09 ธันวาคม 2555

2012 Apocalypse

ใครๆก็คงจะเคยได้ยินเรื่องคำทำนายว่าโลกจะมาถึงกาลอวสานเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทั้งที่กำหนดวันโลกแตกที่ว่าได้ผ่านพ้นไปแล้วและที่กำลังจะมา ได้ยินกันจนเบื่อแล้วก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นเสียที ยิ่งระยะนี้วันสิ้นสุดของปฏิทินของพวกมายา- อารยธรรมที่ล่มสลายของอเมริกาใต้กำลังจะมาถึง เมืองไทยเราดูเหมือนจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษสำหรับข่าวทำนองนี้ เพราะบ้านเราเป็นศูนย์รวมของอภินิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์นาๆชนิด พวกที่เชื่อก็ขู่พวกที่ไม่เชื่อว่าอย่ามายุ่งและลบหลู่หากไม่อยากมีเรื่อง จึงเป็นเรื่องปกติที่โหรชาวไทยสามารถทำนายทายทักได้ในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่โชคชะตาราศี ผูกดวงหมา ดวงคน ดวงบ้านดวงเมือง พยากรณ์อากาศ แผ่นดินไหว ไปจนถึง ผูกดวงโลก ดวงจักรวาล ดวงพหุจักรวาลและฯลฯ ซึ่งสรุปได้ว่าเดาได้ทุกเรื่องอย่างหน้าด้าน บังไม่ขอร่วมขบวน แต่อยากนำเสนอข้อคิดบางประการที่ความเป็นมาในอดีต สถานการณ์ปัจจุบัน และกฏเกณฑ์พื้นฐานที่สุดของธรรมชาติ อาจจะเป็นตัวบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

ถ้าหากจะยกเอากำเนิดของสิ่งสำคัญๆบนถนนแห่งกาลเวลาโดยประมาณมาเรียงลำดับ จะเห็นได้ว่าเราทุกคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติและการเปลี่ยนแปลง
  • กำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเมื่อ 2,100,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดชาติพันธุ์มนุษย์เมื่อ 15,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดบรรพบุรุษคนในปัจจุบันเมื่อ 200,000 ปีมาแล้ว
  • เกิดอารยะธรรมเมื่อ 6,000 ปีมาแล้ว
  • อุตสาหกรรมเมื่อ 300 ปีมาแล้ว
  • รถยนต์เมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • ไฟฟ้าเมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • เครื่องบินเมื่อ 100 ปีมาแล้ว
  •  เข้าใจจุลจักรวาลและมหาจักรวาล (quantum mechanics and relativity) เมื่อ 100ปีมาแล้ว
  • TVเมื่อ 70 ปีมาแล้ว
  • PCเมื่อ 35 ปีมาแล้ว
  • Cellphoneเมื่อ 30 ปีมาแล้ว
  • Internetเมื่อ 25 ปีมาแล้ว
  • ประชากรโลก ปี คศ 1800 มี800 ล้านคน
  • ประชากรโลก ปี คศ 2010 มี8,000 ล้านคน
จากวิถีแห่งกาลเวลา จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แทบทุกอย่างทั้งทางเทคโนโลยีและสังคมเพิ่งมาเกิดขึ้นในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา อัตราการบริโภคทรัพยากรของแต่ละคนในยุคปัจจุบันสูงมากยิ่ง ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคที่เกินไปจากปัจจัยสี่ เพื่อที่จะเกื้อหนุนระบบเศรฐกิจโลกที่ต้องการให้บริโภคมากขึ้นอย่างไม่จำกัดและไม่สิ้นสุดเพื่อเกื้อหนุนการขยายตัวและอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจที่ต้องการตัวเลขการเติบโตทางด้านบวกอยู่อย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างที่เราเห็นในชีวิตประจำวันคือผลแห่งการผลักดันด้วยกลไกของระบบ เป็นระบบที่ยังไม่มีใครรู้ชัดว่ามันจะจบหรือคลี่คลายไปเช่นไร แต่ใครๆก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่โตอย่างไม่มีจุดจบ เมื่อมีการเกิด แล้วจะมีการโต แล้วก็มีการตายในที่สุด ถ้ามองระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีชาติพันธุ์มนุษย์หรือ๑๕ล้านปี เทียบกับช่วงระยะเวลาที่มนุษย์รู้เริ่มรู้จักอุตสาหกรรมและเผาผลาญทรัพยากร จะเห็นคล้ายกับว่าเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว จะเป็นยุคที่มนุษย์จะทำลายสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่และในที่สุดจะเป็นการทำลายชาติพันธุ์ของตัวเองไหม? ตัวอย่างเช่นปัญหามลภาวะและโลกร้อน กว่าจะรู้ตัว การเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมก็อาจจะสายเกินแก้เสียแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะควบคุมได้และใช้เวลาหลายชั่วอายุคนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข

