่งละเพลงเรือแหลมโพธ์โดยปรมาจารย์ วร ชูสกุล เป็นที่เชิดหน้าชูตาอย่าให้ตำบลอื่นเขาดูถูกได้ว่าแม่ทอมมีดีอะไรเห็นที่ขึ้นชื่อก็มีแต่น้ำตาลเมา.ส้มโอของเราแต่ตอนนี้ไม่ไช่ของของเรากลายเป็นส้มโอควนลังนึกแล้วมันน่าเจ็บใจของเราเองแท้ๆ คุณยาครับนี่ก็เป็นเพลงเรือแหลมโพธ์อีกเพลงหนึ่งที่แต่งโดยปรมาจารย์วรเมื่อหลายปีที่แล้วเนื้อหาอาจจะตกหล่นบ้างเท่าที่จำได้มีเนื้อความว่าแบบนี้ครับ เพลงเรือแหลมโพธ์ ชื่อว่าส้มตำบัณฑิต ยกข้อต่อกล่าวเรื่องราวส้มตำ (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังเรื่องราวส้มตำ ลองชิมสักคำส้มตำบัณฑิต (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังส้มตำบัณฑิต ลองชิมสักนิดน้องจะติดใจ (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังน้องจะติดใจ ตำสากใหญ่ๆก็ติดใจไปนาน (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังติดใจไปนาน ตำไปนานๆนงคราญจะหลงใหล (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังนงคราญหลงใหล ตำด้วยสากใหญ่ๆก็ติดใจไปนาน (ลูกคู่รับ) หรอยจานหรอยจังติดใจไปนาน หมายเหตุ เนื้อหาขาดหายไปบางตอนเท่าที่จำได้ก็มีแค่นี้ครับหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ให้เด็กรุ่นหลังได้ศึกษา
โดย : ยุคที่5 IP = 118.175.86.XX วันที่ : 13/10/2009 15:57:45

14 พฤศจิกายน 2552

จดหมายถึงตึกไทยคู่ฟ้า

กระผมนายแย้ม ราษฎรเต็มขั้นแห่งตำบลแม่ทอม ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความรักชาติบ้านเมืองอย่างสุดหัวใจ เพื่อนบ้านหลายคนยุให้กระผมขายนาเอาเงินมาหาเสียงสมัครผู้แทน แต่กระผมคาดว่าที่นา๓ไร่ในยุคที่คนไทยเลิกเห่อที่ดิน คงจะไม่พอค่าเลี้ยงเหล้าพวกหัวคะแนนเป็นแน่แท้ กระผมจึงได้แต่อัดอั้นตันใจในความรักชาติที่สุมอยู่ในหัวอกตลอดมา ถึงแม้ว่ากระผมจะเป็นคนบ้านนอกคอกนา แต่ก็นับว่ามีความรู้ทางใบลานอยู่พอตัว ประกาศนียบัตรนักธรรมเอกคือเครื่องพิสูจน์ พระครูที่วัดยังเลือกกระผมเป็นมัคทายก ซึ่งฟังแล้วคล้ายๆนายกฯ และท่านยังชมว่าผมมีความคิดหลักแหลมน่าจะรับผิดชอบราชการงานเมืองได้เหมือนกัน

พรรคพวกบอกว่ากระผมเป็นคนประเภทความคิดดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อย่างเต็มที่ด้วยการเป็นผู้แทนราษฎรตามที่เพื่อนบ้านเขาสนับสนุนกัน กระผมจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านผู้ที่สถิตย์อยู่ ณ ตึกไทยคู่ฟ้า รวมไปถึงพระภูมิเจ้าที่ เผื่อว่าท่านจะเห็นดีกับข้อเสนอแนะของกระผม กระผมได้ทราบข่าวเกี่ยวกับภาวะทางเศรฐกิจของประเทศแล้วก็พลอยวิตกไปด้วยกับชะตากรรมของเงินบาท อะไรๆก็ขึ้นราคากันพรวดพราดขึ้นราคาแม้กระทั่งผักบุ้งที่เก็บเอาจากในหนองที่ปลายทุ่งซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับเงินดอลล่าร์ เงินทองที่หาสะสมกันมาก็แทบจะซื้อหาอะไรไม่ได้ ว่ากันว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะชาวประชาในประเทศของเรามีการใช้จ่ายซื้อหามากเกินกว่าที่ผลิตไปขายให้ต่างชาติ เราอาศัยเงินยืมในการอยู่รอด พอเขาเลิกให้หยิบยืม เงินบาทใบสีม่วงสีแดงจึงกลายเป็นใบกงเต๊ก เพื่อเป็นการนำรายได้เข้าประเทศและเพื่อทำให้ปริมาณการผลิตและการขายล้ำหน้าการซื้อ กระผมใคร่ที่จะนำเสนอโครงการที่คาดว่าจะได้ผลชะงัดในการแก้ปัญหาเศรฐกิจที่เป็นอยู่

ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างสูงสุดในทางไสยศาสตร์ เป็นที่เชื่อถือกันอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ยาจกไปจนถึงท่านผู้ครองเมืองนั่งแป้นนั่งทำเนียบ ว่ากันตั้งแต่ตะกรุด ปลัดขิก ไปจนถึงพระเครื่องปิดตูดอุดทวาร ยิงไม่ออกแทงไม่เข้าแคล้วคลาดมหาเสน่ห์ฯลฯ กิจการประเภทนี้ควรจะมีการพัฒนายกระดับ จากอุตสาหกรรมในครอบครัวหรือในกุฏิ ให้เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่Silicon Valleyในอเมริกามีการนำทรายมาทำเป็นSemi-conductor chip เราก็สามารถที่จะนำเอาดินเหนียวอันเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในประเทศมาทำเป็นพระเครื่องส่งไปขายต่างประเทศ หลายประเทศเขาทำอาวุธยุทธภัณท์ขายกันจนร่ำรวย ถ้าพระเครื่องรางของขลังอันเป็นสินค้าออกของประเทศสามารถที่จะป้องกันอาวุธเหล่านั้นได้ ก็เป็นที่แน่นอนว่าย่อมขายดีและราคาแพงกว่าอาวุธเป็นแม่นมั่น

มหาวิทยาลัยต่างๆก็ควรจะมีการตั้งคณะและภาควิชาที่ทำการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง ตัวอย่างเช่นคณะไสยศาสตร์ หรือภาควิชาปฏิมากรรมเหลาปลัดขิก ปั้นจตุคามรามสูรและรามเทพ การพัฒนาเทคโนโลยีทางไสยศาสตร์อย่างเป็นระบบย่อมทำให้ความก้าวหน้าเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว คู่แข่งรายสำคัญเช่นเขมรก็ยังอยู่ในสภาพร่อแร่ กว่าจะตามทันเราก็คงจะอีกนาน แม้กระทั่งอินเดียผู้เป็นต้นคิด ก็ดูท่าว่าจะล้าหลังประเทศเราอยู่หลายขุมในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ถ้าวัตถุมงคลอันเป็นสินค้าออกได้รับการพัฒนาจนถึงขั้นป้องกันการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์ได้ ก็เป็นอันว่าถึงระดับยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ใครๆก็จะพากันมาซื้อมาเช่าพระเครื่องของเราจนปั้นกันไม่ทัน

เหล็กไหลเป็นแร่ธาตุวิเศษที่ไม่ปรากฏอยู่ในตารางธาตุ และค่าAtomic Numberของเหล็กไหลก็ลึกลับ เปลี่ยนแปลไปมาระหว่างไฮโดรเยนจนถึงพลูโตเนียมแล้วแต่ชนิด มีสรรพคุณในทางอยู่ยงคงกระพัน หาได้ที่เดียวในโลกคือประเทศไทย รัฐบาลควรจะสนับสนุนการเปิดเมืองเหล็กไหล การค้นหาแหล่งแร่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คณะไสยศาสตร์ย่อมสามารถคิดค้นการหาแหล่งแร่ โดยการนั่งทางในและทรงเจ้าเข้าผี ค้นพบได้รวดเร็วและลงทุนน้อยมาก

