05 มกราคม 2553

หนังสือเรื่องแก่นพุทธศาสน์ (ตอนที่๑)


คำนำ

หนังสือเรื่องแก่นพุทธศาสน์

เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕o๔ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เข้ามากรุงเทพฯ เพื่องานประกาศธรรมะ คณะนายแพทย์แห่งโรงพยาบาลศิริราช ร่วมด้วยนักศึกษาวิชาแพทย์ ณ โรงพยาบาลนั้น ได้นิมนต์ท่านแสดงปาฐกถารวม ๓ ครั้ง ปรากฏว่าข้อความที่ท่านแสดงนั้น คือ ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา อันเป็นเรื่องย่อเอาแต่แก่นของพุทธธรรมมากล่าว เหมือนกับบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่ชาวพุทธควรศึกษา ควรปฏิบัติ อยู่ที่ตรงนี้ เป็นการตัดปัญหายุ่งยากมีประการต่าง ๆ ที่ชอบเถียงกันในเรื่อง หลักของพุทธธรรม ท่านนำพระพุทธดำรัสมาบอกให้ทราบว่า "ใจความแท้ ๆ" นั้นคืออะไร ?

ต่อมาท่านแสดงอีกครั้งถึงเรื่อง "ความว่าง" อันเป็นใจความสำคัญที่ควรสนใจมาก เราได้ยินพุทธภาษิตบททนื่งว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ อันแปลว่า พระนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ทราบชัดว่า ว่าง อย่างไร ความว่างอยู่ที่ตรงไหน ถ้าได้ฟังกัณฑ์นี้อันว่าด้วยความว่างแล้วจะชัดเจนขึ้นและมองเห็นว่า "พระนิพพาน" เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจเข้าถึงได้ในชีวิตนี้

ครั้งต่อมาท่านพูดถึงเรื่อง วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง เป็นการชี้ทางให้เดินตรงไปตามแนวนี้ เป็นเรื่องที่ชาวโลกผู้หมกมุ่นโนการงานควรศึกษา พึงนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะการปฏิบัติตนตามวิธีเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่างจะช่วยให้อยู่อย่างสงบ ปองกันโรคทางวิญญาณได้เป็นอย่างดี

ปาฐกถาทั้งสามครั้งนี้ เป็นที่พอใจคณะนายแพทย์เป็นอย่างมาก จึงได้ถอดจากเครื่องอัดเสียงมาเป็นตัวหนังสือ อ่านแล้วก็พอใจใคร่จะให้ได้อ่านกันทั่วถึง จึงคิดกันว่าควรจะพิมพ์เป็นเล่มให้แพร่หลาย ประจวบกับท่านพุทธทาส กำลังสร้าง โรงมหรสพทางวิญญาณ อยู่ นายแพทย์ผู้หนึ่ง ได้นำความเรื่องนี้ไปหารืออาตมา อาตมาเห็นด้วย หนังสือเล่มนี้จึงได้เกิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ ท่านซื้อหนังสือนี้ไปอ่าน ท่านได้กุศลทำบุญ ถึงสองสถาน กระสุนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

แต่ว่าหนังสือเรื่องนี้ เป็นธรรมะส่วนลึกในพระพุทธศาสนา ย่อมยากบ้างเป็นธรรมดา ผู้อ่านจึงด้องอ่านด้วยความตั้งใจ อ่านช้า ๆ คิดตามไปด้วย อย่าทิ้งเสียเมื่ออ่านบทแรกแล้วไม่เข้าใจ จงพยายามอ่านแล้วอ่านอีก อ่านด้วยจิตใจทีเยือกเย็น - สงบจนเข้าใจชัด ท่านจะได้รับประโยชน์ตามควรอย่างคุ้มค่าสมกับที่ ท่านได้พบพระพุทธศาสนา อย่างน้อย ๆ ท่านก็รู้เองว่า "แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา" นั้นอยู่ตรงนี้เอง

ปัญญานันทะ



คำปรารภ

คณะ ผ.ช.ป.เล็งเห็นความสำคัญจากประโยชน์ในหนังสือ "แก่นพุทธศาสน'์' เล่มนี้ ว่าเป็นใจความที่เป็นแก่นแท้ทาง พุทธศาสนา อันเปรียบเสมือนรากแก้วที่หยั่งลึกลงไปในพื้นพิภพ ให้ความอุดมสมบูรณ์และความแข็งแกร่งต่อไม้ยืนต้นอย่างนิรันดร์กาล ความเป็นแก่นแท้ก็ดี รากเหง้าก็ดีในทางพุทธศาสนา ซึ่งพุทธบริษัททุกคนควรจะได้สัมผัส อย่างน้อยการได้อ่านและศึกษาสักเที่ยวหนึ่ง น่าจะเอื้ออำนวยให้ผู้อ่านสามารถจับใจความความสำคัญตามที่ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุได้แสดงธรรมกถาไว้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ที่สุด

ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยแต่ประการใด ในการที่องค์การยูเนสโกแห่งสหประชาชาต,ิ ได้ตัดสินมอบรางวัลชนะเลิศหนังสือดีประจำปี พ.ศ. ๒๕๐๘ แก่ "แก่นพุทธศาสน'์' เล่มนี้

คณะ ผ.ช.ป. ขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณแด่ทุกท่านที่มีส่วนร่วมมือกันในการช่วยกันเข้าถึงพระธรรมอย่างถูกวิธี และช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาโดยถ้วนทั่วในวาระนี้ด้วย

ด้วยความปรารถนาดี

คณะเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ





เรื่อง

ใจความทั้งหมด

ของพระพุทธศาสนา

พระราชชัยกวี (ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ)

ธรรมกถาในโอกาสพิเศษ ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)

ในอุปการะของคณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล

มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ ๑๗ ธันวาคม ๒๕o๔

------------------------------------------

ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย!

โอกาสของการบรรยายครั้งเดียวเป็นพิเศษเช่นนี้ อาตมามีความเห็นว่า ควรจะได้กล่าวถึงเรื่องซึ่งเป็นใจความสำคัญเป็นข้อสรุปความของหลักธรรมะจะเหมาะกว่าอย่างอื่น ฉะนั้นจึงได้ตั้งใจที่จะกล่าวถึงใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา โดยหวังอยู่ว่า ถ้าจับใจความหรือแนวที่เป็นใจความสำคัญทั้งหมดของ พุทธศาสนาได้แล้ว จะเป็นการง่ายสะดวกอย่างยิ่งในการที่จะศึกษาก้าวหน้าออกไปอย่างกว้างขวาง ถ้าจับใจความหรือแนวไม่ได้จะสับสน และจะรู้สึกว่ามันมากมาย แล้วจะเพิ่มขึ้น ๆ จนมากมายเทลือที่จะจำ จะเข้าใจ หรือจะปฏิบัติ

อันนี้เป็นมูลเหตุของความล้มเหลว เพราะทำให้เกิดความท้อถอย และมีความสนใจที่พร่าหรือลางเลือนออกไปทุกที ในที่สุดก็คล้าย ๆ กับว่า เหมือนกับแบกความรู้ตั้งมากมายเข้าไว้ แล้วไม่สามารถที่จะศึกษา หรือประพฤติปฏิบัติให้เป็นชิ้นเป็นอันได้.

ฉะนั้น ขอให้สนใจที่จะทบทวนหรือฟังในลักษณะที่จะจับใจความสำคัญทั้งหมดของพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้ ความรู้ชนิดที่เป็นหลักมูลฐาน สำหรับ เข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง อาตมาขอเน้นตรงที่ว่ามันเป็นหลักมูลฐานเพราะความรู้ชนิดที่ไม่ใช่หลักมูลฐานก็มี และเข้าใจอย่างไม่ถูกต้องก็มี คือมันเขวออกไปทีละน้อย ๆ จนเป็นพุทธศาสนาใหม่ หรือถึงกับเป็นพุทธศาสนาเนื้องอก ที่งอกออกไปเรื่อย ๆ

ที่ว่า หลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐาน นั้น หมายความว่ามันเป็นหลักที่มีจุด มุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ มีเหตุผลอยู่ในตัวมันเองที่ทุกคนอาจเห็นได้ โดยไม่ต้องเชื่อตามบุคคลอื่น นี้อย่างหนึ่ง นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของสิ่งที่เป็นหลักมูลฐาน

ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย ไม่ยอมพยากรณ์ อย่างปัญหาที่ว่าตายแล้วเกิดหรือไม่ อะไรไปเกิด เกิดอย่างไร ได้รับผลอย่างไร อย่างนี้มันไม่ใช่เป็นปัญหาที่มุ่งตรงไปยังเรื่องความดับทุกข์ และยิ่งกว่านั้นมันยังไม่เป็นพุทธศาสนา ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา ไม่อยู่ในขอบวงของพุทธศาสนา เพราะไม่ได้มุ่งหมายที่จะดับทุกข์ นี้อย่างหนึ่ง ;.แล้วอีกอย่างหนึ่งผู้ถามนั้นก็ได้แต่เชื่อตามผู้พูดดายไปเพราะว่าผู้ตอบ ก็ไม่อาจจะเอาอะไรมาแฉให้เห็นได้ ได้แต่พูดไปตามความจำและความรู้สึก ผู้ฟัง ก็ไม่อาจจะเห็นสิ่งนั้นได้ ก็ต้องเชื่อตามผู้พูดดายไป มันก็เลยเตลิดออกไปนอกเรื่องทีละนิด ๆ จนเป็นเรื่องอื่นไป ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ และอยู่ในลักษณะที่ผู้ฟังต้องเชื่อตามผู้พูดอย่างหลับหูหลับตาเรื่อยไป แล้วเดินออกไปนอกขอบวงของความดับทุกข์ยิ่งขึ้นทุกที

ทีนี้ ถ้าหากว่าไม่ตั้งปัญหาอย่างนั้น จะตั้งปัญหาเรื่องว่า มีความทุกข์หรือไม่ และ จะดับทุกข์ได้อย่างไร นี่พระพุทธเจ้าท่านยอมตอบ ตอบทุก ๆ คำ ผู้ฟังจะเห็นจริงได้ทุกคำ โดยไม่ต้องเชื่อดายไป ไม่ต้องเชื่อตามผู้พูดดายไป ก็เลยยิ่งเห็นจริงขึ้นทุกที ๆ จนเข้าใจในเรื่องนั้นได้ และ ถ้าtข้าใจถึงขนาดทำความดับทุกข์ได้นั้น นั่นหมายถึงความเข้าใจที่เป็นไปถึงที่สุด จนถึงกับรู้ว่าแม้เดี๋ยวนี้ มันก็ไม่มีคนที่กำลังมีชีวิตอยู่ คือ มีความรู้ถึงขนาดที่มองเห็นโดยประจักษ์ว่า ไม่ได้มีตัวตนหรือของตน มันเป็นแต่ความรู้สึกว่าตัวกู - ของกู ที่รู้สึกขึ้นมาตามความโง่ ความเขลาที่ไปหลงตามสิ่งที่มาแวดล้อมปรุงแต่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อะไรเหล่านี้ พอมองเห็นชัดขนาดที่ดับทุกข์ได้อย่างนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่าตัวเรานั้นก็หายไป ความรู้สึกว่าตัวกู - ของกูเทล่านี้ไม่มีเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเกิดอยู่ที่นี่ มันจึงไม่มีใครตายแล้วไปเกิดใหม่ ปัญหาที่ถามว่าตายแล้วเกิดใหม่หรือไม่? จึงเป็นปัญหาที่เขลาที่สุด และไม่เกี่ยวกันกับพุทธศาสนาเลยเพราะเหตุนี้

เพราะเหตุว่า พุทธศาสนามุ่งหมายที่จะบอกให้รู้ว่า ไม่มีคนที่เป็นตัวเราหรือของเรานั้นไม่มี มีแต่ความเข้าใจผิดของจิตที่ไม่รู้สิ่งที่มีอยู่ก็เป็นเพียงแต่ร่างกายกับจิตใจ ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นธรรมชาติ มันมีอาการเป็นกลไก mechanism ปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงอะไร ได้อยู่ในตัวมันเอง ถ้าผิดวิธีก็เกิดความโง่ความหลงขึ้นมา จนทำให้รู้สึกว่า มีตัวเรามีของเรา ; ถ้าถูกวิธีมันก็จะไม่เกิดความรู้สึกอย่างนั้น แต่จะเป็นสติปัญญาอยู่ตามเดิม รู้แจ้งเห็นจริงอยู่ตามเดิม ว่าว่างจากตัวเราหรือของเรา

นี่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันว่า ในขอบวงพุทธศาสนานั้น ไม่มีปัญหาที่ว่า ตายแล้วเกิดหรือไม่ อะไรทำนองนั้น แต่มีปัญหาว่าทุกข์หรือไม่ จะดับมันอย่างไร และก็รู้จักมูลเทตุให้เกิดทุกข์แล้วดับทุกข์เสียได้ และมูลเหตุให้เกิดทุกข์ก็คือความหลง ความเข้าใจผิดว่ามีตัวเรา - ของเรานั่นเอง

ฉะนั้น เรื่องตัวเรา เรื่องของเรา เรื่องตัวกู เรื่องของกู นี้ คือปัญหาเพียงอันเดียว ข้อเดียว และเป็นใจความสำคัญของพุทธศาสนาเพียงข้อเดียว เรื่องเดียวที่จะต้องสะสางให้หมดไป แล้วจะเป็นอันว่ารู้ เข้าใจ และปฏิบัติพุทธศาสนาทั้งหมดโดยไม่มีเหลือ เพราะฉะนั้น. ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี.

