27 ธันวาคม 2555

โจกันขโมย


เนื่องจากภาคใต้ของไทยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงเล็กน้อย และแม่ทอมซึงอยู่ตอนล่างของภาคใต้ก็เลยยิ่งใกล้เข้าไปอีกนิด ดวงอาทิตย์จะมาอยู่ตรงหัวพอดีเป็นเวลานานเป็นพิเศษในหน้าร้อน ความเข้มข้นของแสงแดดจึงมีเต็มที่ หน้าร้อนที่แม่ทอมเดือนเมษายนจึงร้อนได้ไม่แพ้ใคร เด็กๆสอบไล่เสร็จกันตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม และชาวบ้านก็เก็บข้าวเสร็จไปหมดในประมาณเวลาเดียวกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆในหมู่บ้านชอบที่สุดถึงแม้ว่ามันจะร้อนก็ตาม ช่วงนี้หญ้าในสวนจะมีไม่พอให้วัวกิน จึงเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาว่าใครๆสามารถปล่อยวัวให้ออกหากินได้อย่างเสรีในทุ่งแหวะ พรุออกและพรุตก

พื้นที่ของแม่ทอมระหว่างหลาตาวันและหลาโคกพลาหรือที่เรียกกันว่า"โคก"เมื่อช่วงก่อนปีพศ๒๕๑๐นั้นแทบจะไม่มีคนอาศัยอยู่ มีบ้างไม่เกิน๓หรือ๔ครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ค่อนไปทางหลาโคกพลานารังนก ส่วนทางด้านหลาตาวันนั้นไม่มีแม้แต่บ้านเดียว จะมีบ้างก็เป็นหนำ(ขนำ)เฝ้าสวนซึ่งเจ้าของไม่ได้อยู่ประจำ การไปมาค่อนข้างจะลำบากเพราะไม่มีถนน ถ้าเป็นหน้าแล้งก็ต้องเดินตามคันนาไปตามทุ่ง เพราะเจ้าของสวนแต่ละสวนจะปลูกไม้หนามและกอเตยเป็นรั้วแบ่งเขตแดนขาดออกจากกัน หากจำเป็นต้องเดินผ่านพื้นที่สวนจากหลาตาวันไปถึงหลาโคกพลาก็เป็นอันว่าไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นหน้าน้ำตั้งแต่เดือนพฤษจิกายนไปจนถึงเดือนมกราคมก็ถ่อเรือไปทางในพรุ ทั้งพรุตกและพรุออก

ระหว่างสวนลุงทุ่มและสวนป้าเจี้ยนซึ่งอยู่ค่อนมาทางหลาตาวันนั้นเป็นสายคลอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลองที่เชื่อมบึงทอมและคลองหนองหิน ปัจจุบันก็ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้างในบางตอน แต่ส่วนใหญ่หมดสภาพไปแล้วจากการตื้นเขินและบุกรุกที่หัวดินของชาวบ้าน แต่ร่องรอยจากกูเกิลเอิร์ทยังพอปะติดปะต่อได้ให้เห็นถึงสภาพอันสมบูรณ์ในอดีต สมัยก่อนสายน้ำค่อนข้างลึก เช่นเดียวกันกับทอม สายน้ำส่วนที่ผ่านพื้นที่โคกตอนนี้มีน้ำขังตลอดปี  สภาพร่มรื่นด้วยดงสาคูและไม้ใหญ่น้อย มีวังน้ำลึก น้ำใสสะอาดอันอุดมไปด้วยปลาชนิดต่างๆ และด้วยเหตุที่มีน้ำสมบูรณ์นี่เอง สวนลุงทุ่มจึงเป็นที่ปลูกผลไม้ชนิดต่างๆมากมาย ตั้งแต่หัวครก ส้มเกลี้ยง สมจุก ส้มโอ น้อยหน่า กล้วยอ้อยและอื่นๆอีกหลายชนิด  ดังนั้นในหน้าร้อนที่ร้อนระอุของแม่ทอม พื้นที่ส่วนนี้จึงเปรียบเหมือนโอเอซีสกลางทะเลทราย ส่วนในหน้าน้ำพื้นที่ส่วนใหญ่ตรงนี้น้ำจะท่วมไม่ถึงเพราะเป็นที่โคก ไม้ผลส่วนใหญ่จึงรอดน้ำท่วมไปได้ในทุกๆปี

ลุงทุ่มเเป็นพี่ชายป้าเอียด ป้าเอียดผู้เป็นเจ้าของฉายา วิทยุวปถ๖แม่ทอม ยายหนับแม่ของแกเคยมาอยู่ประจำที่หนำในสวนนี้ แต่มาพักหลังสุขภาพแกไม่ค่อยจะดีแกจึงไปอยู่กับป้าเอียดที่บ้านใกล้ๆกับที่ทำการอบตในปัจจุบัน หนำที่โคกจึงกลายเป็นหนำร้างไม่มีใครอยู่ บรรดาผลไม้นาๆชนิดจึงไม่มีคนดูแลประจำ เด็กๆผู้หิวโหยทั้งหลายจึงถือโอกาสเก็บกินกันตามสบาย ก่อนที่ลุงทุ่มจะหาทางป้องกัน

พรุตกนั้นน้ำหญ้าพอจะหาได้ในหน้าแล้ง เพราะมีหนองน้ำธรรมชาติอยู่หลายแห่งให้พอเป็นที่ดื่มกินของวัวควายและคนเลี้ยงหากจำเป็นเพราะกระหายเต็มที่ พรุตกจึงเป็นตัวเลือกแรกแทนที่จะเป็นทุ่งแหวะหากอยากจะให้วัวอิ่ม แต่โดยปกติน้ำในหนองจะขุ่นจนคนกินไม่ได้ ส่วนที่จะพอกินได้ก็จะเป็นที่คลองข้างสวนลุงทุ่ม แต่ก็มีการสร้างรั้วเอาไว้อย่างแน่นหนา สำหรับกันทั้งวัวและเด็กเลี้ยงวัว ใครจะกินน้ำในคลอง ลุงทุ่มแกคงจะไม่หวง แต่ไปโขมยผลไม้ในสวนกินนี่ท่าจะยอมกันไม่ได้ แล้วทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะหักห้ามจิตใจกันได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ในสภาพเช่นนั้น ส้มสักลูก หรือน้ำมะพร้าวหวานๆสักลูกสองลูกย่อมมีค่ามากกว่าทองในสภาพอันร้อนระอุเช่นนั้น ลุงทุ่มจึงต้องหาวิธีการบางอย่างในการรักษาผลประโยน์ของแก นอกจากรั้วหนามเตยที่แม้แต่หมายังไม่มีรูให้ลอด ประตูเข้าออกแกก็ดม(ปิด)เสียด้วยหนามนาๆชนิด ชั้นในสุดแกเลือกที่จะใช้โจในการบรรลุผลดังกล่าว เขาลือ(ทางวิทยุวปถ๖)กันว่าลุงทุ่มไปจ้างอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำโจใส่ไว้ที่ต้นไม้ทั้งหมด ใครกินเข้าไปก็จะพุงพอง ซึ่งนับว่าได้ผลชงัดนัก ไม่มีใครทั้งเด็กและผู้ใหญ่กล้าแตะต้องผลไม้ในสวนอีก เพราะความเกรงกลัวในเภทภัยที่ไม่อาจจะมองเห็นจากโจของลุงทุ่ม

โจที่บังกำลังพูดถึงไม่ใช่และไม่เกี่ยวข้องกับกำนันหนุ่มแห่งตำบลแม่ทอมคนปัจจุบันที่ชื่อโจหรือบรรพบุรุษของแก และก็ไม่ใช่ชื่อของฝรั่งแก่ๆมากมายที่มามีเมียสาวๆอยู่แถวภาคอีสาน แต่บังกำลังพูดถึงโจกันขโมยอันเป็นสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของชาวปักษ์ใต้และชาวแม่ทอม และมีใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีต ไม่ปรากฏว่ามีการใช้ในภูมิภาคอื่นของเมืองไทย บังสันนิษฐานว่าคงจะเป็นของสืบเนื่องมาจากชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะมีใช้กันอยู่บ้างคล้ายๆกันในชวา สุมาตรา และนิวกินี คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อแต่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีร่วมสมัยอาจจะคิดถึงหุ่นยนต์เฉพาะกิจไปพลางๆก่อน หรือคนที่ดูหนังทีวีมากๆอาจจะคิดถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากอำนาจเวทย์มนต์คาถาและความลึกลับ ถ้าจะอธิบายอย่างสั้นๆ โจเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ผู้ทำ ได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการสร้างความเกรงกลัวให้กับผู้คนที่มาพบเห็นและไม่มายุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามในรัศมีทำงานของโจ หากทำแขวนไวับนต้นไม้ ก็จะเป็นการบอกคนที่จะมาขโมยผลไม้ว่าหากแตะต้องจะให้มีอันเป็นไป เช่นพุงพอง ท้องเสีย ผีเข้าและฯลฯ