ทางด้านBio-technologyเราก็ไม่ได้ล้าหลังใคร เรามีศิวลิงค์ที่วัดโพธิ์ ว่ากันว่าถ้าผู้หญิงที่ไม่สามารถที่จะมีลูกไปนั่งคร่อม ก็จะทำให้ความเเป็นหมันหายไป รัฐบาลควรจะขอยืมศิวลิงค์มาจากทางวัดสักระยะหนึ่ง แล้วอัญเชิญไปยังประเทศต่างๆ แล้วประกาศให้ผู้หญิงที่อยากมีลูกมานั่งคร่อม คิดค่าบริการครั้งละล้านบาท กว่าศิวลิงค์จะเหี้ยนกุดหรือสึกหรอเพราะการใช้งาน ก็คงจะนำรายได้เข้าประเทศได้พอสมควร อันนี้ก็ลงทุนน้อยมาก

การออกหวยและแทงหวยเป็นสิ่งที่เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่คนไทยมาทุกยุกทุกสมัย รัฐบาลก็ชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นคณะไหนสมัยไหนเพราะเป็นการค้าที่ลงทุนน้อยแต่กำไรสูง รัฐบาลควรจะพัฒนาการออกหวยให้ถึงระดับInternational อาจเป็นเลข๓ตัว ๘ตัวแล้วแต่จะสมควร รางวัลที่หนึ่งก็เอาให้หนักๆเช่นภาคใต้ของประเทศทั้งภาค หวยขายใบละพันล้าน บิลล์ เกทส์และบุฟเฟ็ทอาจจะเหมาหมดทุกงวด เศรษฐีจากฮ่องกง ไต้หวัน หรือสิงคโปร์คงจะซื้อกันคนละหลายใบ เศรษฐีไทยหลายท่านก็คงอยากได้ไว้สร้างบ้านพักตากอากาศ ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องหวังเอาว่าจะไมีใครถูก และการที่จะป้องกันไม่ให้มีใครถูกอย่างบริสุทธิยุติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเทพเจ้าหลายองค์ของพราหมณ์ เช่นราหู พระอินทร์ พระพรหมฯลฯ คงจะพอไหว้วานกันได้อยู่ให้ช่วยล็อกเลข เพื่อไม่ให้มีคนถูก กระผมคิดว่าเฉพาะที่เสนอมาก็เพียงพอที่จะทำให้ความยากจนของคนไทยหมดไปและทำให้ประเทศไทยกลายเป็นมหาอำนาจล้ำหน้าพวกยุโรปและอเมริกา

นิกายที่น่าเข้าร่วม

นิกาย Mormon ที่เป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในมลรัฐUtahของอมริกานั้นปละหลาดดีแท้ๆ การตีความเนื้อหาในBibleออกมาในลักษณะ ที่เป็นอะไรก็ได้ที่ผู้ตีความหวังจะให้เป็น มีอยู่อันหนึ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่ได้ยินแล้วหูผึ่งคือ ผู้ชายสามารถมีเมียได้มากเท่าที่ตัวเองต้องการ เพราะเขาเชื่อกันว่านั่นเป็นเจตน์จำนงค์ของGod ครอบครัวที่มีหญิงห้าชายหนึ่งและเด็กสิบแปดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ดูท่าเขาก็สมัครสมานสามัคคีกันดี ไม่ได้จ้องที่จะสาดน้ำกรดหรือเฉือนคอเป็ดกันเหมือนที่บ้านเรา ใครสนใจจะย้ายไปอยู่Utahอย่าลืมบอกกล่าวกันบ้าง อาตมาจะได้ย้ายวัดตามไปด้วยไปด้วย

ใครกันหนอ

ข่าวชาวบ้าน ข่าวประเภทไทยรัฐในอเมริกาก็เป็นที่นิยมกันพอสมควรในหมู่นักวิจารณ์ไร้สังกัด เรื่องมีอยู่ว่าอาจารย์สาวหน้าตาไม่ดีไม่เลวนางหนึ่ง เกิดไปมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับลูกศิษย์วัยกระเตาะ เอ๊าะๆอึ๋มๆวัย12ขวบ จะสอนพิเศษกันอีท่าไหนไม่ปรากฏชัด คุณครูแกเพิ่งจะคลอดลูกชายออกมาหนึ่งคน ทางฝ่ายพ่อแม่ของลูกศิษย์ฟ้องร้องหาว่าคุณครูไปหลอกและข่มขืนลูกศิษย์ ซึ่งโทษทางกฎหมายนั้นถึงขั้นติดคุกสำหรับกรณีข่มขืน รวมไปถึงการผิดจรรยาครูอย่างร้ายแรง หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าเรื่องมันฟังทะแม่งๆชอบกล ด้วยสาเหตุที่ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่อาศัยอยู่ตรงใต้สะดือของมนุษย์ผู้ชายนั้น คือผู้รักอิสระเสรีเหนือส่งอื่นใด หากไม่ยินยอมพร้อมใจ ก็ไม่มีวันเสียหละที่เขาจะหยัดยืนขึ้นมาแสดงพิษสง จะเรียกว่าเป็นการขืนใจได้อย่างไร....ลึกลับนักสำหรับคดีนี้