ที่ว่าหลักมูลฐานนั้น มิส่วนที่เป็นหลักอยู่ไม่มากมาย จนถึงกับพระพุทธเจ้าท่านเรียกของท่านว่า "มันกำมือเดียว" มันมีเรื่องเพียงกำมือเดียว ไม่มากมายเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมืองหรือทั้งป่า ซึ่งในสูตรที่มีอยู่ในสังยุตนิกายเล่าเรื่องนี้ไว้ชัดว่า ; เมื่อกำลังเดินกันอยู่ในป่า พระพุทธเจ้าท่านกำใบไม้ที่เรี่ยราดอยู่ขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วถามภิกษุทั้งทลายในที่นั้นว่า ใบไม้ที่กำขึ้นมานี้กับใบไม้หมดทั้งป่ามันมากน้อยกว่ากันกี่มากน้อย ทุกคนก็เห็นได้ว่า มันมากกว่ากันมาก จนเปรียบกันไม่ไหว ถึงแม้พวกเราที่นี่ เดี๋ยวนี้ก็ลองทำมโนภาพถึงของจริงในเรื่องนี้ดูให้เห็นชัดว่ามัน มากมายยิ่งกว่ากันเสียทีหนึ่งก่อน พระพุทธเจ้าจึงบอกว่านี่มันอย่างนี้ คือว่าเรื่องที่ตรัสรู้และรู้นั้นมันมาก เท่ากับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องจำเป็นที่ควรรู้ ควรนำมาสอนและนำมาปฏิบัตินั้นเท่ากับ ใบไม้กำมือเดียว

ข้อความเรื่องนี้ มีคนเอาไปเขียนเป็นนวนิยายอย่างเรื่อง กามนิต คนที่เคยอ่านเรื่องกามนิตก็คงจะสังเกตเห็นเรื่องที่มีอยู่จริงในพระบาลีจึงเป็นเหตุให้ถือได้ว่า หลักมูลฐานที่จะประพฤติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้น เทียบส่วนแล้วมันกำมือเดียว ในเมื่อไปเปรียบเทียบกับของทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งป่าทั้งดง

คำว่ากำมือเดียวนี้เราก็ต้องรู้สึกได้ว่า มันเป็นของไม่มากมาย หรือไม่เหลือวิสัย ไม่เกินวิสัยของคนเราที่จะเข้าถึงได้และเราอาจเข้าใจอย่างถูกต้องได้ นี่คือใจความสำคัญในวาระแรก ที่เราต้องทำความเข้าใจกัน ในเมื่อทุกคนจะต้องเข้าใจหลักมูลฐาน สำหรับเข้าใจพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง

ทีนี้ก็มาถึงคำว่า พุทธศาสนา ขอให้เข้าใจคำนี้ตรง หรืออย่างถูกต้องอีกเช่นเดียวกันด้วย ว่าสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนานั้น เมื่อตกมาถึงสมัยนี้แล้วมันพร่ามาก คือมันกว้างขวางไม่ค่อยมีขอบเขต ถ้าเป็นอย่างสมัยพุทธกาลก็ใช้คำอื่นคือคำว่าธรรม หมายถึงธรรมเฉพาะที่ดับทุกข์ เขาไม่ได้เรียกกันว่าพุทธศาสนาอย่างที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ เขาเรียกกันว่า "ธรรม"

ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เรียกธรรมของพระสมณะโคดม ถ้าธรรมะของลัทธิอื่นเช่นนิคันถนาฎบุตรก็เรียกว่าธรรมของนิคันถนาฎบุตร

ใครชอบใจธรรมของใครก็พยายามศึกษาจนเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติตามแนวนั้น ดังนั้น จึงมีชื่อเรียกว่า "ธรรมล้วน ๆ แล้วก็เป็นธรรมะล้วนจริง ๆ ไม่มีเปลือกกะพี้หรือส่วนที่มาเกี่ยวข้องทีหลังมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เรามาเรียกสิ่งนั้นว่าพุทธศาสนาแล้วเราเผลอไป หรือจะด้วยเหตุใดก็ตาม คำว่าพุทธศาสนาของเรานี้มันพร่ากว้างออกไปจนถึงกับรวมเอาสิ่งเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเข้ามาด้วย

ท่านต้องสังเกตดูให้ดีว่า มันมีพุทธศาสนาอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว มันมีสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันอยู่กับพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่ง ส่วนนี้มากมายเหลือเกินแล้วเราเอามารวมเป็นอันเดียวกันเรียกว่าพุทธศาสนา อย่างที่เข้าใจกันเดี๋ยวนี้

ลำพังตัวพุทธศาสนาแท้ ๆ มันก็มากอยู่แล้ว มากเท่ากับใบไม้ทั้งป่า ส่วนที่ต้องศึกษาปฏิบัติมีเพียงกำมือเดียวนี่ก็เรียกว่ามากอยู่แล้ว ทีนี้ไปเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเข้ามาอีก เช่น เรื่องประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนา เรื่องจิตวิทยาที่ขยายออกไป เช่น ในแง่ของอภิธรรม บางส่วนก็กลายเป็นเรื่องจิตวิทยา บางส่วนก็เป็นรูปของปรัชญาขยายออกไป ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในทางฝ่ายนั้น ก็ยังมีอีกมากมายหลายแขนง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนามันจึงมากมาย และถูกกวาดเอามารวมเข้าไว้ในคำว่าพุทธศาสนา มันเลยทำให้มาก

ถ้าคนไม่รู้ ก็ไม่รู้จักจับเอาใจความสำคัญ มันก็เลยเหมือนกับว่าเห็นเป็นของมาก แล้วก็ไม่รู้จะเลือกเอาอันไหนดีเหมือนกับเราเข้าไปในร้านขายของที่มีสารพัดอย่าง จนงงไปหมดทำนองนี้ ก็เลยปล่อยไปตามความรู้สึกสามัญสำนึก นั่นบ้าง นี่บ้าง ตามเรื่องตามราว แล้วส่วนมากก็ไปถูกเอาเรื่องที่ตรงกับกิเลส มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของสติปัญญา เลยกลายเป็นเรื่องทำพิธีรีตองต่าง ๆ ทำบุญพอสักแต่ว่าให้แล้ว ๆ ไป หรือเพื่อประกันความหวาดกลัวอะไรบางอย่าง มันเลยไม่ถูกพุทธศาสนาตัวจริง

เพราะฉะนั้น ขอให้เรารู้จักแยกสิ่งที่เป็นตัวพุทธศาสนาให้ออกไปเสียจากสิ่งซึ่งเป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวข้องกันกับพุทธศาสนาแต่เข้ามารวมในชื่อ ของพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน

แม้ในส่วนที่เป็นพุทธศาสนานั้น ก็ยังต้องรู้จักแยกออกไปว่า อะไรเป็นหลักมูลฐาน หรือเป็นใจความสำคัญ ฉะนั้นอาตมาจึงตั้งใจจะกล่าวถืงเรื่องที่เป็นหลักมูลฐานอันสำคัญที่เป็นใจความสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกงงว่าจะพูดในรูปไหนดี

ทีนี้ในการที่เข้ามาในโรงพยาบาลนี้ นับเป็นความรู้สึกที่ดลใจหรือเกิดขึ้นเอง คือทำให้นึกขึ้นมาได้เอง ถึงลักษณะอรรถกถาทั้งหลายใต้เรียกพระพุทธเจ้าโดยชื่อ ๆ หนึ่งว่า "แพทย์ในทางฝ่ายวิญญาณ" นี่บัดนี้ ท่านได้ยินคำว่า "แพทย์ในทางฝ่ายวิญญาณ" แล้ว อาตมาก็กล่าวไปตามตัวหนังสือท่านไม่อาจเข้าใจในทันทีก็ได้ จึงต้องการคำอธิบายบ้าง

ตามความหมายของพระพุทธเจ้าได้ตรัสธรรมะไว้บางหมู่และตามอรรถกถาที่ต้องการจะอธิบายธรรมหมู่นั้น จึงเกิดมีหลักที่ถือกันว่า มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ ๒ ประเภท คือโรคทางกายกับโรคทางจิต, บาลีใช้คำว่า "โรคทางจิต" ในครั้งกระโน้น แต่เดี๋ยวนี้คำว่าโรคทางจิตนี้มันมีความหมายไม่ตรงกับโรคทางจิตในสมัยอรรถกถาหรือในสมัยพุทธกาล โรคทางจิตในสมัยพุทธกาล หมายถึงโรคทางความคิดเห็นหรือทางกิเลสตัณหา แต่ก็เรียกว่า โรคทางจิต

เดี๋ยวนี้เราเอาคำว่าโรคทางจิตไปใช้กับโรคทางจิตธรรมดาที่เนื่องกันอยู่กับร่างกาย ไปปนกันอยู่กับโรคทางกาย จึงเป็นเหตุให้ไม่เข้าใจโรคทางฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้นจึงขอบัญญัติคำขึ้นมาใหม่เป็น ๓ คำว่า โรคทางกาย หวือ Physical disease โรคทางจิตหรือ Mental disease สองอย่างนี้เอาไว้ในฝ่ายโรคทางกายหมด แล้วก็มีคำว่า spiritual disease นี่แหละคือโรคในทางวิญญาณ ซึ่งตรงกับโรคทางจิตในสมัยพุทธกาล

คำว่า spiritual และ Mental นี้ต่างกันไกลลิบ Mental หมายถึงจิตที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่กับกาย สัมพันธ์กันกับกาย ถ้าหากเราเป็นโรคทาง Mental นี้ก็ไปโรงพยาบาลประสาท หรือโรงพยาบาลบ้านสมเด็จ มันก็เป็นเรื่องโรคทาง Mental มิได้เป็นโรคทาง spiritual นั้น

คำว่า "วิญญาณ" ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณภูตผี ปีศาจ ถูกผีสิง อะไรทำนองนั้นไม่ใช่ มันหมายถึงวิญญาณหรือจิตหรือมโนส่วนลึกที่มันเป็นโรคได้ด้วยอำนาจของกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คืออวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิมันเป็นจิตที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิ แล้วก็เป็นโรคทางวิญญาณ คือเห็นผิด เห็นผิดก็เป็นเหตุให้คิดผิด พูดผิดทำผิด แล้วก็เป็นโรคตรงที่ คิดผิด พูดผิด ทำผิด

ท่านจะเห็นได้ทันทีว่า Spiritual disease นี้เป็นกันทุกคน ไม่ยกเว้นใคร ส่วน Physical disease, Mental disease นั้นเป็นกับคนบางคน และเป็นบางเวลา และเรื่องมันก็ไม่มากมายเสียหายใหญ่โตอะไรนัก คือมันไม่ทำให้ใครเป็นทุกข์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ได้เหมือนกับ โรคทางวิญญาณ

เพราะฉะนั้น โรคทาง Physics หรือทาง Mental นี้ ไม่เกี่ยวกันกับพุทธศาสนา ซึ่งเป็นยาแก้โรคทางวิญญาณหรือไม่เกี่ยวกันกับพระพุทธเจ้าที่เป็นแพทย์ในทางวิญญาณโดยตรง มันเหลือแต่โรคที่อรรถกถาเรียกว่า "โรคทางจิต" หรือในบัดนี้เราต้องบัญญัติลงไปว่า spiritual disease และ เรียกว่า "โรคทางวิญญาณ" ดีกว่า

เมื่อมันทำให้อาตมานึกถึงข้อที่อรรถกถาเรียกพระพุทธเจ้า ว่าเป็นนายแพทย์ทางวิญญาณ ก็รู้อีกต่อไปว่าถือเอาแนวนี้พูดกันรู้เรื่องง่ายกว่า โดยเหตุที่คนทุกคนเป็นโรคทางวิญญาณจึงทุกคนต้องรักษาเยียวยาในทางวิญญาณนั่นแหละคือธรรมะนั่นแหละ คือพุทธศาสนากำมือเดียวที่จะต้องเข้าให้ถึง คือเอามาใช้ มากิน มาเยียวยารักษาโรคให้จนได้

ที่ต้องสนใจต่อไปอีกก็คือว่า มนุษย์เราสมัยนี้ไม่สนใจเรื่องโรคทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นโรคทางวิญญาณกันหนักขึ้นทั้งทางส่วนตัว และส่วนรวมเพราะเมื่อทุกคนเป็นโรคทางวิญญาณแล้ว โลกนี้ทั้งโลกก็เป็นโรคทางวิญญาณไปหมด เป็นโลกที่มีโรคทางจิตทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ถาวรก็เข้ามาแทนที่ของสันติภาพถาวรจะปลุกปล้ำกันอย่างไร ๆ มันก็ไม่เป็นสันติภาพ แม้ชั่วขณะขึ้นมาได้ อย่าพูดถึงสันติภาพถาวรให้ป่วยการ เพราะว่าทั้งสองฝ่ายมันเป็นโรคทางวิญญาณ คือทั้งสองฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายถูกและเรียกฝ่ายอื่นว่าเป็นฝ่ายผิดนั้น มันทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นโรคทางวิญญาณ จึงมีแต่เรื่องที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นทั้งแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น มันเหมือนเครื่องจักรผลิตความทุกข์ขึ้นมาในโลก แล้วโลกนี้จะสงบได้อย่างไร