โจมีอยู่หลายชนิด เช่นโจเตาะ(กาบต้นหมาก กาบต้นโอน) โจกระบอก โจหม้อ โจขวด โจมนต์ โจผี โจฝังและอีกสารพัดโจ โจเตาะเป็นโจชนิดที่แพร่หลายที่สุดที่แม่ทอมเพราะวัสดุสามารถหาได้ง่ายและต้นทุนการผลิตต่ำ แค่ไปเก็บกาบหมากหรือกาบโอนมาตัดแล้วม้วนเป็นรูปกรวย เย็บด้วยหนาม เอาซี่ไม้ไผ่สองอันแทงทะลุเป็นกากบาต จุดไขว้ของไม้ไผ่สองซี่จะอยู่ภายในกรวย ตรงจุดนี้จะมีการนำเอาวัตถุอันเป็นตัว"หัวใจ"ของโจมาแขวนเอาไว้ (อาจจะเรียกว่าตัวCPUสำหรับเด็กๆสมัยนี้) ส่วนหัวใจของโจทำจากวัตถุประหลาดๆต่างๆที่เช่น คางคกตายซาก หนังวัวแห้งลงอักขระที่ไม่มีใครอ่านออก กระดูกผีตายโหง ผ้ายันต์ และอะไรต่างๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าใครเรียนมาจากสำนักอาจารย์ไหน โจกระบอกหรือโจขวด หรือโจหม้อก็มีลักษณะคล้ายๆกัน มีการใช้ถ่านไฟหรือปูนขาวสำหรับกินกับหมากเขียนรูปภูติผีปีศาจลงบนโจ ก่อนผูกเชือกเอาขึ้นไปแขวนห้อยไว้บนต้นไม้ ส่วนโจผีและโจฝังนั้น จะเป็นการนำส่วนที่เป็น"หัวใจ"ไปฝังเอาไว้ใต้โคนด้นไม้ มีการผูกด้ายดิบวางเครื่องเซ่นไหว้สังเวย ซึ่งแค่เห็นเข้าพวกขวัญอ่อนทั้งหลายก็หายอยากแล้ว

ตะวันเลยเที่ยง บ่ายต้นๆ บังมักจะไปนอนอยู่ตามใต้ต้นไม้แถวๆสวนป้าเจี้ยนตามปกติ บอกพ่อว่ามาแลวัว แต่วัวอยู่ไหนก็ไม่รู้ ค่อยไปตามหาเอาตอนใกล้มืด และโดยปกติมันก็เดินกลับบ้านเองได้โดยไม่ต้องไปทำอะไร แต่อาจจะมืดหน่อย ในขณะที่กำลังคอแห้งผาก นอนคิดถึงผลไม้ชนิดต่างๆในสวนลุงทุ่ม อยากกินก็อยากกิน กลัวพุงพองก็กลัว ความกลัวและความอยากกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ภายใน

ในระยะนั้นท่านพระมหาปั่น (ท่านปัญญานันทะที่รู้จักกันในระยะหลัง) สหายธรรมของท่านพุทธทาส ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดอุทัยสงขลา ท่านได้เทศน์ทางวิทยุเป็นประจำ ส่วนใหญ่เป็นการชี้แนะให้คนเห็นถึงความงมงายของชาวบ้านด้วยเหตุผลง่ายๆ ตัวอย่างเช่นชาวบ้านนับถือต้นไม้ว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่หมาไปเยี่ยวราดโคนก็ไม่เห็นว่าหมามันจะเป็นอะไร จอมปลวกที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่หมูไปดุดและขี้ใส่ก็ไม่เห็นว่าจอมปลวกมันทำอะไรกับหมูได้ ส่วนผลไม้ที่เขาใส่โจเอาไว้ พวกสัตว์นาๆชนิดไปกินกันอยู่เต็มไปหมด ก็ไม่เคยเห็นว่ามันชักดิ้นชักงอตาย และฯลฯ คิดๆดูเหตุผลของท่านก็จริงทุกอย่าง แต่ทำไมคนแทบทั้งหมดเขาถึงกลัวกันล่ะ? จะเชื่อคนส่วนใหญ่หรือเชื่อเหตุผลดี...และแล้วในที่สุด เหตุและผลที่ถูกสนับสนุนด้วยความอยากกินผลไม้ก็เป็นฝ่ายชนะความกลัวสำหรับบัง...

บังค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามริมคลองในดงสาคูฝั่งส่วนป้าเจี้ยน ไต่ไปตามรากและตามกอสาคูบ้าง โหนทางสาคูบ้าง ลุยน้ำบ้าง ก็ไปจนถึงฝั่งสวนลุงทุ่ม สรุปแล้วด้านคลองจะเข้าสวนลุงทุ่มง่ายที่สุด เพราะแกคงจะคิดว่าเป็นทางที่เข้ายากที่สุด แล้วก็จริงอย่างที่เขาเล่าลือกัน ต้นไม้ผลมีราคาทุกต้นมีโจติดอยู่ ถึงแม้ว่าจะเชื่อในเหตุและผลของท่านมหาปั่น บังก็ยังหวาดๆอยู่เรื่องกินแล้วพุงพอง...เลยต้องใช้เคล็ดวิธีอื่นๆที่ได้ยินมาประกอบ แบบว่าใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ว่างั้นเถอะ คือปลดโจลง เก็บลูกไม้ที่จะกินมาวางไว้ เสร็จแล้วเดินข้ามเสียสามครั้ง กินอิ่มแล้วก็เลิก เอาปลือกใส่พกไว้เพื่อเอาไปทิ้งในคลอง ขากลับเดินผ่านต้นหัวครก ไม่เห็นร่องรอยว่าลุงทุ่มใส่โจ แกอาจจะคิดว่ามันไม่ค่อยมีราคา จึงไม่ได้ใส่โจเอาไว้ บังเลยถือโอกาสลดโหม้งหัวครก (เม็ดมะม่วงหิมพานต์)เสียสี่ห้าโหม้งเท่าที่เอื้อมถึง ปล่อยให้พอง(ตัว)ติดกิ่งเอาไว้...ลืมนึกไปว่าทำผิดธรรมเนียมไปถนัด มานึกออกก็ข้ามคลองกลับมาถึงอีกฝั่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว จะกลับไปจัดการลบร่องรอยก็ขี้เกียจ เลยปล่อยเลยตามเลย

กลับถึงบ้านเย็นวันนั้นบังได้ยินป้าเอียดเล่าให้ใครคนหนึ่งฟังเสียงดังลั่นอยู่ที่ใกล้ๆกับหลาทอมว่า เด็กไหรไม่รู้บุกเข้าไปในสวนโคกจะลักลูกไม้...ไปเจอโจของลุงทุ่มเข้าเลยไม่ได้อะไรไปเลย นอกจากโหม้งหัวครกเพราะไม่ได้ใส่โจ......
..........หากพูดกันในภาษาปัจจุบัน โจเป็นอุปกรณ์กันขโมยที่วิเศษสุดชนิดหนึ่ง ชาวแม่ทอมน่าจะไปจดทะเบียนสิทธิบัตรเอาไว้...แต่บังคิดว่าโคลท์ตราควายน่าจะให้ผลแน่นอนและรวดเร็วกว่าโจมาก และอาจจะเป็นเพราะด้วยเหตุนี้ที่ทำให้โจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกลืม...

09 ธันวาคม 2555

2012 Apocalypse

ใครๆก็คงจะเคยได้ยินเรื่องคำทำนายว่าโลกจะมาถึงกาลอวสานเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทั้งที่กำหนดวันโลกแตกที่ว่าได้ผ่านพ้นไปแล้วและที่กำลังจะมา ได้ยินกันจนเบื่อแล้วก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นเสียที ยิ่งระยะนี้วันสิ้นสุดของปฏิทินของพวกมายา- อารยธรรมที่ล่มสลายของอเมริกาใต้กำลังจะมาถึง เมืองไทยเราดูเหมือนจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษสำหรับข่าวทำนองนี้ เพราะบ้านเราเป็นศูนย์รวมของอภินิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์นาๆชนิด พวกที่เชื่อก็ขู่พวกที่ไม่เชื่อว่าอย่ามายุ่งและลบหลู่หากไม่อยากมีเรื่อง จึงเป็นเรื่องปกติที่โหรชาวไทยสามารถทำนายทายทักได้ในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่โชคชะตาราศี ผูกดวงหมา ดวงคน ดวงบ้านดวงเมือง พยากรณ์อากาศ แผ่นดินไหว ไปจนถึง ผูกดวงโลก ดวงจักรวาล ดวงพหุจักรวาลและฯลฯ ซึ่งสรุปได้ว่าเดาได้ทุกเรื่องอย่างหน้าด้าน บังไม่ขอร่วมขบวน แต่อยากนำเสนอข้อคิดบางประการที่ความเป็นมาในอดีต สถานการณ์ปัจจุบัน และกฏเกณฑ์พื้นฐานที่สุดของธรรมชาติ อาจจะเป็นตัวบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