ธนาคารสำหรับชาติหน้า

ในยุคที่ค่าของเงินบาทมีค่าแค่ครึ่งหนึ่งของเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ ใครๆต่างก็ พากันวิตกทุกข์ร้อนว่าแค่2-3เดือนก็เปลี่ยนไปได้แค่นี้ แล้วอีกสองปีแปดปีจะไม่ถึงขั้นกินก้อนกรวดก้อนหินแทนข้าวกันละหรือ พอถึงชาติหน้าอาจจะได้กินลมแทนข้าว ถ้าไม่รีบเตรียมการกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทางวัดบู๊ตึงได้ริเริ่มตั้งธนาคารให้บรรดาญาติโยมได้สะสมปัจจัยไว้ใช้ในภพหน้า ใครอยากมีกินก็หาของมาไว้ให้ผู้ทรงศีลเช่นอาตมาและพระลูกวัดฉัน ใครอยากมีเงินเยอะๆ ในชาติหน้าก็ขนเงินมาถวายวัด ได้ดอกแพงทบต้น รับรองได้รับไม่ตกไม่หล่น ส่งถึงที่ทั้งนรก และสวรรค์ แต่ใครอยากจะมีเมียสวย อย่าได้เอาเมียมาถวายอาตมา...อาจจะไปไม่ถึงชาติหน้า.

หมอดู

ระยะนี้เดินไปทางไหนก็ได้ยินแต่คนพูดกันถึงคำทำนายของหมอดูชาว ฝรั่งเศสชื่อNostradamusซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1503-1566 ตะแกเป็นทั้งหมอยาและหมอดู แกก็นั่งดูดาวแล้วพรรณาเป็นpoemเกี่ยวกับว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต คำทำนายก็เป็นแบบใบ้หวย มีทั้งถูกและผิด แล้วแต่จะตีความ บรรดาผู้เชื่อถือว่ากันว่าปีค.ศ.1999จะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ขึ้นกับมวลมนุษย์ อาจจะถึงขั้นทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์แบบเมื่อครั้ง ที่ไดโนเสาร์หายไปจากโลก ...นักบู๊หลายท่านว่าตาNostradamusผายลมสุนัขออกมาเหม็นตระหลบยังไม่เป็นการเพียงพอ บรรดาลิ่วล้อบริวารต่างพากัน สูดดมกันอย่างสำราญบานใจ พวกลัทธิจานบินแถวๆSan Diegoก็ไปกันหมดแล้ว ใครที่ คิดว่ายังอยากอยู่ดูปี2000ก็หาทางหนีเอาไว้ให้ดี....ผ่านพ้นมาหลายปีไม่มีอะไรกระโตกกระตาก ท่าจะเป็นเรื่องตดหมาตามสำนวน ว. ณ เมืองลุงจริงๆ