การแก้ไขมีอยู่ว่า ต้องทำให้ทุกดนในโลกนี้หยุดเป็นโรคทางวิญญาณ แล้วมันจะมีอะไรมาแก้ ? มันก็ต้องมีหยูกยาที่มีไว้เฉพาะโรคนี้ คือธรรมะกำมือเดียวในพระพุทธศาลนาที่จะต้องเข้าให้ถึงให้ได้ นั่นแหละคือคำตอบที่ว่า ทำไมพุทธศาสนาจึงไม่เป็นที่พึ่งแก่คนในโลกนี้ให้เต็มตามความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาได้ทั้ง ๆ ที่เราถือกันว่าเดี๋ยวนี้พระพุทธศาสนาเจริญแพร่หลายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือมีส่วนที่เข้าใจถูกต้องกันยิ่งกว่าแต่ก่อน

จริงอยู่ในข้อที่ว่ามีการศึกษาพุทธศาสนากันมาก และเข้าใจกันมากขึ้น แต่ถ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นโรคทางวิญญาณแล้วจะเอาพุทธศาสนาไปกินไปใช้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้สึกว่าป่วยเราก็ไม่มาหาหมอ เราก็ไม่กินยา นี่ใคร ๆ ก็เห็นกันอยู่ ทีนี้คนเราในโลกโดยมาก ส่วนมากก็เป็นอย่างนี้มันเลยเป็นเรื่องเห่อยา ไปฟังธรรมะไปศึกษาธรรมะในฐานะที่เป็นยา แต่ก็ไม่รู้สึกตัวว่าตนเป็นโรค ไปเอามาไว้เพียงสำหรับเก็บไว้ให้รกรุงรัง หรือเอา ไว้พูดไว้เถียงกันเล่น จนกลายเป็นทะเลาะวิวาทไปก็มี นี่แหละธรรมะยังไม่เป็นที่พึ่งให้แก่โลกได้เต็มที่ก็เพราะเหตุนี้

ฉะนั้น ถ้าเราจะตั้งกลุ่มพุทธบริษัทขึ้นอย่างที่นี่ เดี๋ยวนี้ ก็ควรจะรู้ความมุ่งหมายที่แท้จริง ให้กิจการนี้ดำเนินไปตรงจุด คือโดยประการที่ธรรมะนี้จะช่วยรักษาเยียวยาโรคทางวิญญาณได้โดยตรงและโดยเร็ว อย่าให้พร่าจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ทิศไหน ขอให้เป็นไปในรูปที่ว่าเป็นยาอมฤต ศักดิ์สิทธิ์เพียงกำมือเดียว และใช้มันให้ถูก ใช้มันให้ตรงมันก็จะแก้โรคได้หมด แล้วการที่ตั้งกลุ่มหรือสมาคมขึ้นมาอย่างนี้ก็จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง หรือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราทำให้มันสำเร็จประโยชน์อย่างยิ่งอย่าให้เป็นที่น่าหัวเราะเยาะแต่ประการใดแม้แต่นิดเดียว

ทีนี้ข้อที่ว่าเป็น โรคทางวิญญาณนั้นคืออย่างไร แล้วจะรักษากันด้วยธรรมะกำมือเดียวอย่างไรนั้น จะวินิจฉัยกันต่อไป

คำ "โรคทางวิญญาณ" นั้น ก็คือโรคที่มีเชื้ออยู่ที่ความรู้สึกว่าตัวเรา ว่าของเรา หรือว่าตัวกู หรือว่าของกูนั่นเอง ที่มีอยู่ในใจ ประจำอยู่ที่ใจ เป็นเชื้อโรคอยู่แล้วก็เบิกบานออกมาเป็นความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู แล้วก็ทำไปตามอำนาจความเห็นแก่ตัว มันจืงเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงทำให้เดือดร้อนกันทั้งตัวเองและผู้อื่น นี่คืออาการของโรคทางวิญญาณมันเป็นอยู่ในภายใน ฉะนั้นให้เรียกกันเพื่อจำง่าย ๆ ว่าโรค ตัวกู-ของกู จะดีกว่าง่ายกว่า

พวกเรามีโรค "ตัวกู-ของกู" กันอยู่ทุกคน แล้วก็รับเชื้อนี้เพิ่มเติมเข้ามาทุกคราวที่เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวหนัง และคิดในใจตามประสาคนที่ไม่รู้ เขาเรียกว่า รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ๖ อย่าง คู่กันกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ๖ อย่างด้วยเหมือนกัน คือว่ามีการรับเชื้อหรือสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เป็นโรคนี้ ที่ปรุงแต่งให้เป็นโรคนี้อยู่ทุกคราวที่มีการเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ฯลฯ

เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จัก เชื้อ คือ ความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเรียกโดยภาษาบาลีว่า "อุปาทาน" อุปาทานแปลว่าความ ยืดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นมี ๒ อย่าง คือยึดมั่นว่าเราและยืดมั่นว่าของเรา

ยึดมั่นว่าเรานั้น คือรู้สึกว่า เราเป็นเรา เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างนี้ เราเป็นลูกผู้ชายแพ้ใครไม่ได้อะไรทำนองนี้ นี่เรียกว่าเรา

ทีนี้ของเราคือว่านั่นของเรา นั่นของที่เรารักที่เราชอบ แม้ที่เราเกลียดก็ถือว่าเป็นศัตรูของเรา นี่เรียกว่าเป็นของเรา

ถ้าเรียกอย่างบาลีก็เรียกว่า "อัตตา" นี่คือตัวเรา, "อัตนียา" นี่คือของเรา ถ้าเรียกกว้างออกไปอย่างที่ใช้เรียกให้ทุกแขนงของปรัชญาในอินเดีย เขาเรียกว่าอหังการนี้คือตัวเรา มมังการนี้คือของเรา อหังการ แปลว่าทำความรู้สึกว่าเรา เพราะคำว่า อหัง แปลว่าเรา และ มมังการ แปลว่าทำความรู้สึกว่าของเรา เพราะคำว่า มะมะ แปลว่าของเรา

ความรู้สึกเป็นอหังการ มมังการ นี้คือตัวอันตรายที่ร้ายกาจที่สุด หรือตัวสิ่งที่เป็นพิษที่ร้ายกาจที่สุด ซึ่งเราเรียกว่าโรคในทางวิญญาณ ในที่นี้ ซึ่งทุกแขนงของปรัชญาหรือธรรมะในอินเดียครั้งพุทธกาล ต้องการจะกวาดล้างสิ่งนี้ด้วยกันทั้งนั้น แม้จะเป็นลัทธิอื่นนอกไปจากพุทธศาสนา ก็ต้องการจะกวาดล้างสิ่งที่เรียกว่า อหังการ และ มนังการนี้ทั้งนั้น มันมาผิดกันตรงที่ว่า ถ้ากวาดล้างสิ่งนี้ออกไปแล้วเขาไปเรียกมันใหม่ว่าตัวตนที่แท้จริง อาตมันบริสุทธิ์ ที่ต้องการ ส่วนพุทธศาสนาเราไม่ยอมเรียกว่า ตัวตนที่บริสุทธิ์ หรืออาตมันที่ต้องการ เพราะไม่ต้องการจะยึดถือตัวตนหรือของตนอะไรขึ้นมาอีก เลยจัดเป็นความว่างที่สุด ที่เรียกว่านิพพานอย่างในบทที่ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุญญํ ชื่ง แปลว่า ว่างที่สุดนั่นแหละคือนิพพาน ก็แปลว่าว่างจากตัวกู ว่างจากของกู โดยเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง ไม่เหลือเยื่อใย นั่นแหละคือนิพพาน หรือความหายจากโรคทางวิญญาณ

ในเรื่องความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูนี้ มันมีความลับมากถ้าไม่สนใจจริง ๆ แล้วก็เข้าใจไม่ได้ ว่ามันเป็นตัวการของความทุกข์ หรือเป็นตัวการของโรคทางวิญญาณ

สิ่งที่เรียกว่าอัตตาหรือตัวตนนี้ มันก็ตรงกับคำว่า Ego ในภาษาลาตินที่รู้จักกันดี ถ้าความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวตนเกิดขึ้นเราเรียกว่า Egoism เพราะว่าถ้ารู้สึกว่ามีตัวเราแล้วมันก็ต้องคลอดความ รู้สึกว่าของเรานี้ออกมาด้วยเป็นธรรมดาช่วยไม่ได้

เพราะฉะนั้นความรู้สึกกว่า ตัวตน และของตน Egoism ความรู้สึกที่เป็นตัวตน Ego นี้ กล่าวได้ว่าเป็นธรรมชาติธรรมดาที่ต้องมีอยู่ในสิ่งที่มีชีวิด แล้วยังแถมเป็นศูนย์กลางด้วย

Ego ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษต้องแปลว่า soul และมันก็ตรงกับภาษากรีกว่า Kentricon ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Centre คำ Kentricon นี้ตรงกับคำว่า Centre ในภาษาอังกฤษซึ่งแปลว่าศูนย์กลาง เมื่อ Ego Jละ Kentricon คือสิ่ง ๆ เดียวกันแล้ว soul อัตตานี้ก็เป็นสิ่งที่ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิต เป็น Nucleus ที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งเรา ไม่สามารถเอาออกไปได้หรือไม่สามารถละเว้นจากสิ่งนี้ได้สำหรับคนธรรมดา

จึงเป็นอันว่าทุกคนที่เป็นปุถุชนจะต้องมีความรู้สึกที่เป็น Egoism อยู่เป็นประจำ แม้ไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดตลอดเวลาก็จริง แต่ก็จะแสดงออกมาทุกคราวที่เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวหนังหรือคิดนึกอะไรขึ้นในใจ ฉะนั้นทุกคราวที่มันเกิดเต็มรูปขึ้นมาเป็นความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกูให้ถือว่าเป็นโรคโดยสมบูรณ์แล้ว จะโดยอาศัยการเห็นรูป หรือฟังเสียง หรือ ดมกลิ่น หรือลิ้มรส หรืออะไรก็ตาม ถ้าในขณะนั้นเกิดความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูแล้วละก็ ถือว่าเป็นโรคโดยสมบูรณ์ คือมันเกิดความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวจัดขึ้นมา

ตอนนี้เราไม่เรียกว่า Egoism แล้ว แต่เราจะเรียกว่า selfishness หรืออะไรทำนองนั้น คือมันเป็น Egoism ที่เดือดพล่านและน้อมไปในทางตา หรือผิด หรือข้างที่เห็นแก่ตัวจนไม่ดูหน้าใคร คือไม่เห็นแก่ผู้อื่น ฉะนั้นมันจึงทำอะไรไปข้างเห็นแก่ตัวหมด เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ปรารภตัวเองหมด นี้คืออาการของโรค แสดงออกมาเป็น selfishness แล้วมันก็ทำอันตรายผู้อื่น และรวมทั้งตัวเองด้วย คือเป็นอันตรายแก่โลกมากที่สด

ที่โลกเรากำลังลำบากยุ่งยากอยู่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มีอะไรนอกไปจากสิ่งที่เรียกว่า selfishness ของแต่ละคน ของแต่ละฝ่ายที่คุมกันเป็นพวก ๆ อยู่ในโลกในเวลานี้ การที่ต้องรบกันอย่างที่ไม่อยากจะรบ ก็จำต้องรบกันนี้ มันก็เพราะบังคับสิ่งนี้ไม่ไต้ หรือทนต่ออำนาจของสิ่งที่ไม่ได้มันจึงเกิดเป็นโรคขึ้นมา

โลกนี้มันตั้งขึ้นมาได้ คือมันรับเชื้อเข้ามาแล้วก่อเป็นโรคขึ้นมาได้ ก็เพราะว่าทุกคนไม่รู้จัก สิ่งที่เป็นเครื่องต้านทานโรค กล่าวดือ หัวใจของพุทธศาสนา

เดี๋ยวนี้อาตมาได้กล่าวคำว่า "หัวใจของพระพุทธศาสนา" ขอให้เข้าใจคำว่าหัวใจของพุทธศาสนาต่อไป

เมื่อเราถามขึ้นว่า อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา อาจชิงกันตอบจนปากสลอนไปหมด คือใคร ๆ ก็ตอบได้ แต่มันอาจจะถูกหรือผิดนั้นอีกเรื่องหนึ่ง และที่เขาตอบนั้นมันตอบตามที่ไปจำ ๆ เขามา หรือว่าเขามองเห็นด้วยสติปัญญาของเขาเอาเองว่ามันเป็นหัวใจของพุทธศาสนาจริง ขอให้ลองสังเกตในส่วนนี้เถอะ ว่ามันเป็นกันอยู่อย่างไรในบัดนี้ ใครรู้จักหัวใจของพุทธศาสนาจริง ๆ และเข้าถึงจริง ๆ บ้าง

เมื่อถามกันว่าอะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา? คงจะมีคนตอบว่า อริยสัจ ๔ ประการบ้าง หรือเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตตา บ้าง หรือบางดนก็อ้างหลักว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยนปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ "ไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำความดีให้เต็ม ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี้คือหัวใจของพุทธศาสนา อย่างนี้ก็ได้ ก็ถูกเหมือนกัน แต่มันถูกน้อยที่สุด และว่าเอาเองด้วย ; แล้วก็ยังเป็นเรื่องว่าตาม ๆ กันไปด้วย ไม่ได้เห็นเอง เห็นจริงด้วยตนเอง

สิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนานั้น อาตมาอยากจะแนะถึงประโยคสั้น ๆ ที่มีกล่าวอยู่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"