วันก่อนเห็นบทความในScientific Americanพูดถึงผลงานวิจัยล่าสุดชิ้นหนี่ง เขาบอกว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นระบบนิเวศน์วิทยาที่มหัศจรรย์ยิ่ง มีแบคทีเรียมากมายที่อาศัยร่างกายของคนเป็นที่อยู่ และจากการศึกษาพบว่าพวกมันถือว่าร่างกายของมนุษย์น้้นคือบ้านที่มันต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันอยู่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและจุลินทรีย์ที่ทำอันตรายต่อระบบ หากรวมจำนวนเซลล์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย(ระบบหมุนเวียน)แล้ว แบคทีเรียจะมีจำนวนมากกว่าเซลล์ของร่างกายถึง๑๐ต่อ๑ ทั้งนี้อาจจะอยู่ในลักษณะคล้ายๆกันกับความพยายามของคนจำนวนหนึ่งที่พยายามจะจัดการกับภาวะแวดล้อมของตัวเอง ที่ต่างกันก็คือ "โลก"ของสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่มีขนาดต่างกัน แต่ถ้าเทียบตามอัตราส่วนของขนาดของแบ็คทีเรียกับต้วคน และตัวคนกับขนาดของโลก ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
พูดถึงการบริโภคเกินความจำเป็น เดี๋ยวนี้เห็นชัดมากที่บ้านเรา หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนเกินขนาด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กินกันเกินความจำเป็น กินอาหารสำเร็จรูปที่เขาทำได้กระตุ้นความอยากโดยเฉพาะ เสร็จแล้วใช้เครื่องทุ่นแรงเกินความจำเป็น ไม่ค่อยยอมออกแรง ไม่มีใครค่อยจะยอมเดินไม่ว่าใกล้หรือไกล กระบวนการวิวัฒนาการของร่างกายที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องเป็นพันเป็นหมื่นปีมาเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันในเวลาแค่๕๐ปี อีกไม่นานคนคงจะเดินกันไม่ได้ แขนขาคงจะค่อยๆลีบไปเพราะไม่ได้ใช้งาน อาจจะต้องกระถดหรือกลิ้งออกจากบ้านในอีกไม่กี่ชั่วอายุคน...และอีกหลายล้านปีคนอาจจะงอกล้อออกมาแทนตีนตามทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ... คงจะได้หรอยกันใหญ่

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17/12/55 16:16

    จำนวนคนเพิ่มขึ้น 34.2ล้านคนต่อปีในขณะที่แผ่นดินเท่าเดิมต่อไปตึกสูงต้องเพิ่มขึ้นมากมายต่อไปน้ำท่วมบ่อยเพราะเอาทางน้ำไปทำบ้านจัดสรรกันหมดพอตึกสูงสร้างกันเต็มพื้นที่ต่อไปก็ต้องปรับภูเขาไปถมที่ในทะเลเพื่อเพิ่มพื้นดินรองรับคนที่เพิ่มมากขึ้นเวลาเกิดสึนามิคนจะตายกันมากกว่านี้ต่อไปมีการออกกฎหมายหญิงก็ได้ขายก็ดีมีแค่หนึ่งเพื่อลดจำนวนคนให้น้อยลง นักวิทยาศาตร์ก็สำรวจดาวดวงอื่นในจักรวาลอพยพคนไปสู่ดาวดวงอื่นๆถ้าใครได้ไปบอกผมมั่ง

    ตอบลบ