SEX ในInternet

การพัฒนาของ Internet ในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ในช่วงสองทศวรรษที่แล้ว Internet มีขอบเขตการใช้อยู่ในวงจำกัด ถ้าไม่เป็นหน่วยงานของUS Governmentก็เป็นEliteจากมหาวิทยาลัยต่างๆ Internetเริ่มต้นจาก อเมริกาต้องการที่จะสร้างComputer Networkที่ สามารถที่จะอยู่รอดได้หากเกิดสงครามนิวเคลียร์ เนื่องจากการที่ Internetเป็น Systemแบบเปิด ใครๆก็สามารถที่จะต่อsystemของเขาเข้ากับ Internetได้ รวมทั้งฝ่ายตรงกันข้ามในสงคราม ส่วนหนึ่งของInternetที่เรียกกันว่า www คือส่วนสำคัญที่ ทำให้Internetคังเป็นระเบิดในระยะที่ผ่านมา Graphicจากwww คือ ส่วนสำคัญที่ทำให้การใช้Internetเพื่อการค้าได้รับความนิยม ทำไมsexเป็นเรื่องปกปิดในหลายๆCulturesอาตมาไม่ขอพูดถึง Graphicsของwwwก็ดึงดูดเอาผู้ที่ทำมาหากินกับการขายPornography เข้ามาร่วมใช้บริการด้วย sexคงจะขายดิบขายดีในระยะหลังๆนี่ ไม่ว่าอาตมาจะหันไปทางไหนในInternetก็ให้มีอันต้องเจอความดุเดือดประเภทเลือดท่วมจอ แรกๆก็พอจะดูแล้วอ้างเอาว่าเพื่อพิจารณาถึงสังขาร เนื้อหนังมังสา ยุบหนอพองหนอ มาเดี๋ยวนี้ ขอให้ได้clickเข้าไปเถอะอะไรก็ได้ LinkไปLinkมาประเดี๋ยวก็ให้มีอัน ให้ต้องไปโผล่ที่นั่น... ดู้นเล็กดู้นใหญ่ แผ่นเล็กแผ่นน้อย...ตบะชักจะไม่อยู่กะร่องกะรอย วันก่อนว่าจะไปDownload software ดันพลัดหลงเข้าไปใน Harem กว่าจะหลุด ออกมาได้ก็เหงื่อโชก...จำวัดไม่ได้ทั้งคืน Softwareก็ไม่ได้ หาไม่เจอ ไม่กล้าแหวกกอหญ้าดู...กลัวปราชิก....

เรื่องของพญาครุฑ

Encyclopedia เถื่อน Siamonicaบันทึกเอาไว้ว่า ครุฑเป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับไดโนเสาร์ มีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่แถวๆที่เป็นเมืองไทยในปัจจุบัน ในสมัยนั้นที่สรรพสัตว์ต่างๆยังไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก สามารถที่จะหูดจากันได้รู้เรื่อง ดังหลักฐานที่มีอยู่ในชาดกต่างๆ การที่คนไปสมสู่อยู่กินกับสัตว์ต่างSpeciesจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เช่นมนุษย์ผู้ชายไปมีเมียเป็นพญานาค หรือเป็นปลาเป็นเงือก ในกรณีของครุฑก็เหมือนกัน ครุฑเกิดจากคนไปผสมพันธุ์กับนก ส่วนจะเป็นนกกระจอกนกเขาหรือนกเอี้ยงนั้น ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ลูกที่ออกมานั้นเป็นครึ่งคนครึ่งนก ครุฑมีอยู่๔ตระกูลใหญ่ๆ พวกแรกนั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอินเดีย พวกที่สองอยู่แถวๆเขมร พวกที่สาม อยู่ทางประเทศชะวา ส่วนพวกที่สี่อยู่แถวๆเมืองไทย ด้วยสาเหตุอะไรไม่ปรากฎ ความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นระหว่างต่างSpeciesให้มีอันต้องยุติลง ในสมัยถัดๆมาครุฑก็ให้มีอันต้องสูญพันธุ์ เพราะครุฑไม่สามารถผสมพันธุ์กันเองได้ ในทำนองเดียวกันกับฬ่อซึ่งมาจากม้าผสมกับลา แต่ฬ่อสืบพันธุ์เองไม่ได้......ถึงแม้ว่าครุฑจะสูญพันธุ์ไปนานเต็มที แต่คนไทยก็ไม่เคยลืมครุฑ ครุฑได้กลายเป็นเครื่องหมายของทางราชการไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล......ใครสามารถบอกอาตมาได้บ้างว่าครุฑ ตัวเมียมีรูบร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?...อยากรู้จริงๆ