คือเรื่องมันมีอยู่ในพระบาลี มัชฌิมนิกายว่า คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า โดยทูลว่า พระพุทธวจนะทั้งหมดที่ตรัส ถ้าจะสรุปให้สั้นเพียงประโยคเดียวได้หรือไม่จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านว่าได้ พระองค์ตรัสว่า "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" สพฺเพ ธมฺมา แปลว่า สิ่งทั้งปวง นาลํ แปลว่า ไม่ควร, อภินิเวสาย เพื่อจะยึดมั่นถือมั่น ; สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แล้วพระองค์ก็ย้ำลงไปอีกทีหนึ่งว่าถ้าใครได้ฟังความข้อนี้ คือได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาลนา ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ ก็คือได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา

นี่ลองคิดดูเองว่ามันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาหรือยัง เพราะมันเป็นทั้งเรื่องวิชชา เป็นทั้งเรื่องปฏิบัติและเป็นทั้งเรื่องผลของการปฏิบัติ มันสมบูรณ์ถึงอย่างนี้ คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ปฏิบัติเพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ได้รับผลมาเป็นจิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร เป็นจิตที่ว่างที่สุดจึงถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา

ทีนี้ถ้าใครเข้าถึงความจริงข้อนี้ว่า สิ่งทั้งปวงล้วนแต่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ก็แปลว่ามันไม่มีเชื้อที่จะเกิดโรค เป็นโลภ โกรธ หลง หรือเป็นการกระทำผิดอย่างอื่น ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ และเมื่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ประดังกันเข้ามา เชื้อต่อต้านภายในที่ว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"' จะเป็นเชื้อต้านทานโรคอย่างยิ่ง มันไม่รับเชื้อโรค หรือว่าถ้ารับก็รับเข้ามาเพื่อทำลายให้หมดไป มันไม่ก่อเชื้อลุกลามเป็นโรคขึ้นมาได้ เพราะมันมีสิ่งต้านทานคอยทำลายอยู่เรื่อย เป็นอำนาจต้านทานโรค (Immunity) อย่างสูงสุดอยู่เรื่อย

นี่แหละคือหัวใจของพุทธศาสนา หรือหัวใจของธรรมะทั้งหมด ที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น หรือเป็นบาลีว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย

เพราะฉะนั้นบุคคลชนิดนี้ จึงเป็นบุคคลที่เหมือนกับมีเชื้อต้านทานโรค หรือเชื้อทำลายโรคอยู่ในตัวเขา เขาจึงเป็นโรคทางวิญญาณไม่ได้ แต่คนธรรมดาสามัญที่ไม่รู้หัวใจของพระพุทธศาสนานั้น มันก็ต้องเป็นตรงกันข้ามคือเป็นเหมือนกับบุคคลที่ไม่มีอำนาจต้านทานโรค หรือ Immunity ในตัวเสียเลยแม้แต่นิดเดียว มันจึงลุกลามเป็นโรคทางวิญญาณโดยเร็ว และเป็นอยู่เป็นประจำ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจได้แล้วว่าคำว่า "โรคทางวิญญาณ" หรือแพทย์ผู้รักษาโรคทางวิญญาณนี้มันหมายความว่าอย่างโร และได้แก่ใคร แต่เมื่อเราเห็นว่ามันได้แก่พวกเรา เมื่อนั้นเราก็จะกระตือรือร้นกันอย่างยิ่ง และถูกทางด้วยที่จะรักษาโรคของเรา ก่อนหน้านี้เราไม่รู้ เราก็สนุกสนานกันไปตามเรื่อ ง เหมือนกับคนเป็นโรคร้าย ๆ เช่น โรคมะเร็ง วัณโรค หรืออะไรก็ตาม เขาไม่รู้เขาก็หลงใหลเพลิดเพลินไปตามเรื่องตามราว ไม่คิดจัดการเยียวยารักษาโรค จนกระทั่งสายเกินไป แล้วจะต้องตายเพราะโรคนั้น

เราจะไม่เป็นคนประมาทถึงขนาดนั้น อย่างนั้นเรียกว่าประมาท ให้สมตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าประมาท จงสมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท หมายถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราเป็นผู้ไม่ประมาทก็ต้องเหลือบตาดูเสียบ้างว่ามันเป็นโรคทางวิญญาณกันอย่างไร หรือพยายามสอบสวนให้รู้จักเชื้อโรคทางมาของโรคในทางวิญญาณ อย่างถูกต้องอยู่เสมอ ๆ แล้วก็จะได้รับสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ทันในชาตินี้เป็นแน่นอน

เราจะต้องดูกันให้ละเอียดต่อไปอีก ถึงข้อที่ ความยึดมั่นถือมั่นนี้เป็นตัวโรค หรือว่าเป็นเชื้อโรค แล้วก็ลุกลามเป็นโรคได้อย่างไร ถ้าท่านสังเกตสักนิดหนึ่งก็จะเห็นได้ด้วยกันทุกคนว่าความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูก็ตาม เป็นของกูก็ตามนี่แหละคือแม่บทของกิเลสทั้งปวง

กิเลสนั้นเราจะแจกเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ก็ได้ ราคะ โกธะ โมหะ ก็ได้ หรือจะซอยลง ไปให้ละเอียดเป็น ๑๖ อย่าง เป็นกี่อย่างก็ได้ ผลสุดท้ายมันก็รวมเป็น โลภ โกรธ หลง แต่ว่าทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง ทั้งสามอย่างนั้นรวมเหลืออย่างเดียวก็ไค้ คือความรู้สึกว่าตัวกู ว่าของกู

- ความรู้สึกว่าตัวกู -ของกูที่เป็นศูนย์กลาง (Nucleus) อยู่ภายในนั้น มันคลอดออกมา เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลง

- ออกมาเป็นโลภ คืออยากได้ หรือกำหนดรักใคร่ คือออกมาดึงดูด หรือรับเอาอารมณ์ที่มากระทบ

- ถ้าในขณะอื่น มันออกมาในรูปที่ผลักดันผลักไสอารมณ์ออกโป มันก็เป็นเรื่องของความโกรธหรือโทสะ

- แต่ในบางคราว มันก็โง่อยู่ไม่รู้ว่าจะอย่างไรดี ได้แต่วนเวียนอยู่รอบ ๆ คือว่าไม่แน่ใจว่าจะดึงดูดเข้ามาหรือผลักออกไป มันก็เป็นโมหะ

ที่กล่าวอย่างนี้ก็กล่าวเพื่อให้สังเกตง่าย ราคะหรือโลภะนั้นคือดูดเอาอารมณ์เข้ามา มีการดึงดูดเข้ามากัน ; ที่เป็นโกธะหรือโทสะนั้น คือผลักออกจากกัน ; ที่เป็นโมหะความหลงนั้นมันวนเวียนอยู่โดยไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรดีคล้ายกับวนเวียนอยู่รอบ ๆ จะผลักออกก็ไม่กล้า จะดึงเข้ามาก็ยังไม่กล้า

อาการของความรู้สึกที่เป็นกิเลสนี้จะมีอยู่ ๓ ประเภทที่มันจะมีต่ออารมณ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส มันแล้วแต่อารมณ์นั้น มันจะมาในรูปไหน คือมาในรูปเปิดเผยหรือเร้นลับ มาในรูปที่ยั่วให้เข้าหาหรือยั่วให้ผลักออก หรือว่ามันไม่อาจจะเข้าใจได้ มันงง ๆ อยู่อย่างนี้ทั้งนั้น

แต่ว่าแม้จะแตกต่างกัน ทั้งสามอย่างนี้มันก็เป็นกิเลสเพราะมันมีมูลมาจากตัวกู-ของกู ที่รู้สึกอยู่ในภายใน

เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู ที่เป็นแม่บทของกิเลสทั้งปวงนี้ เป็นมูลเหตุของความทุกข์ทั้งปวงคือเป็นมูลเหตุของโรคทั้งปวง

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงความทุกข์เราไม่ค่อยจะสังเกตกันให้ดี ๆ เลยเข้าใจผิด ไปเข้าใจว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ฯลฯ นั้นเป็นอาการที่แจกออกไปเป็นลักษณะของอาการ แต่ท่าน ได้ตรัสสรุปท้ายไว้ว่า "สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาทุกฺขา" แปลว่า เมื่อกล่าวโดยสรุป แล้ว เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่น คืออุปาทาน นั่นแหละเป็นตัวทุกข์

ข้อนี้หมายความว่า สิ่งใดมีความยึดถือหรือถูกยึดถือก็ตาม ว่าตัวกู ว่าของกูแล้ว สิ่งนั้นคือตัวทุกข์ ถ้าในสิ่งใดไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู-ของกูแล้ว สิ่งนั้นไม่มีทุกข์

เพราะฉะนั้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อะไรก็ตาม ถ้าไม่ถูกยึดมั่นในฐานะเป็นตัวกู ของกูแล้ว มันหาเป็นทุกข์ไปได้ไม่ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ถูกยึดมั่นว่าเป็น ตัวกู-ของกูเท่านั้น ที่จะเป็นความทุกข์

ร่างกายและจิตใจนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อเป็นร่างกายละจิตใจ แล้วมันจะต้องเป็นทุกข์กันไปหมด- ไม่ใช่มันต้องต่อเมื่อในนั้นมีความยึดมั่นว่าตัวกู-ของกูต่างหาก มันจึงจะเป็นทุกข์ ส่วนในร่างกายจิตใจที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่เจืออยู่ด้วยความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูนี้ไม่มีทุกข์เลย เช่น ร่างกายและจิตใจของผู้ที่เราถือกันว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นร่างกาย และจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ไม่เจืออยู่ด้วยกิเลส คือตัวกู-ของกูจึงไม่ทุกข์ ไม่รู้สึกเป็นทุกข์

เราจะต้องรู้ว่าตัวกู-ของกูนี้ เป็นมูลเหตุของความทุกข์ทั้งปวง เมื่อมีความรู้สึกที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็มีลักษณะไปในทางมืด เป็นอวิชชา ไม่ใช่เป็นแสงสว่างเพราะมันไม่ว่าง มันกลัดกลุ้มเดือดพล่านอยู่ด้วยความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู ทีนี้ สิ่ง ตรงกันข้ามก็คือ จิตใจที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู คือเป็นจิตว่างไม่เดือดพล่านอยู่ด้วยความรู้สึกว่าตัวกู- ของกูอย่างที่ว่านั้น จิตอย่างนี้มันเต็มอยู่ด้วยสติปัญญา

ฉะนั้นเราจะต้องจับข้อเท็จจริงข้อนี้ให้ได้ว่า มันมีของอยู่ ๒ อย่าง คือความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกูนั้นอย่างหนึ่งและสติปัญญาอีกอย่างหนึ่ง ของสองอย่างนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างตรงกันข้าม ถ้าสิ่งหนึ่งเข้ามา อีกสิ่งหนึ่งต้องกระเด็นออกไป ถ้าสิ่งหนึ่งมีอยู่แล้ว อีสิ่งหนึ่งมีอยู่ไม่ได้ ถ้าความรู้สึกที่ว่าตัวกู-ของกูเต็มปรี่อยู่แล้วละก็ สิ่งที่เรียกว่าสติปัญญานี้เข้ามาไม่ได้ ถ้าสติปัญญามีอยู่แล้ว ตัวกู-ของกู ก็หายไปว่างจากตัวกู-ของกู หรือว่างจากตัวกู-ของกูนั่นแหละ คือสติปัญญา

เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวอย่างฉลาด ๆ คือกล่าวอย่างรวบรัดแต่ค่อนข้างจะน่ากลัวนี้ ก็กล่าวอย่างพวกนิกายเซ็นหรืออย่างฮวงโปกล่าวว่า ความว่างนั้นคือ ธรรมะ ความว่างนั้นคือพุทธะ ความว่างนั้นคือจิตเดิมแท้หรือจิตตัวแท้ นี้สายหนึ่ง; ส่วนฝ่ายไม่ว่าง ความไม่ว่างหรือความวุ่นนั้นคือไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่จิตเดิมแท้ แต่เป็นความคิดปรุงแต่งใหม่; เกิดเป็น ๒ อย่างตรงกันข้ามขึ้นมาอย่างนี้เมื่อเรารู้จักของ ๒ อย่างนี้แล้ว จะเข้าใจธรรมะทั้งหมดได้ง่ายที่สุด

อย่างท่านที่นั่งฟังอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้กำลังว่างอยู่กำลังไม่มีความคิดปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู กำลังฟังอยู่ และกำลังมีสติปัญญาอยู่ ความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าว่าบางคนหรือโอกาสอื่นมันมีอะไรมากระทบเกิดความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูขึ้นมาแล้ว ความว่างในใจอย่างที่ท่านมีอยู่ที่นี่จะหายไปทันที เพราะฉะนั้นย่อมหมายความว่าสติปัญญาได้หายไปทันที

ตรงนี้ขอแทรกนิดหน่อยว่า สิ่งที่เรียกว่าสติปัญญานี้เราหมายถึงสติปัญญาที่แท้จริง เพราะยังมีสติปัญญาไม่ใช่ที่แท้จริง คือสติปัญญาที่ไม่เกี่ยวกันกับความว่างจากตัวกูนั่นเอง, สติปัญญาเฉลียวฉลาดในทำนองนั้น ภาษาบาลีเขาไม่เรียกว่าสติปัญญา มีคำอีกคำหนึ่งในภาษาบาลี สาหรับเรียกสติปัญญาชนิดนั้นว่า "เฉโก" เฉโกก็แปลว่าปัญญาเหมือนกัน ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็แปลว่าปัญญา แต่มันไม่ใช่สติปัญญาอย่างที่ว่างจากตัวกู มันกลับเป็นสติปัญญาที่เต็มอัดอยู่ด้วยตัวกู-ของกู คือสติปัญญาโง่ที่จะไปเอาไปเป็น ไปยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง สติปัญญาอย่างนี้ต้องได้รับการยกเว้น ไม่รวมอยู่ในคำว่า "สติปัญญา" ที่มันเป็นปฏิปักษ์ต่อความยึดถือว่าตัวตน (Egoism) เพราะว่าเฉโกอย่างนั้นมันเป็นตัวตน (Egoism) เสียเอง อย่าเอามาปนกันถ้าเอามา ปนกันแล้วจะยุ่ง