ถ้าหากจะยกเอากำเนิดของสิ่งสำคัญๆบนถนนแห่งกาลเวลาโดยประมาณมาเรียงลำดับ จะเห็นได้ว่าเราทุกคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติและการเปลี่ยนแปลง
  • กำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเมื่อ 2,100,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดชาติพันธุ์มนุษย์เมื่อ 15,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดบรรพบุรุษคนในปัจจุบันเมื่อ 200,000 ปีมาแล้ว
  • เกิดอารยะธรรมเมื่อ 6,000 ปีมาแล้ว
  • อุตสาหกรรมเมื่อ 300 ปีมาแล้ว
  • รถยนต์เมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • ไฟฟ้าเมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • เครื่องบินเมื่อ 100 ปีมาแล้ว
  •  เข้าใจจุลจักรวาลและมหาจักรวาล (quantum mechanics and relativity) เมื่อ 100ปีมาแล้ว
  • TVเมื่อ 70 ปีมาแล้ว
  • PCเมื่อ 35 ปีมาแล้ว
  • Cellphoneเมื่อ 30 ปีมาแล้ว
  • Internetเมื่อ 25 ปีมาแล้ว
  • ประชากรโลก ปี คศ 1800 มี800 ล้านคน
  • ประชากรโลก ปี คศ 2010 มี8,000 ล้านคน
จากวิถีแห่งกาลเวลา จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แทบทุกอย่างทั้งทางเทคโนโลยีและสังคมเพิ่งมาเกิดขึ้นในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา อัตราการบริโภคทรัพยากรของแต่ละคนในยุคปัจจุบันสูงมากยิ่ง ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคที่เกินไปจากปัจจัยสี่ เพื่อที่จะเกื้อหนุนระบบเศรฐกิจโลกที่ต้องการให้บริโภคมากขึ้นอย่างไม่จำกัดและไม่สิ้นสุดเพื่อเกื้อหนุนการขยายตัวและอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจที่ต้องการตัวเลขการเติบโตทางด้านบวกอยู่อย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างที่เราเห็นในชีวิตประจำวันคือผลแห่งการผลักดันด้วยกลไกของระบบ เป็นระบบที่ยังไม่มีใครรู้ชัดว่ามันจะจบหรือคลี่คลายไปเช่นไร แต่ใครๆก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่โตอย่างไม่มีจุดจบ เมื่อมีการเกิด แล้วจะมีการโต แล้วก็มีการตายในที่สุด ถ้ามองระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีชาติพันธุ์มนุษย์หรือ๑๕ล้านปี เทียบกับช่วงระยะเวลาที่มนุษย์รู้เริ่มรู้จักอุตสาหกรรมและเผาผลาญทรัพยากร จะเห็นคล้ายกับว่าเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว จะเป็นยุคที่มนุษย์จะทำลายสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่และในที่สุดจะเป็นการทำลายชาติพันธุ์ของตัวเองไหม? ตัวอย่างเช่นปัญหามลภาวะและโลกร้อน กว่าจะรู้ตัว การเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมก็อาจจะสายเกินแก้เสียแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะควบคุมได้และใช้เวลาหลายชั่วอายุคนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข

วันก่อนเห็นบทความในScientific Americanพูดถึงผลงานวิจัยล่าสุดชิ้นหนี่ง เขาบอกว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นระบบนิเวศน์วิทยาที่มหัศจรรย์ยิ่ง มีแบคทีเรียมากมายที่อาศัยร่างกายของคนเป็นที่อยู่ และจากการศึกษาพบว่าพวกมันถือว่าร่างกายของมนุษย์น้้นคือบ้านที่มันต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันอยู่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและจุลินทรีย์ที่ทำอันตรายต่อระบบ หากรวมจำนวนเซลล์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย(ระบบหมุนเวียน)แล้ว แบคทีเรียจะมีจำนวนมากกว่าเซลล์ของร่างกายถึง๑๐ต่อ๑ ทั้งนี้อาจจะอยู่ในลักษณะคล้ายๆกันกับความพยายามของคนจำนวนหนึ่งที่พยายามจะจัดการกับภาวะแวดล้อมของตัวเอง ที่ต่างกันก็คือ "โลก"ของสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่มีขนาดต่างกัน แต่ถ้าเทียบตามอัตราส่วนของขนาดของแบ็คทีเรียกับต้วคน และตัวคนกับขนาดของโลก ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
พูดถึงการบริโภคเกินความจำเป็น เดี๋ยวนี้เห็นชัดมากที่บ้านเรา หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนเกินขนาด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กินกันเกินความจำเป็น กินอาหารสำเร็จรูปที่เขาทำได้กระตุ้นความอยากโดยเฉพาะ เสร็จแล้วใช้เครื่องทุ่นแรงเกินความจำเป็น ไม่ค่อยยอมออกแรง ไม่มีใครค่อยจะยอมเดินไม่ว่าใกล้หรือไกล กระบวนการวิวัฒนาการของร่างกายที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องเป็นพันเป็นหมื่นปีมาเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันในเวลาแค่๕๐ปี อีกไม่นานคนคงจะเดินกันไม่ได้ แขนขาคงจะค่อยๆลีบไปเพราะไม่ได้ใช้งาน อาจจะต้องกระถดหรือกลิ้งออกจากบ้านในอีกไม่กี่ชั่วอายุคน...และอีกหลายล้านปีคนอาจจะงอกล้อออกมาแทนตีนตามทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ... คงจะได้หรอยกันใหญ่

22 พฤศจิกายน 2555

ปีนเขาเมืองสิงหนคร



เมื่อตอนต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บังได้มีโอกาสเจอเกลอเก่าคนหนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันสมัยเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจำจังหวัดสงขลา แต่จากกันไปเสียนานแสนนานตามวิถีชีวิตของแต่ละคน ก็อย่างที่เห็นๆกันในปัจจุบัน ว่าบางครั้งเราท่านอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตรในสังคมเมือง แต่ไม่เคยได้พบหน้ากันคราวละหลายๆปี และยิ่งระยะทางที่ยาวไกลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว โอกาสจะมีน้อยมากๆที่เพื่อนเก่าๆจะได้มีโอกาสพบปะกันอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยผลพวงแห่งเทคโนโลยีของนายซัคเคอร์เบิร์กแห่งเฟสบุ๊ค ทำให้บังและเพื่อนเก่าคนนี้ได้เจอกันอีกครั้งหนึ่งในไซเบอร์สเปซแห่งยุคดิจิตอล หลังจากที่ไม่ได้เจอกันราวๆ100011ปี ด้วยสาเหตุที่เราอยู่ห่างกันเกือบ100111001000011กิโลเมตร หากนับด้วยเลขฐานสองอันเป็นภาษาของเครื่องคอมพิวเตอร์

นัดเจอกันคราวนี้ตั้งใจจะคุยกันให้เต็มที่ ทีแรกตั้งใจว่าจะร่วมเดินไปกับพวกเดินวัวชนตอนเช้ามืดจากเก้าเส้งไปหัวสนอ่อนจะได้มีเวลาคุยกันเต็มที่ แต่พอเจอกันเข้าจริงๆก็มีการเปลี่ยนแผนเป็นตามสะดวกแทน และที่ว่าตามสะดวกก็คือนั่งรถไปหัวสนอ่อนแทนที่จะเดินไป หลังจากเดินไปเดินมาอยู่บนที่ๆเขาทำไว้ให้คนเดินเที่ยวแถวๆสวนสองทะเลก็ชักจะเซ็งๆกันทั้งสองคนเพราะไม่มีอะไรแปลกใหม่ ใครมาสงขลาเขาก็มากันตรงนี้ ต่างคนต่างเดินกันจนเบื่อเสียแล้วก่อนเจอกันคราวนี้ เหลือบไปทางฝั่งเขาแดง เอ๊ะ...แล้วเอ็งเคยปีนขึ้นไปบนยอดเขาฝั่งโน้นหรือเปล่า? บังถาม...เพื่อนมันบอกว่าก็ไม่เคยเหมือนกัน บังนั้นก็ไม่เคยเหมือนกัน แต่ตั้งใจมานานแล้วที่จะขึ้นไปดูบนยอดเขาฝั่งเขาแดงให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไป ซึ่งก็เหมือนๆกันกับชาวสงขลาแทบทั้งหมดที่ส่วนใหญ่คงไม่เคยแม้แต่จะคิด

ฝั่งเขาแดงเป็นเมืองสงขลาเก่า มีประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นยาวนานกว่าฝั่งสงขลาปัจจุบันมากนัก และบนเขานั้นมีโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ไม่มาก ในขณะที่แทบจะไม่มีอะไรเหลือเลยบนพื้นราบเชิงเขา ซึ่งได้ถูกทับซ้อนด้วยการครอบครองและการปลูกสร้างใหม่ในยุคปัจจุบัน ก็เลยตกลงใจกันสดๆตอนนั้นว่าเราจะข้ามไปปีนเขาฝั่งเขาแดงกันดีกว่า