ผักบุ้ง

ผักบุ้งเป็นผักที่นับเป็นอาหารหลักอันหนึ่งของคนไทย และคงจะมีคนไทยอยู่ไม่มากนักที่รู้ว่าผักบุ้งนั้นเป็นอาหารโปรดของชาวเวียตนาม จีน เขมร ไม่แพ้ความนิยมของคนไทย ช่วงหลังสงครามเวียตนาม ชาวอินโดจีนได้อพยพเข้าไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน คนเราก็ให้มีอันต้องเสาะหาของกินที่ตัวเองคุ้นเคยมากินกันจนได้ ในทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมิกานั้นมีสภาพภูมิอากาศอบอุ่นเพียงพอสำหรับปลูกพืชผักที่เขาคุ้นเคย ไค้มากมายหลายชนิด ขิง ข่า ตะไคร้ ฟัก แฟง(ไม่เคยกินเหมือนกัน) แตงกวา มีให้กินกันอย่างอุดมสมบูรณ์ทุกฤดูกาล หนึ่งในจำนวนนี้คือผักบุ้ง จู๋ๆข่าวที่ไม่มีใครอยากเชื่อก็มีการประกาศออกมา ทางรัฐบาลของมลรัฐFloridaก็ประกาศจะเอาเรื่องกับคนปลูก คนกิน และคนที่มีผักบุ้งไว้ในครอบครอง กฏหมายนี้เป็นกฏหมาย เก่าของFloridaที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ เขาถือว่าผักบุ้งเป็นวัชพืช เช่นเดียว กับผักตบชวา เขากลัวว่าผักบุ้งจะไปเจริญเติบโตแข่งกับพืชเศรฐกิจของเขา Floridaเป็นแหล่งผลิดผักบุ้งสำคัญของนักบริโภคผักบุ้งในอเมริกา คาดว่ากว่าแหล่งผลิตในรัฐอื่นๆที่ไม่ห้ามจะทดแทนการผลิตของFloridaได้ คอผักบุ้งก็อาจจะต้องกินผักบุ้งแพงๆกันอีกนาน อย่างไรก็ตามทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ผักบุ้งประกาศสู้จนถึงที่สุด....ถ้าอาตมาหายหน้าหายตาก็แสดงว่า อาจจะไปร่วมขบวนการขบถผักบุ้ง...

ปีเก่า-ปีใหม่

และแล้วก็มาถึงวันที่เขากำหนดกันขึ้นมาว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่อีกวาระหนึ่ง จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรต่างกับวันอื่นๆ ทั่วโลกฉลองกันให้อึกทึกครึกโครม เมากันจนหมากินอ๊วกจนพุงกาง บ้าดีแท้ๆเหล่ามนุษย์ขี้เหม็น ฉลองตัวเลขบนปฏิทินและเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นปีเก่าหรือปีใหม่นาฬิกาจะเดินหรือไม่เดิน ใครๆก็แก่ไปในอัตราเดียวกัน ถ้าหากจะมีความยุติธรรมอยู่บ้างสำหรับมวลมนุษย์ การผ่านไปของสังขารช่างยุติธรรมดีแท้ๆ ยากดีมีจน เชื้อเจ้าท้าวพระยา ต่างก็ต้องผ่านกระบวนการอันเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ชีวิตคนช่างสั้นนักเมื่อเทียบ กับอายุของโลกและจักรวาล เวลาคือสิ่งสัมพัทธ์ เวลาคือปริมาณที่ไร้ความหมายในตัว ของมันเอง การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในSpace and Timeทำให้จำเป็นต้องมีการวัดSeparation จนกระทั่งวันนี้ ไม่มีใครบอกได้จริงๆว่า อะไรว่าเราคือใคร มาจากไหน จะไปไหน และอะไรคือจุดมุ่งหมาย ศาสนาเกิดขึ้นมากมาย แต่ไม่มีเลยที่ให้รายละเอียดที่ชัดแจ้งต่อคำถามพื้นฐานข้างต้น วิทยาศาสตร์ก็ยังขาดหลักฐานที่แน่นหนาสนับสนุน Fred Hoyle นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าโอกาสที่กระบวนการEvolutionจะสร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมาจากสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำได้นั้น เทียบเท่ากับการที่พายุTornadoพัดผ่านกองเศษเหล็ก หลังจากพายุผ่านพ้นไป มีเครื่องบินBoeing747ถูกสร้างขึ้นได้หนึ่งลำจากพายุ...ต่างคนต่างความคิด...จักรวาลและชีวิตก็เปลี่ยนไป..