ถ้าเรามีความว่างจากความยึดถือว่าตัวตน (Egoism) ไม่มีความรู้สึกว่า ตัวกู-ของกู แล้ว สติปัญญา ที่แท้จะดับทุกข์ที่เป็นยาแก้โรคทางวิญญาณอยู่ในตัวนั้นมันมีอยู่ เพราะฉะนั้นในขณะนั้นโรคเกิดไม่ได้ หรือโรคที่เกิดอยู่ก่อนก็หายไปทันทีเหมือนปลิดทิ้ง เพราะฉะนั้นในขณะนั้นจึงมีธรรมะเต็มไปหมดสมกับที่กล่าวว่า ความว่างนั้นคือสติปัญญา ความว่างคือธรรมะ ความว่างคือ พุทธะ เพราะว่าในขณะที่จิตว่างจากตัวกู-ของกู ในขณะนั้นจะมีธรรมะทุกอย่างทุกประการหมดทั้งพระไตรปิฎก ที่เราควรปรารถนา

เอากันอย่างง่าย ๆ ว่า ในขณะนั้นจะมีสติสัมปชัญญะ ที่สุด มีหิริโอตตัปปะ คือความละอายบาปกลัวบาปที่สุด มีขันติ โสรัจจะ ความอดกลั้นอดทนที่สุดมีความกตัญญูกตเวทีที่สุด มีความสัตย์ซื่อที่สุด เรื่อยไปจนกระทั่งมียถาภูตญาณทัสนะที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้

อาตมาแจกลูกไปแต่ต้นว่าจะต้องมีสติสัมปชัญญะ หิริ โอตตัปปะ ชันติ โสรัจจะ กตัญญูกตเวที นี้ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมะเหมือนกัน ธรรมะที่เป็นที่พึ่งแก่โลกได้เหมือนกันแม้แต่ หิริ โอตตัปปะ เกลียดบาป ละอายบาป กลัวบาปนี้ ลองมีซิโลกนี้ก็สงบเป็นสันติภาพถาวร เดี๋ยวนี้มีแต่คนหน้าด้าน ไม่รู้จักกลัวบาป ละอายบาปแก่ตัวเอง จึงทำสิ่งที่ไม่ควรทำอยู่ได้แล้วยืนยันเละยืน กรานที่จะทำอยู่เรื่อยทั้ง ๆ ที่เห็นว่านี้มันจะทำความพินาศให้ทั้งโลก ก็ยังยืนกรานที่จะทำอยู่เรื่อย เพราะไม่มีหิริโอตตัปปะโลกนี้ก็จะต้องวินาศลงเพราะไม่มีธรรมะแม้เพียงข้อนี้

หรือธรรมะที่ต่ำแคบกว่านั้นอีก คือธรรมที่ชื่อว่ากตัญญูกตเวทีอย่างนี้ ลองมีธรรมะข้อเดียวนี้ โลกนี้ก็สงบได้ เพราะเราต้องยอมรับว่าทุกคนในโลกมีบุญคุณแก่กันและกัน ในฐานะที่ช่วยกันสร้างโลกให้น่าดูให้งดงามอย่างนี้ เช่น คิดค้นวิชาขึ้นมาใส่โลกอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะคนทุกคนในโลกมีบุญคุณต่อกัน ไม่ต้องพูดถึงคนหรอกแม้แต่สุนัขและแมวยังมีบุญคุณแก่มนุษย์ แม้แต่นกกระจอกก็ยังมีบุญคุณแก่มนุษย์ ถ้าเรารู้จักบุญคุณของสิ่งเหล่านี้แล้วก็ทำอะไรชนิดที่เป็นการเบียดเบียนกันไม่ได้ ด้วยอำนาจของธรรมะ คือ ความกตัญญูกตเวทีเท่านั้น มันก็ช่วยโลกได้

เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าขึ้นชื่อว่าธรรมะนั้น ถ้าเป็นธรรมะจริงแล้ว มันเหมือนกันหมด เป็นอันเดียวกันหมด คือมันช่วยโลกได้ทั้งนั้น ถ้าธรรมะไม่จริงแล้วมันขัดขวางกันไปหมด มันจะ ดูมากมายรกรุงรังไปหมด ฉะนั้นเมื่อมีธรรมะจริง คือว่างจากตัวกู-ของกู แล้ว ก็มีธรรมะหมด มีพุทธะหมด มีอะไรหมดอยู่ในตัวมัน เอง ในจิตใจดวงเดียวกันเอง ซึ่งเป็นจิตแท้ หรือจิตที่เป็นสภาพ เดิมแท้ ถ้าตรงกันข้ามคือว่า จิตกำลังปรุงอยู่ด้วยตัวกู-ของกู เดือดพล่านอยู่ในใจแล้ว ธรรมะก็ไม่มี ขณะนั้นมันไม่มีสติสัมปชัญญะ มีสภาพผลุนผลัน ไม่คิดไม่นึกไม่ยับยั้งชั่งใจ มีอหิริ มีอโนตตัปปะ ไม่ละอายบาป ไม่กลัวบาป เป็นคนด้านต่อความชั่วที่สุด และเป็นคนอกตัญญูที่สุด ตลอดถึงเป็นคนที่ทำทุกสิ่งที่เป็นการทำลายโลกก็ได้ มันมืดมัวถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องญาณทัศนะเห็นแจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นไปไม่ได้

นี่แหละเราต้องรู้จักของ ๒ อย่างนี้เสียก่อน คือว่า ว่างจากตัวกู กับ ไม่ว่างจากตัวกู ว่างจากตัวกูนี้ก็เรียกว่า ว่าง แล้วไม่ว่างจากตัวกู เราเรียกว่า วุ่น เพื่อประหยัดเวลาในการออกเสียง ก็มี ว่าง กับ วุ่น

ทีนี้อาจรู้สึกด้วยสามัญสานึกทันทีขึ้นมาเดี๋ยวนี้แล้วว่าทุกคนไม่มีใครชอบวุ่น ถ้าถามว่าใครชอบวุ่นลองยกมือขึ้น ถ้าใครยกมือขึ้นมาคงจะขำพิลึก เพราะว่าทุกคนนี้ก็ชอบว่างจะว่าง ชนิดไหนก็ล้วนแต่ชอบทั้งนั้น ว่างขี้เกียจไม่ต้องทำงานนี้ก็ยังมีคนชอบ ว่างจากไม่มีอะไรมากวนไม่มีลูกมีหลานมีเหลนมากวนอย่างนี้ใคร ๆ ก็ชอบ แต่ว่าว่างอย่างนั้นเป็นเรื่องข้างนอก ยังไม่ใช่ว่างจริง

ว่างข้างในนั้นคือการที่มีใจคอปกติ ใจคอไม่ระส่ำระสายวุ่นวาย อย่างนี้เรียกว่าว่าง ถ้าใครรู้จักก็จะยิ่งชอบ ถ้าว่างยิ่งขึ้นไปอีกก็ถึงที่สุด คือว่างจากความรู้สึกที่เป็นตัวตน (Egoism) ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเราเป็นของเราอย่างนี้เป็นนิพพาน ว่างอย่างนี้เขาเรียกว่านิพพาน

ที่วุ่นนั้นตรงกันข้าม วุ่นได้ทุกอย่าง ทุกทาง ทั้งทางกาย ทางใจ และทางวิญญาณ มันวุ่น คือว่าถูกรบกวนไปหมดไม่มีความสงบสุขเลย

ในตัวความว่างนั้น คือ ธรรมะ คือ พุทธะ คือ สภาพเดิมแท้ของจิต หรืออะไรแล้วแต่จะเรียก ในตัวความวุ่นนั้นคือไม่มี ธรรมะ ไม่มีพุทธะ แม้แต่จะร้องตะโกนอยู่ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ หรืออะไร มันก็ไม่มีธรรมะไปได้ นี่แหละคนที่มีจิตใจวุ่นอยู่ด้วยตัวกู-ของกู ถึงจะ ไปรับไตรสรณคมน์ รับศีล ทำบุญให้ทานอะไรมันก็ไม่มีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่แท้จริงขึ้นมาได้ มันเป็นเพียงพิธีไปหมด ถ้าเป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่แท้จริงแล้ว มันอยู่ด้วยจิตว่าง เมื่อใดจิตว่างจากตัวกู- ของกูแล้ว เมื่อนั้นมันมีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่แท้จริงอยู่ในจิตใจนั้น ถ้ามีอย่างชั่วคราว เป็น พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ชั่วคราว ถ้ามีเด็ดขาดไป ก็มี พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ที่แท้จริงและถาวร

ฉะนั้นขอให้อุตส่าห์ปรับให้จิตใจว่าง จากตัวกู-ของกูอยู่ เรื่อยไปก็แล้วกัน มันจะมีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ในระดับหนึ่งประจำอยู่ในจิตใจ ทำเรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะเต็มที่สมบูรณ์หรือเด็ดขาด

นี่เรียกว่าเราได้รับเอาธรรมะที่เป็นยาแก้โรคด้วย เป็นเชื้อต้านทานโรคด้วย พร้อมกันไปในตัว เข้าไปใส่ไว้ในจิตใจในวิญญาณก็ได้ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดโรคทางวิญญาณ

ทีนี้เราควรจะได้พูดถึงส่วนที่เป็นการรักษาเยียวยานั้นให้ชัดเจนลงไปอีกสักเล็กน้อย ในการที่จะป้องกัน หรือรักษาเยียวยาโรคนี้มันก็ต้องมีหลักอย่างที่กล่าวมาแล้ว คือว่าต้องไม่ใหัตัวกู-ของกูเข้ามาเกี่ยวข้อง

ทีนี้มันจะโดยวิธีใดบ้าง ? มันก็มีอยู่หลายวิธีเหมือนกัน เพราะแม้แต่รักษาโรคทางกายหรือทางจิต (Mental) ก็ตาม ซึ่งในโรคเดียวกันนั้นก็ยังมีวิธีรักษาได้หลายแบบไม่ใช่มันจะแบบเดียว ตายตัว แต่ความมุ่งหมาย หรือผลของมันนั้นก็มีเป็นอย่างเดียว ถ้าว่าเราจะรักษาโรคทางวิญญาณละก็ พระพุทธเจ้าท่านก็ได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัตินี้ไว้มากมายหลายอย่างเหมือนกัน เพื่อให้เหมาะสมแก่บุคคล แก่เวลา แก่สถานที่ ตามโอกาสเราจึงได้ยินได้ฟังธรรมะมากมายหลายชื่อ บางทีฟังแล้วน่าตกใจว่า ตั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ถ้า ๘๔,๐๐๐ เรื่อง แล้วท่านทั้งหลายจะรู้สึกท้อถอย ถ้าขืนเอาให้ได้ก็ตายเปล่า คือมันไม่อาจจะได้ มันก็เรียนแล้วลืม ลืมแล้วเรียน เรียนแล้วลืมอยู่นั่น หรือว่าสับสนกันไปหมด เพราะว่าที่แท้จริงแล้วมันมีเพียงกำมือเดียว เรื่องเดียวอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วท่านสรุปลงในคำ ๆ เดียวว่า "สิ่งทั้งปวงไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น" ได้ยินข้อนี้ก็คือได้ยินทั้งหมด ปฏิบัติข้อนี้ก็คือปฏิบัติทั้งหมด ได้ผลข้อนี้ก็คือหายจากโรคทั้งหมด

ที่ว่ามีวิธีหลายแบบในการขจัดโรคตัวกู-ของกูนี้ ความจริงแล้วมันสามารถขจัดตัวกู-ของกูนี้ออกไปได้ทั้งนั้นเหมือนกันทุกแบบ แล้วแต่ว่าจะปฏิบัติโดยวิธีใดบ้าง คือมีหลายอย่างเช่นวิธีทำการพิจารณาอยู่เสมอ ให้เห็นว่า ตัวกู-ของกูนี้เป็นเพียงมายา ตัวมายาคือสิ่งที่ไม่มีตัวจริงเป็นภาพลวงตา (illusion, Hallucination) หรืออะไรทำนองนี้เรียกว่ามายา; จะทำให้เห็นว่าที่เรารู้สึกว่ามีตัวตน มีก้อน มีชิ้น มีดุ้นว่าตัวกู-ของกูนั้น ที่มันเป็นเพียงมายา ตามวิถีทางของอาการที่เรียกกั้นว่า ปฏิจจสมุปบาท

ฉะนั้น ถ้าเรื่องปฏิจจสมุปบาท นี้ถ้าจะกล่าวทางทฤษฎี หรือทางหลักวิชาการมันยืดยาว ใช้เวลาเรียนถึงเดือนหนึ่ง หรือสองเดือนก็ได้ สำหรับเรื่องปฏิจจสมุปบาทเพียงเรื่องเดียว เพราะในทางทฤษฎีหรือหลักวิชานั้นมันขยายไปในรูปของจิตวิทยาหรือปรัชญาเรื่อยไป จนกระทั่งเป็นน้ำท่วมทุ่งเพ้อเจ้อไปเลย