เราเริ่มต้นกันตรงท่าแพขนานยนต์ข้ามฟาก ซึ่งดูจะซบเซาไปมากเมื่อเทียบกันกับเมื่อครั้งที่ยังเป็นเส้นทางเดียวที่จะสัญจรติดต่อกับฝั่งอำเภอสิงหนคร สะทิ้งพระ และระโนดก่อนที่จะมีการสร้างสะพานเกาะยอ ตรงใกล้ที่จอดแพฝั่งสงขลา ก่อนข้ามฟากเราแวะที่ร้านขายน้ำชาแบบพื้นเมือง กินกาแฟดำใส่นมข้นคนละแก้วตามด้วยข้าวเหนียวปิ้งและช้าโขย(หรือที่คนกรุงเทพฯเขาเรียกกันว่าปาท่องโก๋) เรียกบรรยากาศเก่าๆกลับคืนมาได้เป็นอย่างดี มองไปทางริมถนน เห็นป้ายหาเสียงเก่าตั้งแต่การเลือกตั้งคราวที่แล้วของนักการเมืองท้องถิ่นที่คุ้นชื่อและคุ้นหน้ากันที่โรงเรียนเมื่อครั้งกระโน้น เขาคงจะไม่มีเวลาสำหรับกิจกรรมแบบไร้แผนของเราสองคน ทีสามารถเปลียนแปลงได้ดังใจได้ทุกขณะและไม่ต้องอาศัยมือปืนห้อมล้อมคุ้มกันและเคลียร์พื้นที่ก่อนเดินทาง

ทางขึ้นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเขา ซึ่งเป็นคนละฟากกันกับด้านที่ติดทะเล หลังจากข้ามฟาก เรามุ่งไปทางด้านทิศเหนือ เพื่อหาถนนเลียบเขาด้านทิศตะวันตก ด้านหน้าของทางขึ้นเป็นหน่วยงานของทางราชการสำหรับดูแลพื้นที่โบราณสถานในละแวกนี้ เนื่องจากเราไปกันเช้าเกินไปและเป็นวันอาทิตย์ จึงไม่มีโอกาสเข้าไปดูข้างใน ซึ่งน่าจะมีข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจที่มีการรวบรวมเอาไว้ ด้านหลังที่ทำการเป็นที่จอดรถและสวนไม้ยืนต้นขนาดใหญ่นาๆชนิดรวมทั้งต้นสะตอซึ่งอยู่ตรงเชิงบันไดขึ้นเขา
เนื่องจากเป็นหน้าฝน สภาพทั่วไปจึงค่อนข้างชื้นแฉะ และเพราะบันไดทางขึ้นทำด้วยอิฐและหิน จึงค่อนข้างสะดวกที่ไม่ต้องลุยโคลนและให้ต้องไถลลื่นลงมาเนื่องจากเขาค่อนข้างชันประมาณ๓๐-๔๕องศา ยุงเยอะมากๆขนาดต้องลูบและปัดเนื้อตัวอยู่ตลอดเวลา หาไม่แล้วกว่าจะถึงยอดเขายุงคงจะช่วยกันดื่มเลือดหมดพอดี ระหว่างทางมีป้อมปืนใหญ่อยู่สองป้อมและอีกหนึ่งอยู่บนยอด สองป้อมระหว่างทางหันหน้าไปทางทิศตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของเมืองเก่าและทะเลสาบสงขลา ส่วนป้อมบนยอดคลอบคลุมพื้นที่ได้๓๖๐องศา ไม่ได้นับว่าบันไดทั้งหมดมีกี่ขั้น แต่เท่าที่ประมาณเอาไม่น่าจะต่ำกว่าพัน มีที่พักเหนื่อยเป็นช่วงๆก่อนถึงยอด

ถัดจากป้อมบนยอดไปทางทิศตะวันออก เป็นทางไปตามที่ราบบนสันเขาไปทางทิศตะวันออกประมาณ๗๐เมตร ไปสุดที่หน้าผาซึ่งมีเจดีย์สององค์ และเจดีย์สององค์นี่เองที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากฝั่งแหลมสนและเมืองสงขลาปัจจุบัน วิวเมืองสงขลาจากจุดนี้สวยงามมาก แม้กระทั่งในวันนี้ที่บังและเพื่อนขึ้นไปฝนตกพรำๆเและอากาศค่อนไปทางขมุกขมัว แต่ก็ทิวทัศน์ยังคงความงดงามเอาไว้อย่างน่าพิศวง

นั่งหลับตานึกถึงประวัติศาสตร์ที่เคยอ่าน
เมืองสงขลาเป็นเมืองท่าสำคัญมาตั้งแต่ครั้งโบราณ อาณาจักรศรีวิชัยที่นักประวัติศาสตร์ไทยและสากลกำลังถกเถียงกันในรายละเอียดนั้นครอบคลุมพื้นที่แหลมมลายูทั้งหมดและพื้นที่ๆเป็นประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน เคยรุ่งเรืองอยู่ก่อนกรุงสุโขทัยหลายร้อยปี มีการค้นพบศิลปกรรมแบบศรีวิชัยในพื้นที่เหล่านี้รวมทั้งในเขตอำเภอกระแสสินธุ์และสะทิ้งพระ อันแสดงถึงความสำคัญของช่องแคบหัวเขาอันเป็นเสมือนประตูเข้าออกของพื้นที่รอบๆทะเลสาบสงขลา ส่วนซากเมืองสงขลาเก่าที่เขาแดงนั้นสร้างขึ้นตรงกับสมัยพระนารายณ์มหาราช ผู้สร้างเมืองตรงจุดนี้คือศุลต่านสุไลมานผู้แข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุทธยา และถูกทำลายลงอย่างย่อยยับในที่สุด

หากใครมีเวลา เขาแดงเป็นอีกที่หนึ่งที่น่าจะไปเยียมชมนอกจากแหลมสมิหรา เขาน้อยและเขาตังกวน...




29 มีนาคม 2555

ปืนใหญ่ที่งานลากพระแหลมโพธิ์

งานประเพณีของชาวแม่ทอมและตำบลอื่นๆในลุ่มน้ำอู่ตะเภานั้นแทบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องอยู่กับผีและวัด เช่นเทศกาลทำบุญบรรพบุรุษเดือนห้า ซึ่งอาหารจะเป็นขนมจีนน้ำยา การทำบุญวันสารทเดือนสิบด้วยขนมเจาะหู ข้าวเหนียวกะทิห่อใบกะพ้อและขนมลา ซึ่งอาหารทั้งสามอย่างนี้สามารถที่จะเก็บไว้กินได้นานหลายเดือนโดยไม่บูดเน่าเสียหาย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับพระ เพราะหน้าน้ำท่วมประจำปีกำลังจะมา พระจะได้อาศัยอาหารสำรองเหล่านี้ในภาวะที่ออกบิณฑบาตไม่ได้ตามปกติ

พอถึงเดือนสิบเอ็ดก็จะมีประเพณีชักพระ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นการหาเรื่องบันเทิงของคนคิดเสียมากกว่า เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกณฑ์ทั้งพระและชาวบ้านไปตากแดดตากฝนที่แหลมโพธิ์ ลากเรือซึ่งติดโคลนเข้าไม่ถึงตลิ่งให้เข้าถึงเพื่อพระจะได้ลงจากเรือมาฉันเพล ฉันเสร็จก็ขึ้นเรือให้ชาวบ้านลากลงทะเล ประเพณีชักพระของชาวลุ่มน้ำอู่ตะเภานั้นน่าจะเป็นการลอกเลียนมาจากท้องถิ่นอื่น เพราะการชักพระเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในหลายๆพื้นที่ของปักษ์ใต้ตั้งแต่สุราษฎ์ลงมา หลังจากงานเดือนสิบ บางท้องถิ่นไม่สะดวกที่จะจัดการชักพระทางเรือ ก็มีการดัดแปลงทำเรือพระใส่ล้อลากกันไปบนถนน หนักๆเข้าไม่มีใครอยากจะฉุดลากด้วยแรง จึงมีการใช้ถถลาก หรือทำเรือพระบนรถให้คนขับเสียเลยก็มีในระยะหลังๆ

บรรดาชาวบ้านก็จะเริ่มต้นเตรียมงานลากพระ โดยการไปวางแผนกันที่วัดที่ครอบครัวตัวเองเป็นสมาชิก อันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่าใครจะไปวัดไหน แต่ถ้าใครอยากจะเปลี่ยนวัดตอนไหนก็ไม่มีใครห้าม เด็กบ้านก็จะไปผสมโรงกับเด็กวัด ซ้อมตีกลองกันทั้งวันทั้งคืน ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เด็กๆแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เกินห้านาที่ในการเรียนรู้วิธีตีกลองลากพระ จังหวะการตีมีอยู่ว่า...ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง --- ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง --- ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง จะตีอยู่นานเท่าไหร่ก็จะอยู่ในจังหวะที่ว่านี้ตลอดไป ในยุคสมัยที่ไม่มีทีวี ไม่มีวิดิโอเกมส์และไม่มีเครื่องผลาญเวลาอื่นใด เด็กๆจึงผลัดเปลี่ยนกันตีกลองได้ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน ทุกๆวันจนกระทั่งถึงวันลากพระ