หญิงเท่าเทียมชาย

บรรรดานักเรียกร้องสิทธิสตรีต่างพากันร้องเยิ้อวๆมาน เนื่องจากว่ากันว่า อันอิตถีเพศนั้นถูกกดขี่ ข่มขี่และสารพัดขี่มาช้านาน นานตั้งแต่มนุษย์รู้จักนับวัน ทุกชาติทุกภาษาเหมือนกันหมด แม้กระทั่งในBibleก็ระบุเอาไว้ว่าอันเพศหญิง นั้นไชร้ ก็คือส่วนหนึ่งของเพศชาย ที่Godสร้างมาจากกระดูกซี่โครงของAdam จะจริงจะเท็จไม่มีใครที่เหลืออยู่ทุกวันนี้จะเกิดทัน ผู้หญิงในอเมริกาค่อนข้างจะActiveมากในเรื่องนี้ แทบจะไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่สิทธิ ในการเลือกตั้ง คุณเธอทั้งหลายก็เพิ่งจะได้รับเมื่อไมกี่สิบปีมานี้เอง ขอบเขตจำกัดทางธรรมชาตินั้นก็มีอยู่อย่างที่เห็นๆกับ สรีระของผู้ชายผ่านขบวนการวิวัฒนาการมาเพื่อจุดประสงค์คนละอย่างคนละอย่างกับผู้หญิง จุดทดสอบสำคัญคือการเป็นทหาร โรงเรียนนายทหารหลายโรงจำเป็นต้องล้มเลิก ธรรมเนียมที่ถือปฎิบัติกันมาเป็นร้อยปี ให้ผู้หญิงเข้าไปเรียนร่วมกับผู้ชายได้ เนื่อง จากมีการผ่านกฎหมายให้หญิงเท่าเทียมชายได้ ถึงแม้กฎหมายจะเปิดโอกาส แต่ก็เป็นการสร้างความไม่พอใจให้ฝ่ายชายในสถาบัน การกลั่นแกล้งจึงเกิดขึ้นต่อฝ่าย นักเรียนผู้หญิง ดูเหมือนว่าจนกระทั่งวันนี้ก็หนีกันจนหมดแล้วเพราะทนไม่ไหว ในส่วนของทหารชั้นประทวน มีการเสนอทุนการศึกษาให้หนุ่มสาวที่เพิ่งจบ High Schoolให้ไปเป็นทหารประจำการ2ปี เมื่อครบกำหนดจะได้รับการส่งเสีย ให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มสาวที่อยากระเรียนแต่ไม่มีทุนจึงสมัครกัน ก็นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนักอกของทางกองทัพก็ คือปรากฏการณ์ใหม่ที่ต้องแก้กัน มีรายงานว่าทหารหญิงชายที่ถูกส่งลงประจำการ ในเรือ ทำปืนลั่นใส่กันให้นัวเนีย เฉพาะที่ตั้งครรภ์ก่อนขึ้นฝั่งมีถึง40%....นี่ขนาด มีการป้องกันกันอย่างดิบดี...40%ก็เฉพาะที่พลาด จากเหตุการณ์นี้ได้ยินมาว่า ทางPentagonกำลังคิดหนักว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร.....ผู้หญิงผู้ชายเรียกร้อง สิทธิกันดีนัก.....เสร็จแล้วก็......

A tale of two male pigs

When I was a student years ago. I was a regular volunteer to go to the rural areas, to do the "Pat ta na Chon na bot". The village I went to was very remote, villagers lived a near primitive life. Their sources of income were crops from a small garden, chickens under the house, and pigs that they raised. All pigs were of the native type, ate a lot but never grew big. They sterilized both male and female pigs to make them become fat for better price. Only a few families kept the unsterilized females for giving birth to little pigs. The rest of families would buy this small pigs to raise in their families. Due to low productivity of the native pigs, the official (Amphur and Jungwat) encouraged outsiders to bring better male pig into the village to mate with the local pigs for fee (5 Bahts) per shot. Before this, there was one of the local old man that had a male pig (they called it Poh Moo) for this purpose. Every day, he would walk his "Poh Moo" around the village (500+ families), shouting in front of every house (hut). "Do you want your Mae Moo (female) pa som pun"(mate)? One day, while the local Poh Moo was performing his duty for 5 bahts for his owner, the outsider guy with Poh Moo Jungwat showed up at the scene. The Mae Moo's owner changed his mind, he want the Moo Jungwat rather than the local one. He ordered the process to stop. Local poh moo did not want to stop (of course, he was having fun doing his job), and his owner got mad. It end up with a big fight, 2 Poh Moo's were fighting each other for the Mae Moo. The Poh Moo's owners fought each other for 5 bahts. It was both sad and fun for all of us students at that time. It has been a big joke among friends since then. They teased their friends of being a Poh Moo, being pulled around by the string, knocking on the door of every house for mating, the fee was 5 bahts. Some made a joke to the unemployed or under-employed friends, get a Poh Moo,and walk him around, it is a good job. During this economic hardship in Thailand, if you want to make a few bahts this way, you are welcome to do so.