ขอให้ดูที่ว่า พอกระทบอารมณ์ก็เป็นผัสสะแล้วมันปรุงเป็นเวทนา หรือที่ปรุงต่อๆ กันไปนั้น ก็เรียกว่า “อาการของปฏิจจสมุปบาท” คืออาการของการที่มีสิ่งต่างๆ มันอาศัยสิ่งหนึ่งแล้วปรุงสิ่งหนึ่งขึ้น แล้วอาศัยสิ่งนั้นปรุงอีกสิ่งหนึ่งขึ้น อาศัยสิ่งนั้นแล้วปรุงอีกสิ่งหนึ่งขึ้น อาการอย่างนี้ หรือภาวะอย่างนี้ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท คืออาศัยกันเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีตัวตนแท้จริงที่ไหน เพียงแต่อาศัยกัน แล้วเกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้น อาการที่อาศัยกันเกิดขึ้นนี้เป็นตัวปฏิจจสมุปบาท

วิธีที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็คือว่า อย่าให้มันอาศัยกันเกิดขึ้นได้ ให้ตัดตอนมันเสีย คือว่าเมื่อผัสสะกระทบทางตาเป็นต้น แล้วให้มันขาดตอนลงไป อย่าให้มันปรุงเป็นเวทนา อย่าให้รู้สึกเป็นพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา นี้เรียกว่าไม่ปรุงเวทนา เมื่อไม่ปรุงเวทนาแล้ว ก็ไม่เกิดปัญหาอุปาทาน ซึ่งเป็นตัวกูหรือของกู มันเป็นตัวกู-ของกู อยู่ตรงที่เกิดตัณหาอุปาทานนั้นแหละ มายาอยู่ที่ตรงนั้น ถ้าพอว่ากระทบอารมณ์เป็นผัสสะล้วนๆ แล้วหยุดเสียแค่นั้น มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดตัวกู-ของกู ก็ไม่เป็นโรคทางวิญญาณและไม่เป็นทุกข์

ที่นี้อีกทางหนึ่งก็คือว่า คนธรรมดาสามัญนี้ ที่จะไม่ให้ผัสสะปรุงเป็นเวทนานั้นยากนัก เพราะพอกระทบเข้าแล้ว ก็ต้องเลยไปรู้สึกเป็นพอใจหรือไม่พอใจเสมอไป ไม่หยุดอยู่เพียงแค่ผัสสะ เพราะว่าไม่เคยได้ศึกษาอบรมในทางธรรม แต่ยังมีทางเอาตัวรอดอีกตอนหนึ่ง คือตอนที่ว่า ปรุงเป็นเวทนาแล้วนี้ พอใจหรือไม่พอใจแล้วนี้ ก็ให้หยุดอยู่เพียงนั้นอีก ให้เวทนาสักแต่ว่าเวทนา แล้วดับไป อย่าให้เลยไปเป็นตัณหาความอยากอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น ตามความพอใจหรือความไม่พอใจ เพราะถ้าพอใจก็อยากได้ รักใคร่ หลงใหล หึงหวง ริษยา อะไรกันเป็นแถวเลย ถ้าไม่พอใจแล้วอยากตีให้ตาย อยากทำลาย อยากล้างผลาญมันเสียเลย อยากจะฆ่ามันเสียเลย ถ้าอย่างนี้แล้วได้ชื่อว่า มันปรุงเป็นตัณหาเสียแล้ว ถ้าอย่างนี้แล้วได้ชื่อว่า มันปรุงเป็นตัณหาแล้ว เวทนานั้นได้ปรุงเป็นตัณหาเสียแล้ว ถ้าอย่างนี้แล้วต้องเป็นโรคทางวิญญาณที่เป็นทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ ต่อให้พระเจ้าทั้งหมดรุมกันช่วยก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ว่า ท่านช่วยไม่ได้ ท่านไม่ใช่ผู้ที่บังคับกฎธรรมชาติได้ ท่านเป็นเพียงผู้เปิดเผยกฎธรรมชาติให้ไปปฏิบัติกันเอาเอง ถ้าปฏิบัติผิดมันก็ต้องเป็นทุกข์ ถ้าปฏิบัติถูกมันก็ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงว่าถ้าเวทนาปรุงเป็นตัณหาแล้วไม่มีใครช่วยได้ จะต้องเป็นทุกข์โดยแน่นอน เพราะมันทำให้เกิดความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาแล้ว เป็นตัณหาแล้ว

ทีนี้ในตัวความอยากนั้น ในตัวที่เกิดขึ้นเป็นความอยากพล่านอยู่ในใจนั้น ขอให้มองดูให้ดีๆ มองดูแยกส่วนออกไปให้ได้ว่า ในนั้นมันมีความรู้สึกที่เป็นตัวผู้อยาก คือตัวกูหรือตัวเราที่รู้สึกอยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ อยากจะทำอย่างนั้น อยากจะทำอย่างนี้ หรือว่ากระทำลงไปแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ หรือว่าได้รับผลของการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีตัวผู้อยากอยู่ นั่นแหละคือตัวกูมันอยาก มันก็จะได้เอามาเป็นของกู หรือว่าเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นทรัพย์สมบัติของกู ในนั้นมันมีความรู้สึกว่าของกูอยู่ด้วย

ความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูนี้ เรียกว่าอุปาทาน เกิดมาจากตัณหา ตัณหาปรุงเป็นอุปาทาน ถ้าปฏิจจสมุปบาทได้ส่งทยอยกันมาจนถึงตัณหาอุปาทานแล้ว มันก็เป็นมูลเหตุของความทุกข์ได้โดยสมบูรณ์แล้ว นี้แปลว่า เดี๋ยวนี้เชื้อโรคฟักตัวเต็มที่แล้ว เชื้อโรคที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะของผัสสะหรือเวทนานั้น เมื่อมาถึงขั้นของตัณหาอุปาทานนี้ มันฟักตัวเต็มที่ถึงขนาดจะเป็นอาการของโรคโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะว่าหลังจากอุปาทานก็มีภพ อุปาทานทำให้เกิดภพ

ภพ แปลว่า ความมี-ความเป็น ความมี-ความเป็นของอะไร? ก็ของตัวกู และของกูนั่นเอง กรรมภพ ก็คือ การกระทำที่ทำให้เกิดตัวกูและของกู ถ้าเรียกว่า “ภพ” เฉยๆ ก็คือ ภาวะแห่งตัวกูเต็มที่ เป็นโรคเต็มที่

ภพให้เกิดชาติ ก็หมายความว่า ความเต็มที่นั้นมันแสดงออกมาเป็นชาติ คือ ความเกิด นี้ตัวกูได้เกิดออกมาแล้ว เป็นความทุกข์ เป็นความแก่ความตาย โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส มากมายเหลือที่จะจาระไนอาการ แต่รวมเรียกว่าเป็นทุกข์

ขณะนี้ก็คืออาการที่เรากำลังเจ็บปวดทุรนทุรายอยู่ด้วยผลของโรค นี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทได้เป็นมา ได้ทยอยกันมาจนถึงกับเกิดโรค หรือเกิดทุกข์

ในทางปฏิบัติ เราหยุดมันเสียให้ได้ ตรงที่ไม่ให้ผัสสะปรุงเวทนา หรือถ้าพลาดตรงนั้นก็ให้มาทำตรงที่ไม่ให้เวทนาปรุงเป็นตัณหา หลังจากนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราพยายามมีธรรมะกันให้ได้ตรงที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นนี้ โดยที่เราศึกษาอบรมกันอยู่เป็นประจำในข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แปลว่าคนธรรมดาเขามีแนวว่า ถ้าเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา แล้วเกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ นี้ เป็นทางที่เดินกันจนเตียนโล่งไปหมด เดินง่ายที่สุด แต่เราไม่เอาอย่างนั้น พอมีผัสสะกระทบแล้วเราก็วกกลับเดินไปในทางของสติปัญญา ไม่เดินไปทางตัวกู-ของกู อย่างนี้ไม่มีทุกข์เลยทุกวันทุกคืนจะไม่มีทุกข์เลย แล้วถ้าทำได้เก่ง คือทำไปตามวิธีที่ถูกต้องถึงที่สุดแล้ว เป็นพระอรหันต์ได้ในตัวเอง

ถ้าเอาตามหลักที่พระพุทธเจ้ากล่าว มันก็มีหลักง่ายๆ คือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสาวก ชื่อพาหิยะ ว่า “ดูกร พาหิยะ เมื่อใดเธอได้เห็นรูป สักว่าตาเห็น ได้ฟังเสียง สักว่าหูได้ยิน ได้ดมกลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ชิม ได้สัมผัสผิวหนัง ก็สักแต่ว่า เป็นการกระทบทางผิวหนัง จะคิดนึกขึ้นมาในใจ ก็สักแต่ว่ารู้สึกตามธรรมชาติขึ้นมาในใจ เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เมื่อนั้นตัวเธอจักไม่มี (คือตัวกูไม่มี) เมื่อตัวเธอไม่มี การวิ่งไปทางโน้น หรือวิ่งมาทางนี้ หรือหยุดอยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็ไม่มี นั่นแหละคือที่สิ้นสุดของความทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน” เมื่อใดเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อนั้นเป็นนิพพาน ถ้าเป็นการถาวร ก็เป็นนิพพานถาวร ถ้าเป็นชั่วคราว ก็เป็นนิพพานชั่วคราว นี่แปลว่า เป็นหลักเพียงอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น

จะปฏิบัติวิธีไหนก็ให้เป็นไปเพื่อเฉยได้ หรือหยุดได้ต่ออารมณ์ที่มากระทบทั้งนั้น จะทำวิปัสสนาแบบไหนก็ตามเถอะ ถ้าถูกต้องหรือไม่หลอกลวงกันแล้ว ก็จะต้องมาในรูปนี้รูปเดียวกัน คือในรูปที่อารมณ์ไม่ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูขึ้นมาได้ แล้วอันนี้มันไม่ยากที่จะทำลายกิเลสเพราะเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ มันทำลายกิเลสของมันเอง มันฆ่ากิเลสอยู่ในตัวมันเอง

เปรียบง่ายๆ เหมือนว่าถ้าเราอยากจะไม่ให้มีหนูมารบกวน เราเอาแมวมาเลี้ยง เรื่องของเราก็เพียงแต่เอาแมวมาเลี้ยง หนูมันก็หมดไปได้ โดยที่เราไม่ต้องจับหนู แมวมันทำหน้าที่ของมันเอง หนูก็ไม่มีได้ สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ก็ไม่มีเพราะเหตุนี้

นี่เราทำแค่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ถูกวิธีเท่านั้น ตอนที่จะฆ่ากิเลสนั้นมันเป็นการฆ่าของมันเอง พูดอย่างนี้สมมติเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าพวกเธออยู่กันให้ถูกต้องแล้ว โลกนี้ก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์” ฟังดูให้ดีๆ ว่าอยู่กันให้ถูกต้องเท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเป็นอยู่ให้ถูกต้อง แล้วโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์

คำนี้ไม่ใช่คำเล็กน้อย ใจความมันก็บอกอยู่แล้ว มันไม่ใช่เล็กน้อยก็ตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสั่งเมื่อใกล้ๆ จะปรินิพพานว่า “อิเม เจ ภิกขเว ภิกขู สมมา วิหเรยยํ อสุญโญ โลโก อรหนเตหิ อสส” ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านี้จักพึงเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ สมมา วิหเรยยํ แปลว่า พึงเป็นอยู่ หรือพึงอยู่โดยชอบ

อยู่โดยชอบนี้อยู่อย่างไร โลกจึงจะไม่ว่างจากพระอรหันต์? อยู่โดยชอบก็คือ อยู่ในลักษณะที่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส นี้เข้ามาแตะต้องไม่ได้ คือมากระทบนั้นได้ แต่ว่าจะมาปรุงแต่งให้เกิดเวทนา เกิดตัณหา อุปาทานนั้นไม่ได้ เราอยู่ในลักษณะที่ฉลาด อยู่ด้วยสติปัญญา หรือความว่างจากตัวกูอย่างที่กล่าวมาแล้ว เพราะเราศึกษาเพียงพอ ปฏิบัติมาจนเคยชินเพียงพอ เพราะฉะนั้นมันก็มากระทบแล้วตายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง เหมือนกับบ้านเรามีแมว หนูมาจากบ้านอื่น หรือมาจากป่าขึ้นมาบนเรือนนี้มันก็ตายหมด เพราะแมวมันคอยฆ่าอยู่เรื่อย

ถ้าเรามีการเป็นอยู่ที่ถูกต้องตามหลักของความไม่ยึดมั่นนี้แล้ว รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ก็ไม่มาทำอันตรายเราได้ มากระทบได้ มาเกี่ยวข้องได้ แต่เราใช้มันด้วยสติปัญญา เราจัดการกับมันด้วยสติปัญญา กินมันก็ได้ บริโภคมันก็ได้ มีมันก็ได้ เก็บมันไว้ก็ได้ แต่ไม่มีผลเป็นทุกข์ เพราะมันทีค่าเท่ากับไม่มี ไม่เป็น ไม่ใช้ ไม่กิน ไม่เก็บ เพราะไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา

ในทางที่ตรงกันข้ามนั้น มันไปมีตัวเราของเราหมด เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นทุกข์ตลอดเวลา ไม่ทันกิน ไม่ทันเก็บ มันก็ทุกข์แล้ว กินอยู่ เก็บอยู่มันก็ทุกข์อีก มันเป็นทุกข์ไปหมดเพราะเหตุนี้ นั่นเรียกว่าไม่อยู่โดยชอบ ถ้าเป็นอยู่โดยชอบ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดโรค หรือเกิดความทุกข์ได้เลย