หนุ่มๆผู้มีพลังงานเหลือใช้ทั้งหลายก็ได้มีโอกาสออกกำลังโดยการเข้าร่วมการแข่งเรือยาว ทุกๆวัดจะมีเรือยาวของตัวเองอย่างน้อยสามลำ แต่ละลำอาศัยฝีพายอย่างน้อยสิบคนแล้วแต่ขนาดของเรือ การฝึกซ้อมก็ทำกันทุกวันจนกว่าจะถึงวันแข่งจริงในวันลากพระ สถานที่แข่งเรือโดยปกติจะเป็นที่หาดหอย ซึ่งอยู่ใกล้ๆวัดท่าเมรุ บนสาขาตะวันตกของคลองอู่ตะเภาก่อนไหลออกทะเลสาบสงขลา

แต่ละวัดจะมีเรือพระของตัวเอง เรือพระเป็นเรือสินค้าท้องถิ่นสมัยเก่า กว้างประมาณ 4 เมตรยาวประมาณ 15 เมตร ตรงกลางมีมณฑปยอดแหลม ประดับประดาด้วยลวดลายแกะสลักห้อยภู่หลากสีงามตระการตา วัดนารังนกแทบจะผูกขาดรางวัลที่หนึ่งในด้านความสวยงามและวิจิตรบรรจง ทุกๆปีจะมีทั้งคนที่มารอดูขบวนเรือพระของวัดนารังนกเป็นพิเศษอยู่บนสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าต่างไปจากปีก่อนอย่างไร

งานประเพณีลากพระที่แหลมโพธิ์เมื่อปีพ.ศ.2510นั้นว่ากันว่าคึกคักเป็นพิเศษ หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาในขณะนั้นมีแผนที่จะเสด็จมาร่วมงาน โดยที่คณะของท่านจะเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งนับเป็นเรือนำเที่ยวทะเลสาบสงขลาที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ตามหมายกำหนดการ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะอันประกอบด้วย ข้าราชการผู้ใกล้ชิด ครอบครัว และเจ้าสุวรรณภูมี เจ้าลาวซึ่งมาลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในเมืองไทยและเป็นอาคันตุกะของท่านในเวลานั้น ทางจังหวัดได้ทำหนังสือเวียนผ่านมาทางหน่วยราชการต่างๆให้จัดการวางแผนต้อนรับอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนที่สุดตามระบบราชการ คนที่อยู่ล่างสุดคือคนที่แบกภาระหนักที่สุดในขณะที่ได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุดในทุกๆด้าน

โรงเรียนวัดคูเต่าซึ่งเป็นโรงเรียนประชาบาลหลักและใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ได้รับคำสั่งให้จัดโชว์เพลงเรือชุด"ครูประชาบาล"  โดยการให้บรรดาครูในโรงเรียนต่างๆในกลุ่มช่วยกันจัดกระบวนเรือเพลง ด้วยสาเหตุที่ครูส่วนใหญ่เป็นครูบ้านนอกและไม่มีใครสันทัดในงานด้านศิลปวัฒนธรรม คำสั่งดังกล่าวได้สร้างความโกลาหลให้กับทั้งครูและนักเรียนเป็นอย่างมาก เป็นเวลาหลายวันที่บรรดาครูต่างก็นั่งเถียงกันว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากที่พอจะตกลงกันได้ก็ต้องมีการเตรียมเรือ เครื่องแต่งตัวและการฝึกซ้อม การเรียนการสอนก็ให้ต้องพลอยหยุดซะงักไปด้วย ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆที่จะได้มีเวลาเล่นมากขึ้น

ความเรียบง่ายที่เคยบฏิบัติสืบเนื่องกันมาได้กลายเป็นความยุ่งยากซับซ้อนในปีนี้ คำสั่งจากทางอำเภอถึงกำนันตำบลคูเต่าให้มีการจัดสร้างปะรำสำหรับรับรองท่านผู้ว่าราชการจังหวัดผู้สูงศักดิ์ก็ได้รับการสนองตอบตามกำลังความสามารถและสติปัญญาของท่านกำนันเห้ง ปะรำถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆตามปกติที่เคยทำกันมา มีเสาสี่เสา หลังคามุงห่างๆด้วยใบมะพร้าวสำหรับพอกันแดด ที่เป็นพิเศษนั้นกำนันเห้งได้จัดหาเก้าอี้ไม้อย่างดีมาวางในปะรำครบตามจะนวนคนที่จะมา เครื่องขยายเสียงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้รับการขนย้ายมายังแหลมโพธิ์ด้วยความทุลักทุเล เพราะถนนไปแหลมโพธิ์ยังไม่มี ของหนักทุกอย่างต้องมาทางเรือ และเนื่องจากพื้นที่มีลักษณะเป็นชายเลนและน้ำตื้น เรือใหญ่จึงเข้าไม่ถึงฝั่ง แม้กระทั่งเรือเรือเล็กก็ยังเข้าไม่ถึงหากว่าเป็นเวลาน้ำลง การลุยโคลนเลนที่ดำปี๋เหมือนชี้เป็ดจึงเป็นเรื่องธรรมดา

และแล้ววันลากพระก็มาถึง วันนี้ใครๆต่างก็มีส่วนร่วมมากบ้างน้อยบ้างไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คนที่มีหน้าที่เรื่องอาหารการกินในบ้านก็ง่วนอยู่กับข้าวต้มใบกะพ้อและแกงคั่วหน่อไม้ เด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่มีภาระอย่างอื่นก็จะเริ่มออกไปเตร่แถวๆริมคลองตั้งแต่เช้า รอดูเรือพระจากวัดที่มาจากเหนือน้ำ พอสายหน่อยตามท่าเรือริมคลองอู่ตะเภาก็เริ่มเห็นคนหนาตาขึ้น บ้างมาดูเรือพระ บ้างมาดูพวกพายเรือเล็กผูกเพลง การผูกเพลงคือการว่ากลอนตลกๆรับกันระหว่างต้นเพลงและลูกคู่ เนื่อหาของเพลงส่วนใหญ่จะเป็นประเภทตลกขบขันและติดเรทเอ็กซ์ โดยทั่วไปเรือเล็กผูกเพลงจะมีคนสองหรือสามคน และส่วนใหญ่จะมีการสร้างรูปอะไรบางอย่างที่เป็นจุดเด่นวางไว้กลางเรือเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนดูบนตลิ่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่ไกลไปกว่าเรื่องใต้สะดือ สร้างความขบขันเฮฮาให้คนดู คนที่จะไปแหลมโพธิ์นั้นต้องไปด้วยเรือหางยาว ตรงท่าน้ำใกล้ๆบ้านบังนั้นเป็นท่าใหญ่ คนจำนวนมากจะมาลงเรือที่นี่  ก่อนที่จะไปไหนไกล หนุ่มๆในหมู่บ้านจะมาออกันอยู่ตรงท่าน้ำเพื่อดูสาวๆที่กำลังลงเรือ ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าดูอยู่หรอก ดูแล้วก็เก็บไปวิจารณ์กันได้ทั้งปี อย่างพี่คองลูกสาวลุงยกทอมตกนั้นใส่มินิสเกิ๊ท พวกหนุ่มปากเปียกเอาไปพูดกันว่าอีคองนุ่งปลอกหมอนไปงานลากพระ ลงเรือแล้วนั่งไม่ได้เพราะคับเกินไป ต้องบอกให้นายท้ายเรือรอเพราะต้องวิ่งกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดใหม่

ที่แหลมโพธิ์นั้นจะมีพิธีสงฆ์และการทำบุญเลี้ยงพระอันเป็นเป้าหมายหลักของประเพณีการลากพระ จุดหมายปลายทางของผู้ที่จะมาร่วมงานในแต่ละปีจึงอยู่ที่นี่ ส่วนปีนี้ท่านผู้ว่าจะกล่าวปราศรัยหลังจากพระฉันเพล หลังจากนั้นจะมีการเคลื่อนขบวนเข้าคลองกลับมาที่หาดหอยเพื่อดูการเฉลิมฉลองและแข่งเรือ ปีนี้ดูเหมือนว่าฟ้าดินจะไม่เป็นใจ พอสักสิบโมงเช้ากว่าๆแดดเปรี้ยงๆก็กลับกลายเป็นฝนเทลงมาอย่างหนัก ท่านผู้ว่าฯ พระชายาและคณะซึ่งต้องผจญภัยมาแล้วรอบหนึ่งด้วยการลุยโคลนจากเรือใหญ่ขึ้นมาที่ปะรำต้องผจญภัยรอบสองเมื่อฝนเทลงมาและหลังคากันแดดของปะรำไม่อาจจะกันฝนได้ กว่าจะเสร็จเรื่องและกลับขึ้นเรือใหญ่ได้ทุกคนในคณะจึงพากันเปียกปอนกันไปถ้วนหน้า รวมทุกคนในคณะเรือผู้ว่าคงจะไม่ต่ำกว่า๕๐คน บังมาได้ยินทีหลังว่าหลายคนในคณะหัวเสียอย่างแรงที่การจัดการหละหลวม มีการเสนอความคิดให้เลิกล้มแผนเดิมที่จะเดินทางต่อไปที่หาดหอย แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏชัด เรือของท่านผู้ว่าฯก็เข้าคลองไปจนถึงหาดหอยเพื่อดูขบวนเรือ"ครูประชาบาล" การแข่งเรือและกิจกรรมอย่างอื่น