ทำไมผู้ชายถึงมีนม?

Encyclopediaเถื่อนบันทึกเอาไว้ว่าเมื่อสมัยกาลครั้งหนึ่งนานมา แล้วนั้น เรื่องอาหารการกินเป็นเรื่องใหญ่ กว่าแต่ละคนจะหาอาหารได้จน พออิ่ม ก็ต้องใช้เวลาตะลอนไปตะลอนมาทั้งวัน จะหาอาหารมาใส่ตู้เย็นเอา ไว้กินกันหลายๆวันเหมือนสมัยนี้ ผู้ชายและผู้หญิงจึงผลัดกันเลี้ยงลูก เพื่อที่อีกคน จะได้มีโอกาสออกไปไล่จับเสือช้างบ่างชะนีมาเป็นอาหาร ผู้ชายจึงจำเป็นต้อง มีนมเอาไว้ให้ลูกดูด สมัยนั้นนมของผู้หญิงและผู้ชายจึงมีขนาดพอๆกัน หรือในบางกรณีนมผู้ชายมีขนาดใหญ่และมีน้ำนมสมบูรณ์กว่าของผู้หญิงเสียอีก เวลาเดินไปไหนมาไหนก็ยากที่จะบอกได้ว่าใครเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
จำเนียรการผ่านมา อาหารการกินก็อดมสมบูรณ์มากขึ้นเพราะมนุษย์รู้จัก การผลิต ผู้ชายเริ่มมีเวลาว่าง ข้างผู้หญิงก็เลยทำหน้าที่ให้นมลูกแต่เพียงอย่าง เดียว การใช้งานของนมผู้ชายจึงน้อยลงเรื่อยๆ หลายGenerationถัดมา นมผู้ชายจึงเหลือแต่ตออย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์ อะไรเลย

สงกรานต์ฉบับInternet

นางสงกรานต์ ชื่อ..........
ดอกไม้ประจำตัว............ดอกเบี้ยทบต้น
เครื่องประดับ................Rolexเรือนทอง ฝังเพชร
อาหาร..........................น้ำมัน Super Unlead
กระเป๋าถือ.....................Louis
หนังเรื่องโปรด.............อีไพหนังพร้อมน้อย
อาวุธ............................M-16, .44 Magnum P.I.
พาหนะ........................Jaguar, Ferrari, BMW
วิมารที่พำนัก................หลาทอม
งานอดิเรก....................เล่นไพ่นกระจอก
ปีนี้มีนาคให้น้ำเพียงตัวเดียว เพราะโดนจับไปถลกหนังทำกระเป๋าจนแทบไม่เหลือ ฝนตกทั้งหมด 350ห่า แต่ตกมั่วตั้วเนื่องจาก Elnino ตกในมหาสมุทร 10 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180ห่า แต่ไหลบ่าลงมาบนมนุษยโลกจนเกลี้ยงเพราะป่าโดนตัดจนโกร๋นมาหลายปีเต็มที ทีเหลือก็ดกท่วมบ้านมนุษย์ขี้เหม็น ปีนี้โคถีกเสี่ยงทายกินPizzaทำนายว่าการค้าจะขาดดุลย์เช่นเคย โคขี้ออกมาในขณะ ปฏิบัติหน้าที่ ทำนายว่า กระบวนการBull-Shitในวงการเมืองไทยย่อมเป็นไป เหมือนที่เป็นมา