คำๆ นี้ อธิบายได้ต่อไป ถึงกับว่าเป็นอยู่อย่างนั้น กิเลสไม่ได้อาหารหล่อเลี้ยง กิเลสผอมตายเอง เปรียบเหมือนว่าเสือดุร้ายนี้ เราล้อมคอกมันไว้ได้แล้ว เราก็ล้อมมัน มันก็ไม่ได้กินอาหาร เพราะในคอกนั้นมันไม่มีอาหาร เราไม่ต้องฆ่ามัน มันก็ตายเอง เพราะฉะนั้นเราล้อมมันไว้ให้ถูกวิธี ตรงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ที่มากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รอบตัวเรา ล้อมตรงนี้ คือปฏิบัติให้ถูกต่อสิ่งเหล่านี้ ที่ตรงนี้ กิเลสไม่มีทางได้กินอาหาร ก็ไม่อาจเกิด ไม่อาจเจริญงอกงาม เชื้อของกิเลสจึงหมดไป มันก็เลยไม่มีเชื้อที่จะให้เกิดกิเลสหรือทำให้เกิดทุกข์

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อยู่ให้ชอบ อยู่ให้ถูกวิธีเท่านั้น โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ นี้เรียกว่าปฏิบัติตามหลักของปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าเป็นอยู่ถูกต้องชนิดที่กิเลสเกิดไม่ได้ โดยที่เห็นว่าตัวกู-ของกูนี้เป็นเพียงมายา เพราะมันเพิ่งเกิดต่อเมื่อรูปมากระทบตา เสียงมากระทบหูเป็นต้น เกิดเวทนาแล้วปรุงเป็นความอยาก ถ้าอย่าให้มีอะไรมาปรุงเป็นความอยาก มันก็ไม่เกิดอุปาทานว่าตัวกูว่าของกู

เพราะฉะนั้น พึงเข้าใจให้ถูกต้องว่ามันเพิ่งเกิดหยกๆ เพราะการปรุงขึ้นมา ไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นมายาเหมือนกับหน่วยคลื่นที่เกิดขึ้นเพราะลมพัดนี้ น้ำก็มีอยู่จริง ลมก็มีอยู่จริง แต่ตัวคลื่นนั้นเป็นมายา นี่เปรียบเทียบโดยวัตถุ แต่จะเอาเป็นเรื่องเดียวกันแท้ไม่ได้ มุ่งแต่จะชี้ตรงความเป็นมายาของคลื่นที่เกิดขึ้นมาเพราะการปรุงแต่ง คือลมพัดน้ำให้กระฉอกเป็นคลื่น ยกเป็นสันลูกคลื่นขึ้นมาแล้วก็หายไป เพราะฉะนั้นความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูคราวหนึ่งๆ ในวันหนึ่งๆ ซึ่งเกิดอยู่หลายๆ คราวนั้นก็เป็นเหมือนคลื่นที่มีมาจากน้ำ คืออารมณ์รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วก็กระทบด้วยลม คือความโง่ ความหลง อวิชชา แล้วเกิดคลื่น คือตัวกู-ของกูโผล่ขึ้นมาเป็นคราวๆ วันหนึ่งหลายคราว

ความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูหรือ Egoism โผล่ขึ้นมาคราวหนึ่งนี้ ท่านเรียกว่าชาติหนึ่ง ชาติคือความเกิดทีหนึ่ง

นี่แหละ ความเกิดที่แท้จริง หมายถึงความเกิดของสิ่งนี้ อย่าได้ไปหมายถึงความเกิดจากท้องแม่ คนหนึ่งเกิดจากท้องแม่ทีหนึ่งแล้วก็เข้าโลงไปทีหนึ่ง นั้นไม่ใช่ความเกิดที่พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมาย มันเป็นการเกิดทาง Physical มากเกินไป

ความเกิดที่พระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมายนั้น เป็นฝ่าย Spiritual หมายถึงความเกิดที่เป็นอุปาทานว่าตัวกู-ของกู วันหนึ่งเกิดได้หลายชาติ หลายสิบชาติ หรือหลายร้อยชาติก็ตาม แล้วแต่ว่าใครจะเกิดเก่งสักกี่มากน้อย แต่ทุกคราวต้องเป็นชาติ เป็นตัวกู-ของกู ขึ้นมาที่หนึ่งเสมอไป แล้วมันก็ค่อยจางไป เดี๋ยวมันก็ค่อยดับไป แล้วก็ตายไป เดี๋ยวก็เกิดโผล่มาใหม่อีก เมื่อไปกระทบรูป เสียง หรือกลิ่นอย่างอื่นขึ้นอีก แต่ละชาติก็มีปฏิกิริยา (Reaction) ส่งต่อถึงกัน อย่างที่เรียกว่ากรรมเก่าของชาติก่อน ส่งผลให้เกิดในชาตินี้ เป็นผลขึ้นมาแล้วส่งต่อกันไปอย่างนี้ทุกๆ ชาติ

คำว่าผลกรรม หรือการรับผลกรรม ก็มุ่งหมายอย่างนี้ และถูกตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ถ้าไม่อย่างนั้น จะออกนอกเรื่องนอกราวไป เราต้องเข้าใจ เรื่องเกิด เรื่องกรรม และการรับผลกรรมอย่างนี้

อย่างว่าเกิดเป็นผู้อยากได้ของรักอย่างใดขึ้นมาแล้วตายไป แล้วเกิดเป็นผู้ขโมยไปขโมย หรือว่าไปทำโจรกรรมเข้าจริงๆ แล้วก็ตายไป แล้วไปเกิดเป็นผู้บริโภคสิ่งนั้นเข้าไป หรือว่าไม่ได้บริโภคสิ่งนั้นเข้าไป เดี๋ยวไปเกิดเป็นจำเลย ถูกกล่าวหาแล้วเดี๋ยวไปเกิดเป็นนักโทษอยู่ในตะรางแล้ว ความเกิดอย่างนี้มีได้มาก และสับสนอย่างยิ่ง หลายสายหลายแนวคลุกเคล้ากันไป ดูมันให้ดีๆ จะเข้าใจ ถ้าหยุดความคิดได้เสียเมื่อไร เมื่อนั้นก็เป็นนิพพาน ซึ่งไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ถ้ามีการเกิด เป็นต้องรู้สึกว่าตัวกู-ของกูเรื่อย ก็เป็นวัฏสงสารไปเรื่อย คือทุกข์เรื่อยเป็นลูกโซ่ไปเลย

แต่เราอย่าไปเข้าใจผิดตรงที่ว่า ไม่เกิด ไม่เกิดนี้มันหมายถึงว่า จนขนาดไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ไปนั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้นี้ไม่ใช่ มันกลับว่องไว (Active) มากที่สุด ที่ว่างจากตัวกูหรือว่างจากความเกิดมากที่สุดนั้น กลับเป็นสติปัญญามากที่สุด ทำอะไรได้คล่องแคล่วที่สุด เพราะมันไม่อาจ คิดผิด พูดผิด ทำผิด มันจึงทำได้รวดเร็ว

ที่ว่ามันไม่มีทางจะผิดได้ เพราะมันเป็นสติปัญญาอยู่โดยธรรมชาติ ในตัวธรรมชาติโดยอัตโนมัติ สิ่งที่เรียกว่า ความว่างจากตัวกู มันเป็นอย่างนี้เอง “เรา” ที่ว่าว่างจากตัวกูหรือผู้ที่ว่างจากตัวกู หรือผู้ที่เป็นนิพพานอยู่นี้ ทำอะไรได้หมด แต่แล้วไม่ทำอะไรผิดเลย เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง รวดเร็วอย่างยิ่ง มากมายอย่างยิ่ง นี้มันดีอย่างนี้

อย่าได้ไปเข้าใจว่า ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้ว มันทำอะไรไม่ได้ หยุดทำอะไรไปหมด หนืดไปหมด เนือยไปหมด หรือมันเฉยไปเลย อย่างนั้นว่าเอาเอง เพราะความโง่ของตัวเอง ก็เลยทำให้กลัว กลัวความว่าง กลัวนิพพาน หรือกลัวจะหมดกิเลสตัณหา แล้วก็ไม่สนุกอย่างนี้เป็นต้น

ความหมดกิเลสตัณหา ยิ่งสนุกอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นความสุข หรือความสนุกที่แท้จริง คือจะไม่เป็นอันตราย ไม่หลอกลวง ไม่เป็นมายา

ในความสุขสนุกสนานของคนปุถุชนนั้น มันไม่จริง มันหลอกลวง มันเป็นมายา แล้วมันใส่ความทุกข์ให้แก่ผู้นั้นเหมือนกับเหยื่อที่ใครกินเข้าไปแล้วมันติดเบ็ด นี้เรียกว่าตกอยู่ใต้อำนาจพญามาร มันก็วุ่นอยู่ตลอดเวลา มันก็จมอยู่ในวัฏสงสาร คือห่วงโซ่ของความทุกข์ หรือว่าทะเลวนของความทุกข์ พ้นขึ้นมาไม่ได้

นี้เรียกว่าเราอาศัยการดับตัวกูเสียได้ ด้วยมองเห็นตัวกู-ของกูนี้ว่าเป็นมายา โดยอาศัยการปฏิบัติตามหลักของปฏิจจสมุปบาท นับว่าเป็นสายหนึ่งแนวหนึ่ง หรืออีกวิธีหนึ่ง

อาตมาจะยกตัวอย่างมาหลายๆ แนว เพื่อให้เป็นตัวอย่าง เช่นว่ามองที่อารมณ์ คือมองลงไปที่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ หกประการที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าแม้แต่อารมณ์นี้ มันก็เป็นมายา โดยอาศัยความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เราอย่าทำเล่นกับเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่ใช่เรื่องสำหรับคนแก่ หรือว่าเป็นเรื่องเอาไว้สวดศพคนตายแล้ว ในเป็นเรื่องที่ต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนเป็น ๆ

ถ้าใครสามารถเอาความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้ามากำกับอยู่ในชีวิตประจำวันแล้ว คนนั้นได้ชื่อว่ามีเชื้อต้านทานโรคสูงสุด แล้วอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส นั้นจะไม่เกิดเป็นพิษขึ้นมาได้ เราจะมีอยู่ เป็นอยู่อย่างมีความเกษม

บาลีใช้คำว่า เขมะ เกษมนี้เป็นคำสันสกฤต คือ กษมะ แล้วมาเป็นไทยว่า เกษม เราจะเป็นอยู่อย่างเกษม

ก็น่าแปลกเหมือนกัน ที่ท่านไม่ใช้คำว่าเป็นสุข เพราะคำว่าสุขนี้มันออกจะเป็นมายา หรือหลอกลวงอยู่รูปหนึ่งเหมือนกัน เอาแค่เกษมก็แล้วกัน เกษมหมายความว่าอิสระและสงบเย็น

ถ้าจะพูดให้เห็นชัดหน่อย ไม่ให้เป็นที่ตั้งของความหลงก็เรียกว่า เกษมจากโยคะ โยคะ คือ เครื่องรบกวน เกษมจากเครื่องรบกวนนั้นคือ ว่าง หรือ นิพพาน

หากต้องการจะมีชีวิตอย่างเกษมแล้ว ต้องอาศัยความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้สมบูรณ์ มันจะต่อต้านกันได้กับอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่มากระทบไม่ให้ไปหลงรักหรือหลงเกลียด

เรื่องวุ่นวายมีอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คืออย่าไปหลงรักอย่างหนึ่ง ไปหลงเกลียดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องหัวเราะและร้องไห้ ถ้าใครมองเห็นว่าหัวเราะ มันก็กระหืดกระหอบเหมือนกัน สู้อยู่เฉยๆ ดีกว่า อย่าต้องหัวเราะ อย่าต้องร้องไห้นี่แหละ มันเป็นความเกษม

เพราะฉะนั้น เราอย่าได้ตกเป็นทาสของอารมณ์จนไปหัวเราะ หรือร้องไห้ตามอารมณ์ที่มายั่ว เราเป็นอิสระแก่ตัว หยุดอยู่หรือเกษมอยู่ อย่างนี้ดีกว่า นี่คือ การที่เราใช้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นเครื่องมือกำกับชีวิตเป็นประจำวัน สามารถเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นมายา เป็น Illusion เหมือนอย่างที่ตัวกู-ของกู เป็น Illusion เพราะว่าตัวกู-ของกูมันเกิดจากอารมณ์ ตัวกู-ของกู เป็นมายา อารมณ์ทั้งหลายก็เป็นมายา เห็นได้ด้วยหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โรคไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่เกิด

ทีนี้เราจะตัดลัดมองไปดูสิ่งที่เป็นสุขเวทนา คือความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ที่เป็นสุขนั้น เรียกว่าสุขเวทนา ตัวสุขเวทนานั้นมันเป็นมายา เพราะว่ามันเป็นเหมือนลูกคลื่นที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ ไม่ใช่ตัวจริงอะไร ที่พูดดังนี้ก็เพราะว่าในบรรดาสิ่งทั้งปวงในโลกทั้งหมด ทุกโลกไม่ว่าโลกไหน มันมีค่าอยู่ตรงที่ให้เกิดสุขเวทนา