คลองที่หาดหอยนั้นค่อนข้างกว้าง จึงเหมาะสำหรับการแสดงของคณะครูและแข่งเรือยาว เมื่อเรือของท่านผู้วาฯมาถึง ก่อนที่การแสดงชุดเรือประชาบาลของคณะครูจะเริ่มขึ้น เรือของท่านผู้ว่าฯถูกห้อมล้อมด้วยเรือนาๆชนิดของบรรดาชาวบ้านผู้มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความอยากรู้อยากเห็น ทั้งเรือโดยสาร เรือผูกเพลง เรือแข่งและแม้กระทั่งพวกที่ลงไปแช่อยู่ในน้ำ ในจำนวนนี้มีเรือผูกเพลงลำหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ มากันสองคน หัวคนท้ายคน พายวนอยู่รอบๆเรือท่านผู้ว่าฯอยู่หลายรอบ เสียงผูกเพลงนั้นคงจะไม่มีผลอะไร เพราะท่านผู้ว่าฯและคณะญาติของท่าน(ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นสตรี)คงจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้ของโชว์ที่อยู่กลางตัวเรือนั้นมันไม่ต้องการคำบรรยาย เปํนอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ทำด้วยต้นหมาก ส่วนหัวเสริมด้วยศิลปะแกะสลักฝีมือเยี่ยมมาประกบ ส่วนที่ห้อยโตงเตงใช้มะพร้าวห้าวขนาดใหญ่สองลูก ส่วนท้ายคลุมด้วยรากไทรย้อยดำสนิท รวมแล้วกลายเป็นประฏิมากรรมชั้นยอดเยี่ยมที่สามารถสื่อความหมายจากคนทำไปยังคนที่เห็นได้อย่างไม่ตกหล่น

เพลงเรือชุด "ครูประชาบาล" ที่มีครูอิ้นและครูเพิ่มเป็นพ่อเพลงใหญ่ยังไม่ทันจบดี บรรดาผู้ที่มาร่วมงานต่างก็เห็นเรือของท่านผู้ว่าแล่นฝ่าเรือต่างๆออกไปทางทะเลสาบสงขลา หลายคนถามกันเองด้วยความสงสัยว่าทำไมท่านผู้ว่าจึงไม่รอดูเการแข่งเรือยาวก่อนกลับ...หลายคนบอกว่าคงจะเป็นเพราะฤทธิ์ปืนใหญ่ที่ทำจากต้นหมากในเรือผูกเพลง...

04 มีนาคม 2555

จริงๆแล้วมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

ตอนคนเราเพิ่งออกมาจากครรภ์ของมารดานั้นไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ออกมาตัวเปล่าๆไม่มีทรัพย์สินใดๆติดตัวออกมาทั้งสิ้น ที่ออกมาพร้อมๆกับพระขรรค์หรือหอยสังข์ก็เห็นมีแต่เฉพาะในนิทานเท่านั้น ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากออกมา ความแตกต่างก็เริ่มจะปรากฏ แล้วแต่ว่าบิดามารดาของทารกนั้นจะอยู่ในสถานะไหนในทางเศรษฐกิจและสังคม ทารกซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นจะถูกหุ้มห่อด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับอันเป็นวัตถุที่มีค่ามีราคาอันเป็นที่ยอมรับ และฐานะทางสังคมของบิดามารดาก็จะถูกถ่ายทอดไปยังทารกเช่นเดียวกันในทันทีที่ออกมาดูโลก

เมื่อทารกค่อยๆเจริญวัย ค่านิยมในทางวัตถุและสถานะทางสังคมจากรอบข้างก็ถูกถ่ายทอดเข้าไปทีละเล็กละน้อย จากสภาพที่มีแต่ความบริสุทธิ์ในจิตใจ ความเป็นตัวตน-ตัวเอง(self)ก็ค่อยๆเกิดขึ้น ความรู้สึกเป็นเจ้าของก็ค่อยๆตามมา การแสวงหาให้ได้มาก็เกิดขึ้น และในที่สุดก็กลายเป็นพลโลกอีกคนหนึ่งที่สืบทอดเอาความรู้สึกอันเป็นธรรมดาสำหรับคนทั่วๆไปเอาไว้ มีการแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบและล้างผลาญซึ่งกันและกันต่อไปเหมือนที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดูเหมือนว่าลักษณะทีว่านี้มีความเป็นสากล ไม่ว่าชาติไหนหรือภาษาไหนเหมือนกันหมด มากบ้างน้อยบ้างและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

ในเมืองไทยเรานั้นยิ่งเห็นได้ชัด คนธรรมดาๆสามารถที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ได้ร้อยแปดพันอย่าง เช่นเป็นครู เป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นพระ เป็นหะยี เป็นกำนัน และเป็นฯลฯ ต่างคนต่างสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่ตัวคิดว่าตัวเองเป็น หนักๆเข้าก็คิดว่าตัวเองผิดจากคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ได้อยู่ในสถานะที่กุมกลไกอำนาจที่สามารถจะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ เมื่อถูกยกย่องยอมรับก็เลยพลอยใหญ่ไปตามแรงหนุน หลายคนเมื่อได้เป็นเข้าแล้วเกิดความหลงและอยู่ในโลกใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะห่างไกลจากที่มาดั้งเดิมเมื่อตอนเกิดใหม่ๆออกไปทุกที โลกที่ประกอบขึ้นด้วยการมี การได้และการเป็นเจ้าของกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจจะแยกแยะ

เพื่อนฝูงของบังที่เคยคบหาเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมหรือมหา'ลัยก็ให้มีอันเปลี่ยนไปตามอาชีพ เป็นนายพล เป็นหมอ เป็นผู้พิพากษา เป็นคณบดี เป็นอธิบดี เป็นดอกเตอร์นักวิชาการ เป็นศาสตราจารย์ เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจใหญ่ และเป็นอะไรต่างๆที่ใครๆเขาถือว่าเป็นใหญ่เป็นโต ในบรรดาเพื่อนๆเหล่านั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งที่มองเห็นความจริงว่าทุกอย่างที่ไปเป็นเข้านั้นมันเป็นแค่ภาระหน้าที่ แต่ก็มีอยู่อีกไม่น้อยที่พลอยหลงเขื่องไปกับการได้ การเป็น และการมี การพบปะเจอะเจอกันอีกครั้งหนึ่งจึงต้องมีความระมัดระวัง ความเป็นกันเองแบบเมื่อครั้งเก่าก่อนนั้นอาจจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว เพราะสิ่งที่แต่ละคนกำลังพกพาและเป็นเจ้าของอยู่ในปัจจุบันมันทำให้ความรู้สึกของแต่ละคนเปลี่ยนไป


การแต่งตัวและประเพณีส่วนหนึ่งที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาก็มีไว้เพื่อการสนับสนุนที่จะสร้างความแตกต่างเพื่อผลอะไรบางอย่าง เช่นในศาลของบางประเทศในยุโรป คนที่เป็นผู้พิพากษาจะแต่งตัวค่อนข้างประหลาด ใส่ครุยรุ่มร่ามและครอบหัวด้วยวิกผมปลอม นัยว่าจะให้ดูขลังกว่าธรรมดา บ้านเราก็มีการลอกเลียนเอามาเป็นแบบอย่าง ผู้พิพากษาก็ใส่ครุยกะเขาด้วยทั้งๆที่ที่อากาศร้อนจะขาดใจ ถ้าใส่วิกเข้าด้วยก็คงจะกลายเป็นตัวตลกแทนที่จะขลัง มนุษย์เราหลอกกันเองหน้าด้านๆเพื่อหวังผลต่างๆด้วยการแต่งกาย

หากว่าเดินเข้าไปในสถานที่ราชการ ก็จะเห็นความพยายามของระบบและเจ้าหน้าที่ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างด้วยการแต่งกายทั้งในหมู่คนข้าราชการด้วยกันและรวมไปถึงคนที่ไปติดต่องาน ข้าราชการแต่ละชั้นจะมีการแต่งเครื่องแบบแตกต่างกันไปเพื่อบ่งบอกฐานะเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครเหนือกว่าใคร ทีไม่แต่งเครื่องแบบก็จะมีการแต่งตัวกันอย่างพิถีพิถัน ทั้งที่นิยมกันว่าสวยงามและที่แข่งกันว่าใครจะ"มี"มาแต่ง มาห้อยและมาแขวนประดับประดามากกว่ากัน...


... สมมติว่าหากมีสักวันหนึ่งเจ้าหน้าที่ศาลากลางจังหวัดทุกคนไปทำงานตัวเปล่าๆไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรภายนอกมาเป็นส่วนประกอบ คนที่ไปติดต่อราชการที่ไม่เคยเห็นใครในสำนักงานมาก่อนจะบอกได้ไหมว่าใครคือภารโรงและใครคือผู้ว่าฯ ...เมื่อแต่ละคนเหลือแต่ตัวเปล่าๆแล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรกันมากนัก...คนที่เคยถูกเรียกว่า"ท่าน"และมีคนหลีกทางให้ก็คงจะไม่มีอะไรเหลือที่จะเอาไว้แสดงฐานะอันจอมปลอมของตัวเอง...

09 มกราคม 2555

สตีฟ จอบส์ ตัวอย่างของคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง


ช่วงปลายปีที่แล้วใครๆก็คงจะได้ยินข่าวสตีฟ จอบส์(Steve Jobs)เสียชีวิตด้วยวัย๕๖ปีด้วยโรคมะเร็ง เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์และเป็นผู้นำที่ได้รับความเชื่อมั่นจากพนักงาน ผู้ถือหุ้น และสาธารณะชนอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการหวนกลับมาของเขาหลังจากที่เขาโดนคณะกรรมการบริหารชุดใหม่แย่งยึดอำนาจ และได้นำพาเอาบริษัทแอปเปิลซึ่งกำลังจะล้มละลาย ให้กลับกลายมาเป็นบริษัทในระดับที่มีมูลค่าสูงสุดของโลก มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตความเป็นมาของเขาทั้งด้านส่วนตัวและการงาน ที่น่ารับรู้และศึกษา

พ่อของจอบส์เป็นนักศึกษาชาวซีเรียซึ่งเดินทางมาเรียนปริญาเอกทางรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิสคอนซิลประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ศึกษาอยู่ ได้พบรักและแต่งงานกับแม่ของจอบส์ซึ่งกำลังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเดียวกัน พ่อแม่ทางฝ่ายหญิงซึ่งเป็นชาวแคทอลิคฝ่ายอนุรักษนิยมรับไม่ได้ที่ลูกสาวไปแต่งงานกับชาวมุสลิม เมื่อแม่ของจอบส์ตั้งท้องจึงได้ย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียร์ เมื่อคลอดจอบส์ แม่ของเขาได้ให้คนมารับลูกไปเลี้ยงผ่านสำนักงาน ซึ่งตามข้อตกลงต้องปิดเป็นความลับว่าใครคือพ่อแม่และใครคือคนที่รับเด็กไปอุปการะ ผู้รับอุปการะเป็นพ่อแม่บุญธรรมคือสองสามีภรรยานามสกุลจอบส์ จอบส์จึงได้ใช้นามสกุลนี้มาตั้งแต่นั้น ต่อมาแม่ของเขามีลูกสาวอีกคนหนึ่งก่อนแยกทางกับสามีชาวซีเรีย พ่อแม่บุญธรรมบอกเขามาตั้งแต่เด็กว่าเขาไม่ใช่ลูกที่แท้จริง และสิ่งนี้กลายเป็นปมด้อยในใจของเขามาตลอดว่าเขาเป็นคนที่พ่อแม่ไม่ต้องการ และเขาก็ไม่สนใจที่จะสืบเสาะหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงจนกระทั่งเขาอยู่ในวัยเบญจเพศ เขาได้ติดต่อพูดคุยกับผู้เป็นแม่และน้องสาว แต่ไม่เคยคิดที่จะติดต่อพูดคุยกับผู้เป็นพ่อ ซึ่งไปเปิดร้านอากหารอยู่ในซิลิกอนวอลเลย์ไกล้ๆกับที่ทำงานของจอบส์  ซึ่งจอบส์เองก็ไปกินอาหารที่นั่นหลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านที่เขาเคยคุยด้วยคือพ่อของเขาและพ่อของเขาก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าจอบส์เป็นลูก อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมติดต่อหลังจากที่รู้ เพราะเขาแค้นว่าเขาถูกพ่อทอดทิ้ง

พ่อแม่บุญธรรมของจอบส์ไม่ใช่คนร่ำรวยมีฐานะแค่พออยู่พอกิน เป็นลูกจ้างระดับล่างๆในบริษัทไฮเทค ซึ่งมีอยู่มากมายในละแวกเมืองที่เขาอยู่ ซึ่งเรียกกันว่าซิลิกอนวอลเลย์ในปัจจุบัน เนื่องจากมีบริษัทไฮเทคมากมาย แถมยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันที่มีชื่อเสียงสูงสุดแห่งหนึ่งของอเมริกา สภาพแวดล้อมและสังคมจึงเป็นแหล่งรวมของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และคนมีความรู้ในสาขาต่างๆมากมาย

ในช่วงทศวรรษ๑๙๗๐ ได้มีนวัตกรรมเกี่ยวกับไมโครโปรเซสเซอร์ จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่หนักเป็นตันและราคาเป็นล้านดอลลาร์ ตัวไมโครโปรเซสเซอร์ซึ่งได้รับการดีไซน์ลงไปบนแผ่นซิลิกอนซึ่งมีขนาดหัวแม่มือ สามารถที่จะใช้งานได้ในลักษณะเดียวกันกับเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและมินิ ถึงแม้ประสิทธิภาพจะด้อยกว่า แต่ราคาถูกกว่าและขนาดก็เล็กกว่ามาก ในระยะนั้นยังไม่มีบริษัทใหญ่ๆมองเห็นผลทางการค้าของตัวไมโครโปรเซสเซอร์เพราะเป็นยุคของเครื่องเมนเฟรมและมินิ มีแต่นักอีเลคทรอนิคส์สมัครเล่นที่ได้เอามาประกอบเป็นคอมพิวเตอร์ทำเล่นกันสนุกๆ มีการรวมกลุ่มกันของคนที่ชอบเหมือนๆกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และอวดเครื่องที่ตัวเองทำขึ้นต่อกันและกัน เนื่องจากหมู่บ้านที่จอบส์อยู่เต็มไปด้วยคนในวงการ จึงได้มีชมรมเกิดขึ้นและทำให้เขาได้รู้จักผู้ร่วมงานคนสำคัญคือสตีฟ วอซนิแอกหรือวอซในขณะที่เขายังเรียนอยู่ในชั้นมัธยม

วอซเป็นลูกชายของวิศวกรไฟฟ้า เขาเป็นคนฉลาด เรียนหนังสือดี และเป็นคนชอบเล่นอีเลคทรอนิคส์และมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ เขาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ด้วยตนเองและอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมปลาย ส่วนจอบส์นั้น ผลการเรียนก็แค่ผ่าน ไม่ได้มีทักษะอะไรมากมายในเรื่องอีเลคทรอนิคส์ แต่จอบส์เป็นคนช่างจินตนาการว่าเขาต้องการให้เครื่องมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรคือสิ่งที่ผู้ใช้ควรจะชอบและต้องการและอะไรจะขายได้ พูดง่ายๆก็คือจอบส์เป็นคนมีหัวเซ็งลี้ ในขณะที่วอซจะทำเล่นสนุกๆอย่างเดียว ในการประชุมของชมรมคราวหนึ่ง วอซเอาแผนทางไฟของดีไซน์อันใหม่ที่เขาทำไปแจกให้คนอื่นไปลองทำบ้าง จอบส์พยายามชักจูงให้วอซทำเป็นคิท คือขายอะไหล่พร้อมแผนทางไฟให้คนอื่นไปลองทำแทนที่จะแจกฟรีๆ

ทศวรรษ๑๙๗๐นับเป็นยุคก่อกำเนิดของคอมพิวเตอร์ที่เราเห็นกันทั่วไปในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ชนิดต่างๆตั้งแต่ชนิดตั้งโต๊ะ ตั้งบนพุง ตั้งบนตัก มือถือ และฯลฯ ทุกอย่างล้วนแต่อาศัยนวัตกรรมอันเดียวกันคือไมโครโปรเซสเซอร์ ในปี๑๙๗๕ นิตยสารPopular Electronics ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับชุดอุปกรณ์หรือที่เรียกกันว่าKIT สำหรับประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ ALTAIR8800 ทำโดยบริษัทMITS ซึ่งเพิ่งตั้งสดๆร้อนๆโดยวิศวกรคนหนึ่งในเมืองอะบูเคอกีรัฐนิวแมกซิโก นับเป็นครั้งแรกที่มีคนทำคอมพิวเตอร์ขาย เขาขายชุดอะไหล่ราคา๓๙๙ดอลลาร์ คนซื้อต้องเอามาประกอบเอง ตอนนั้นบังก็เป็นแฟนของวงการคนหนึ่งเหมือนกัน ติดตามอ่านนิตยสารทุกเล่มเกี่ยวกับอีเลคทรอนิคส์ ได้เห็นบทความนี้ในนิตยสารดังกล่าวที่ห้องสมุดมหา'ลัย อ่านแล้วก็ได้แต่ฝัน แถมยังถ่ายเอกสารมานอนฝันต่อ เงิน๘๐๐๐บาทในตอนนั้นมันเหลือกำลังมากนัก เครื่องไม่มีจอภาพ ไม่มีแม้กระทั่งคีร์บอร์ด ใส่โปรแกรมโดยการโยกสวิทที่หน้าเครื่อง การแสดงผลที่ออกมาเป็นการการพริบของLED