คิดดูให้ดีว่า ท่านศึกษาเล่าเรียนทำไม ท่านประกอบอาชีพหน้าที่การงานทำไม ท่านสะสมทรัพย์สมบัติ เกียรติชื่อเสียง พวกพ้องบริวารทำไม มันก็เพื่อสุขเวทนาอย่างเดียว เพราะฉะนั้น แปลว่าอะไรๆ มันก็มารวมจุดอยู่ที่สุขเวทนาหมด ฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ในเรื่องนี้ จัดการกับเรื่องนี้ให้ถูกต้องเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ทุกเรื่องมันถูกหมด เพราะฉะนั้นจะต้องดูสุขเวทนาให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงว่ามันก็เป็นมายาชนิดหนึ่ง

เราจะต้องจัดการให้สมกันกับที่มันเป็นมายา ไม่ใช่ว่าจะต้องไปตั้งข้อรังเกียจ เกลียดชังมัน อย่างนั้นมันยิ่งบ้าบอที่สุด ถ้าเข้าไปหลงรักหลงเป็นทาสมัน ก็เป็นเรื่องบ้าบอที่สุด แต่ว่าจะไปจัดการกับมันอย่างไรให้ถูกต้อง นั่นแหละเป็นธรรมะเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ที่จะเอาชนะความทุกข์ได้ และไม่ต้องเป็นโรคทางวิญญาณ

มันก็ต้องทำโดยวิธีพิจารณาให้เห็นว่า สุขเวทนานี้ที่แท้ก็คือมายา เป็นเหมือนลูกคลื่นลูกหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะน้ำถูกลมพัด หมายความว่า เมื่อรูป เสียง กลิ่น รส เข้ามาแล้ว ความโง่ คืออวิชชา โมหะออกรับ กระทบกันแล้วเกิดเป็นคลื่น กล่าวคือ สุขเวทนา ขึ้นมา เดี๋ยวมันก็แตกกระจายไป ถ้ามองเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ตกเป็นทาสของสุขเวทนา เราสามารถจะควบคุม จะจัดจะทำกับมันได้ในวิธีที่ไม่เป็นทุกข์ ครอบครัวก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะมีเราเป็นมูลเหตุ ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ โลกก็มีสันติภาพถาวร คือเป็นความสุขที่แท้จริงและถาวร นี่คืออานิสงส์ของการหายจากโรคโดยวิธีต่างๆ กัน ไม่เป็นโรคตัวกู ไม่เป็นโรคของกู

อาตมายกตัวอย่างมาเพียง ๓ อย่างก็พอแล้ว เพราะเวลาก็จะหมดอยู่แล้ว ว่าเราจะเห็นตัวกู-ของกูนี้เป็นมายาโดยหลักของ ปฏิจจสมุปบาท ก็ได้ หรือว่าอีกวิธีหนึ่ง เราจะเห็นอารมณ์ทั้งหก คือ รูป เสียง กลิ่น รส นี้มันเป็นมายา โดยหลักของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ หรือว่าเราจะเห็นสุขเวทนาว่าเป็นของมายา อย่างนี้ก็ได้

ทั้งหมดจะเป็นได้อย่างนั้น ก็ต้องดูให้ดี หรือระมัดระวังให้ดี มีสติสัมปชัญญะกันให้มาก ตรงขณะที่อารมณ์กระทบทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั่นเอง เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านกำชับพระพาหิยะ ให้เห็นสักว่าเห็น ได้ยิน สักว่าได้ยิน อย่าให้ปรุงเวทนา หรือถ้าปรุงเป็นเวทนาแล้ว ก็อย่าให้ปรุงเป็นตัณหาก็ได้ ยังได้อีกทีหนึ่ง แล้วก็ไปสนใจเรื่องว่างเรื่องวุ่นให้มากที่สุด

พูดเพียงครั้งเดียว หรือฟังเพียงครั้งแรกนี้ พอเข้าใจเลา ๆ ต้องไปสังเกตจนจับให้ได้ว่า เราเองแท้จริงก็มีว่างอยู่มาก เวลาที่เราว่าง ไม่วุ่น หรือมีสติปัญญามีอยู่มาก วุ่น หรือความรู้สึกที่เป็นตัวกู-ของกูนั้น มันมาเป็นพัก ๆ คราว ๆ ที่เรียกว่าความเกิดนั้น มันมาเป็นคราว ๆ เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที แต่ว่าขณะที่ไม่เกิดนั้นไม่เป็นทุกข์เลยและมีอยู่มาก แล้วคนก็โง่เอามองข้ามไปเสียเอง คือมองข้ามนิพพานที่มีอยู่เองไปเสีย มันจึงมองไม่เห็นว่ามีนิพพาน

แม้เป็นนิพพานน้อย ๆ นิพพานชิมลองก็จริง แต่ว่าก็เป็นนิพพานอย่างเดียวกับนิพพานจริง หรือนิพพานถาวร เพียงแต่ว่ามันไม่ถาวร เพราะว่าเราไม่สามารถป้องกันโรค ไม่สามารถทำลายโรค โรคจึงเข้ามาแทรกเป็นพัก ๆ นิพพานก็ขาดเป็นห้วง ๆ

ถ้าใครมีบุญ คือฉลาดถึงกับรู้ว่า โดยที่แท้ จิตโดยพื้นฐานนั้นมันว่าง หรือเป็นนิพพานอยู่เองแล้ว เรื่องมันก็ระวังอยู่แต่เพียงว่า อย่าให้ของใหม่เข้ามาแทรกแซง เจ้าบ้านว่างดีอยู่แล้ว แขกอาคันตุกะนั่นคือวุ่น เพราะฉะนั้นอย่าให้มันเข้ามา ไล่มันออกไป ไม่ให้มันเข้ามาในบ้านในเรือนของเรา มันก็ว่างอยู่ตลอดเวลาได้

วิธีไล่ออกไปก็คือวิธีปฏิบัติธรรมะ ตามหลักของพระพุทธเจ้า นี่เป็นสาเหตุให้เกิดกำลังใจ เกิดฉันทะ ความเชื่อศรัทธาแน่นแฟ้นในธรรมะ เกิดวิริยะ ความพากเพียรเอาจริงในธรรมะ เกิดจิตตะ เอาจิตจดจ่ออยู่กับธรรมะ เกิดวิมังสา สอดส่องอยู่เสมอ แล้วมันก็สำเร็จ เป็นของที่ไม่ยาก

แต่ถ้าว่าโง่ในตอนแรกแล้ว มันยากอย่างยิ่ง คือว่ายากยิ่งกว่ากลิ้งครกขึ้นภูเขา แต่ถ้าคลำถูกเงื่อนถูกปมแล้วละก็ มันง่ายยิ่งกว่ากลิ้งครกลงมาจากภูเขา

อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราต้องมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ อย่าลืมและอย่าประมาท คอยจับให้พบความว่างและความวุ่นที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน

คำว่า เรา นี้หมายถึง จิต ไม่ใช่เราคือ ตัวกู-ของกู ให้มีจิตรักและพอใจในความว่าง คือนิพพานนี้อยู่เสมอไป อย่าได้มีจิตโน้มไปในทางที่เข้าใจผิด ไปหลงสิ่งที่วุ่น

เดี๋ยวนี้ปัญหายากที่สุดมันอยู่ที่ทุกคนไม่ชอบความดับทุกข์ จนไม่กล้ายืนยันว่าเกิดมานี้เพื่อไม่ทุกข์ มันกลายเป็นว่าเกิดมาเพื่ออะไรก็ได้ เอาทั้งนั้น ขอแต่ให้ได้ตามใจตัวได้สนุก ๆ ก็แล้วกัน ก็เลยปล่อยตามเรื่องไปหมด ที่จริงเรื่องดับทุกข์นี้มันไม่ยากไม่เหลือวิสัยอะไร มันพอ ๆ กับการงานต่าง ๆ แต่เราไม่เข้าใจ เราหันหลังให้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นทุกข์อยู่เรื่อย

เป็นอันว่าความหมดโรค หรือไม่เป็นโรคทางวิญญาณนี้ มันอยู่ตรงที่รู้จักทำไม่ให้ตัวกู-ของกู เกิดขึ้นมา นั่นแหละ คือความไม่มีโรค ซึ่งเราเรียกว่าเป็นลาภอย่างยิ่ง

คำนี้เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อของคนขายยาครั้งพุทธกาลว่า อโรคยา ปรมา ลาภา เที่ยวร้องก้องไปตามสี่แยก ไปตามถนนหนทาง มันไม่ได้หมายถึงโรคอย่างที่มันเป็นเพียงโรคปวดฟัน หรืออะไรทำนองนั้น โรคทางวิญญาณของพระพุทธเจ้านี้ ท่านหมายถึงโรคที่เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่งเป็นโรคอย่างแท้จริงอย่างนี้ แล้วความหมดโรคก็ต้องหมดจริงถึงขนาดนี้

เราพ้นโรคอยู่เป็นประจำทุกวันนี้ ก็เป็นการพ้นโรคอย่าง ตทังคปหาน ตทังควิมุตติ มันพ้นโรคโดย co-incident อยู่เป็นประจำวันอยู่เหมือนกัน co-incident ก็มีมาอีกรูปหนึ่ง คือว่ามีโรคฟลุคเกิดขึ้นมาแทรกแซงอยู่เสมอเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดี เราอย่าลืมว่า เราพ้นโรคนี้เป็นประจำตามธรรมดา โดยไม่รู้สึกตัวนั้นมีอยู่ เรียกว่า ตทังควิมุตติ

ทีนี้บางคราว เราตั้งอกตั้งใจควบคุมกัน ก็ว่างได้มากกว่านั้นอีก พ้นจากโรคได้มากขึ้นไปอีก อย่างนี้เรียกว่า วิกขัมภนวิมุตติ เพราะเราคอยคุมมันไว้

ถ้าเราจัดการได้เด็ดขาดเลย ถอนรากถอนเง่าถอนเชื้อได้หมดเลย อย่างนี้เรียกว่า สมุจเฉทวิมุตติ หรือ สมุจเฉทปหาน คือฆ่าตายเลย ไม่เพียงแต่ฟลุค หรือไม่เพียงแต่ข่มขี่ไว้ชั่วคราว

ฉะนั้น ตามธรรมดา เราจึงได้ผลอย่างน้อยก็ได้ผลเป็น ตทังควิมุตติ ได้กำไรมากอยู่แล้ว ถ้ามากกว่านั้น ก็เป็น วิกขัมภนวิมุตติ และเป็น สมุจเฉทวิมุตติ ซึ่งเป็นอันดับสุดท้ายไปเลย เราก็ไม่ได้เป็นอยู่ด้วยความโลภ ความหลง และความปรารถนาต่าง ๆ แต่ว่าเป็นอยู่ด้วยความเกษม เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา เป็นความไม่ทุกข์ไม่ร้อน เป็นความสดชื่น เหมือนภาวะแห่งความหนุ่มความสาวที่ไม่รู้จักแก่เฒ่า นี่แหละคือความหายจากโรคทางวิญญาณ

ในที่สุดนี้ ก็ขอให้เราทุกคนที่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มของพุทธบริษัทนี้ รู้จักความมุ่งหมายอันแท้จริงของการรวมกลุ่ม ถ้าเห็นว่าดีจริงอย่างนี้แล้ว ก็ช่วยกันสามัคคีกันในการที่จะเสียสละสิ่งที่ถูกกว่า เพื่อซื้อเอาสิ่งที่แพงกว่า ดีกว่า ประเสริฐกว่า เข้ามาให้ได้ คือช่วยกันรักษากิจการนี้ไว้ อย่าให้ล้มไป ให้เจริญก้าวหน้าเพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเอง แก่เพื่อนมนุษย์ทุกคน ก็จะได้ชื่อว่า เกิดมาทีหนึ่ง ได้ทำสิ่งที่ดีที่มนุษย์ควรจะทำ และได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น มันมีเพียงเท่านั้น

ก็เป็นอันว่าจบเรื่องที่จะต้องเรียนจะต้องทำ หรือว่าจะต้องเสวยผลของการกระทำ และมีชีวิตอยู่โดยไม่เป็นทุกข์เลย ทั้งในขณะแสวงหาและขณะบริโภค เมื่อประกอบการงานเพื่อแสวงหา รวมทั้งการศึกษาเล่าเรียน การทำอาชีพเหล่านี้ เป็นการแสวงหา ขณะนี้เราก็ไม่เป็นทุกข์ ครั้นได้ผลเป็นเงินเป็นทอง ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรมาบริโภค เราก็ไม่เป็นทุกข์ มันไม่เป็นทุกข์ทั้ง ๒ สถานอย่างนี้ เราก็วิเศษอย่างยิ่ง เหมือนกับไปจับปลามากิน ก็ไม่ถูกเงี่ยงปลาตำ ได้ปลามากินแล้ว ก็ไม่ถูกก้างปลาเลย เมื่อจับปลาก็ไม่ทุกข์ เมื่อกินปลาก็ไม่ทุกข์ มันก็หมดกันเท่านั้น มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น

เพระฉะนั้น ขอให้ทุกคนรู้จักโรคทั้งทางกาย (Physical disease) และทางจิต (Mental disease) และทั้งทางวิญญาณ (Spiritual disease) กันให้ครบถ้วน อย่าให้ขาดตกบกพร่องเว้าแหว่งแต่ประการใด แล้วแก้ไขเยียวยามันไปทุกโรค ให้เป็นผู้ไม่มีโรค และได้ชื่อว่า อโรคยา ปรมา ลาภา ที่แท้จริง

อาตมาขอยุติการบรรยาย “ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา” ในโอกาสนี้เพียงเท่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น