ในเวลานั้นจอบส์กำลังเรียนอยู่ที่รีดส์คอลเลจในรัฐออรีกอน เป็นช่วงขณะที่ฮิบปี้กำลังเฟื่อง กูรุจากเมืองแขกกำลังได้รับความนิยมพร้อมๆกับกัญชาและยากล่อมประสาทที่เรียกกันว่าLSD จอบส์เกิดเลื่อมใสศาสนาพุทธและปรัชญาตะวันออก เรียนได้ปีเดียวก็ออก เดินทางไปอยู่อินเดียพักหนึ่ง นัยว่าจะไแสวงหาสัจจธรรม และในช่วงขณะเดียวกันนั้นเอง บิลล์ เกตส์ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและพอล อัลเลนคู่หู ซึ่งหลงไหลในเรื่องซอร์ฟแวร์มาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม เห็นบทความเกี่ยวกับALTAIR8800ที่บังพูดถึงข้างต้น เกตส์และอัลเล็นมองเห็นสิ่งที่ไม่มีใครเห็นในตอนนั้น ว่าเครื่องALTAIR8800นี่แหละจะเป็นจุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ที่จะแพร่หลายในอนาคต เกตส์จึงลาออกจาการเป็นนักศึกษามาตั้งบริษัทไมโครซอร์ฟเพื่อเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกให้กับเครื่อง ซึ่งก็อยู่ได้ไม่นานเพราะบริษัทMITSเจ๊ง ไมโครซอร์ฟไปพบโชคเรื่องซอร์ฟแวร์ภายหลังกับบริษัทไอบีเอ็มที่ทำให้เขาเริ่มประสบความสำเร็จและทำให้ไมโครซอร์ฟกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ทางซอร์ฟแวร์ เกตส์เป็นคนเรียนเก่ง และการที่เขาตัดสินใจดร็อบจากฮาร์วาร์ดออกมาทำซอร์ฟแวร์นั้นนับว่าเขามองเห็นอนาคตและมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ สำหรับบ้านเราคงจะหาได้ยากมาก เพราะสภาพทางความคิดและค่านิยมต่างกันมาก

จอบส์กลับจากอินเดียก็มาหาวอซ ซึ่งเรียนได้นิดหน่อยแล้วดร็อบออกไปทำงานเป็นวิศวกรให้บริษัทHP เป็นที่น่าสังเกตุอย่างหนึ่งว่าในอเมริกานั้น บางครั้งในกรณีพิเศษเขาไม่ได้สนใจนักว่าใครจะเรียนอะไร จบอะไร จบหรือไม่จบ ถ้าหากว่าคนๆนั้นสามารถที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าเขามีความสามารถพิเศษอะไรบางอย่าง เรียนจบหรือไม่จบ หรือเรียนอะไรมาไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอให้มีความสามารถจริงๆเป็นใช้ได้ และคนส่วนนี้เองที่เป็นพลังผลักดันสำคัญของนวัตกรรมส่วนหนึ่งและอาจจะเป็นส่วนสำคัญเสียด้วยในอเมริกา ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมายตั้งแต่ไมเคิล เดลล์ของบริษัทเดลล์คอมพิวเตอร์ บิลล์ เกตส์แห่งบริษัทไมโครซอร์ฟ สตีฟ จอบส์แห่งแอปเปิ้ล ลารี อาลิสสันแห่งออราเคิล คนพวกนี้ไม่มีใครเรียนจบปริญญาตรีสักคน ซึ่งเช่นเดียวกับอาเสี่ยมากมายในเมืองไทยที่ไม่ได้ร่ำเีรียนอะไรมามากนัก แต่สามารถจ้างคนจบเรียนจบสูงๆมากมายมาไว้รับใช้ พวกมีการศึกษาดีๆจึงมักจะกลายเป็นขี้ข้า ทั้งข้าราชการและข้าคหบดี

จอบส์มองเห็นอนาคตของของเล่นชิ้นใหม่ จึงชวนวอซออกมาทำคอมพิวเตอร์ขาย วอซก็เหมือนกับคนทั่วๆไป ทำงานให้กับHPก็สามารถเลี้ยงตัวได้อยู่แล้ว เรื่องอะไรต้องออกไปเสี่ยง แต่ก็ทนจอบส์รุกเร้าไม่ได้ จึงอาสาที่จะออกแบบเครื่องให้นอกเวลา เริ่มต้นทำกันในโรงรถที่บ้านของพ่อของจอบส์ ปรากฏว่าขายดิบขายดีทำไม่ทัน บริษัทแอปเปิลจึงเกิดขึ้น จอบส์และวอซกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านในขณะที่อายุแค่ยี่สิบกว่าๆ ในขณะที่วอซมีอัฉริยภาพในทางวิศวกรรม จอบส์ก็มีอัฉริยภาพในการมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นและสามารถที่จะโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้มาร่วมงานและมีความหวังและเชื่อมั่นในความเป็นไปได้ของสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน  ในขณะที่แอปเปิลกำลังโตอย่างก้าวกระโดดนั้น จอบส์มองเห็นว่าต้องหาฝ่ายการตลาดที่มีความสามารถสูงมานำและจัดการ เป้าหมายของจอบส์คือจอห์น สกัลลีย์ผู้นำของบริษัทเป็ปซี สกัลลีย์เป็นคนเก่งที่มาสายตรง คือเรียนจบมาทางบริหารธุรกิจจากสถาบันที่มีชื่อเสียงและมีผลงานดีเด่น สกัลลีย์ไม่จำเป็นต้องมาแอปเปิลก็มีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว เป็ปซีเป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก กำไรสูงและค่าตอบแทนสำหรับสกัลลีย์นั้นเป็นจำนวนหลายสิบล้านต่อปี แต่ท้ายที่สุดสกัลลีย์ทนคำท้าทายของจอบส์ไม่ได้...คุณจะขายน้ำหวานจนกระทั่งวะระสุดท้ายของชีวิต หรือคุณจะมาร่วมงานกับแอปเปิลและมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ...

จอบส์เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก เขามีความเชื่อของเขาที่ไม่มีใครอาจจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาจะนำเสนอให้ตลาดต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และผู้ใช้สินค้านั้นไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจนกระทั่งเขาเห็นสินค้านั้นๆ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตที่ต้องนำเสนอสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่สุด เขาจะปฏิเสธดีไซน์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถูกนำเสนอ ถ้าหากว่ามีอะไรแม้กระทั่งเล็กน้อยที่ไม่สบอารมณ์ของเขา ดังนั้นจึงมีอยู่เป็นประจำที่เขาขัดกับผู้นำรายใหม่ที่เขาจ้างเข้ามาคือสกัลลีย์ สกัลลีย์เป็นคนที่แคร์กับรายได้เฉพาะหน้าเหนือสิ่งอื่นใด แต่จอบส์จะไม่ยอมนำสินค้าใหม่ออกมาหากเขาเห็นว่ามันยังไม่ดีพอ เนื่องจากแอปเปิลเป็นบริษัทมหาชน คณะกรรมการบริหารภายใต้การนำของสกัลลีย์จึงเขี่ยให้จอบส์พ้นตำแหน่งสำคัญ จอบส์ผิดหวังมาก และลาออกจากแอปเปิลในที่สุด เขาขายหุ้นของเขาจนหมดด้วยความแค้น แล้วไปตั้งบริษัทคอมพิวเตอร์ใหม่ชื่อเน็กซ์ ซึ่งประสบกับภาวะขาดทุนมาตลอด จนกระทั่งเขาไปมีส่วนร่วมในบริษัทพิกซ่าร์ จึงค่อยประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

แอปเปิลภายใต้การนำของสกัลลีย์ก็ต้องประสบกับภาวะขาดทุนอย่างหนักหลังจากจอบส์จากมาไม่นาน และผลสุดท้ายสกัลลีย์ก็พ้นจากการเป็นผู้นำที่แอปเปิล ในขณะที่แอปเปิลกำลังจะล้มละลาย ผู้บริหารในขณะนั้นตัดสินใจซื้อบริษัทเน็กซ์เพื่อที่จะเอาจอบส์กลับมา ภายใต้การนำของจอบส์ในช่วงหลังของทศวรรษ๒๐๐๐ แอปเปิลนำเสนอสินค้าใหม่ที่กลายเป็นสินค้ายอดนิยมในปัจจุบัน ตั้งแต่คอมพิวเตอร์ ไอพ็อด ไอโฟน และไอแพ็ด แอปเปิลได้ฟื้นกลับกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อีกครั้งหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์

เคล็ดลับสำคัญอย่างหนึ่งในการประสบความสำเร็จของจอบส์ก็คือ เขาไม่ใช่คนมักมากในทรัพย์สินสมบัติ เขาทำในสิ่งที่เขารักที่จะทำและมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ความร่ำรวยไม่ใช่จุดประสงค์ของเขาและเขาถือว่ามันเป็นเพียงผลพลอยได้ อุปนิสัยที่โผงผางไม่เกรงใจใครของเขาสร้างความกระอักกระอ่วนไม่พอใจให้คนรอบข้างมากมาย แต่ก็มีคนรอบข้างอีกมากมายเช่นเดียวกันที่มองเห็นว่าหากไม่ใช่ความเป็นตัวของตัวเองและการมองโลกไม่เหมือนคนอื่นของเขา ก็ไม่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นสินค้ายอดนิยมซึ่งใครๆพากันเลียนแบบ ให้ชาวโลกได้เห็นอย่างที่เห็น