10 มกราคม 2554

ที่นี่และที่นั่น เมื่อเดือนสิงหาฯ ๒๕๕๓ (ตอนจบ)


เช้านี้เเราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อที่จะไปออดิตโรงงานผลิตเฟอร์ไรท์ที่เมืองดงยางซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเซี่ยงไฮ้ประมาณ๓๐๐กม ระหว่างทางเราจะผ่านเมืองสำคัญอีกเมืองหนึ่งของจีนชื่อเมืองหางโจวหรือหังโจว เชี่ยงไฮ้และหังโจวอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ทั้งสองเมืองเป็นเมืองใหญ่ แต่มีความเป็นมาและเจริญรุ่งเรืองในคนละด้านและคนละยุค เชี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าที่มาโด่งดังมากเมื่อสมัยชาวยุโรปมาล่าอาณานิคม ส่วนหังโจวนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก่อนหน้านั้นและนับเป็นเมืองที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคต้นๆของจีน

เมืองเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตรงกึ่งกลางระหว่างส่วนเหนือและใต้ของแผ่นดินจีนทิศเหนือติดบริเวณปากแม่น้ำแยงซี ทิศใต้เป็นอ่าวหังโจว ตะวันตกติดมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียง ตะวันออกเป็นทะเลตงไห่ ใจกลางเมืองกว้างใหญ่การคมนาคมขนส่งสะดวกรวดเร็ว เป็นท่าเรือออกสู่ทะเลที่สำคัญของประเทศ และเป็นศูนย์กลางของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจลุ่มน้ำแยงซี อยู่ในเขตมรสุมร้อนเอเชียเหนือ แบ่งเป็น 4 ฤดูชัดเจน และมีปริมาณฝนและแสงแดดที่เพียงพอ ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงระยะเวลาค่อนข้างสั้น ฤดูหนาวและร้อนค่อนข้างยาวนาน อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 17.6 องศาเซลเซียส

หังโจวเป็นเมืองหลวงของมณฑลเจ้อเจียง เมืองหังโจวเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน โดยมี ประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 2,100 ปี และยังถูกกล่าวไว้ใน บทกวีหลายบทที่แต่งขึ้น สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความงามอันหลากสีสันของเมืองหังโจว แต่จากเหตุการณ์ "กบฎไท่ผิง" (ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19) ทำให้ เมืองที่สวยงามนี้ถูกทำลายแทบจะไม่เหลือร่องรอยของเมืองที่เคยมีนามก้องโลกให้หลงเหลืออยู่เลย มณฑลเจ้อเจียงมีพื้นที่ 101,800 ตารางกิโลเมตร  มีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 45 ล้านคน จัดว่าเป็นหนึ่งในมลฑลที่เล็กที่สุดของ เมืองจีน แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่ทาง ตอนเหนือโดยนับจากดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี  ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของเมืองหังโจว พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแม่น้ำ คลองและทะเลสาบ ส่วนพื้นที่ทางตอนใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา ส่วนสินค้าหลักที่ส่งออกและเป็นที่นิยม คือ ผ้าไหมและใบชา เมืองหังโจวตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา มีทะเลสาปซีหู (ห้ามผวนเด็ดขาด) ตั้งอยู่ ใจกลางเมือง ส่งผลให้เมืองหังโจว มีภูมิอากาศที่ดี อากาศจะเย็นสบายและฝนตกบ่อย ช่วงอุณหภูมิที่ดีที่สุด คือ ราวๆเดือนเมษายนจนถึง เดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิในช่วงกันยายนถึงเดือนพฤษจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง

อาลันและคนขับรถของเขามารับบังและสตีฟตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เขาบอกว่าสถานีรถไฟอยู่ห่างจากโรงแรมพอดู หากไม่รีบออก เราอาจจะไปไม่ทันรถไฟเพราะรถติดเนื่องจากเป็นเช้าวันจันทร์ ขนาดว่าออกเช้า เราไปถึงสถานีเอาเมื่อ๑๕นาทีก่อนรถไฟออก ดีที่อาลันจองตั๋วไว้ล่วงหน้า เราจึงใช้เวลา๑๕นาทีที่มีเบียดเสียดกับชาวจีนนับพันที่สถานีเพื่อเข้าไปที่ขบวนรถ รถไฟมีสามชั้น อาลันจองตั๋วชั้นหนึ่ง บังจึงไม่มีโอกาสที่จะสำรวจข้างในของชั้นสองหรือชั้นสามว่าพอจะสูสีกับรถไฟไทยได้หรือเปล่า จำได้ว่าสมัยก่อนบังต้องยืนหรือนั่งที่ข้อต่อเป็นประจำเวลาไปกรุงเทพฯเพราะรถเต็ม ไม่ได้เข้าไปดูแต่ก็เห็นสภาพจากข้างนอกว่าไม่แตกต่างจาก ร.ฟ.ท.นักเนื่องจากบังต้องเดินจากท้ายขบวนไปยังหัวขบวนซึ่งเป็นที่ขึ้นสำหรับชั้นหนึ่ง ทั้งทางเดิน และทางขึ้น และข้างในตัวรถดูจะมีความโกลาหลวุ่นวายขนาดหนัก เสียงจอแจล้งเล้งดังไปทั่งบริเวณกลบสรรพสำเนียงอื่นๆทุกอย่างหมด เราสามคนวิ่งบ้างเดินบ้างมาจนถึงขบวนหน้าสุดเอาเมื่อประมาณสองนาทีก่อนกำหนดเวลารถออก แต่ก็ดูเหมือนว่าคงจะออกไม่ได้แน่นอนเพราะคนจำนวนหนึ่งกำลังแย่งกันขึ้นรถอยู่ที่ชั้นสองและชั้นสาม หลังจากเราขึ้นรถและจัดเก็บสัมภาระกันเรียบร้อย จึงมีโอกาสสำรวจสภาพของตู้ชั้นหนึ่ง กลับกลายเป็นว่ามีที่นั่งว่างอีกอย่างน้อย๖-๘ที่นั่ง ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอเมริกัน มีชาวจีนอยู่แค่ไม่เกิน๑๐คน คงจะแน่นอนหละ ค่าโดยสารมันคงจะสูงกว่าชั้นสองและชั้นสามมาก ลืมถามอาลันถึงค่าโดยสารที่เขาจ่าย ก็เลยอดที่จะรู้ พอรถออกก็มีการเสิร์ฟอาหารว่างและเครื่องดื่ม เนื่องจากเป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ภายในตู้โดยสารจึงค่อนข้างเงียบ ความเร็วกว่า๑๖๐กมต่อชั่วโมงในบางช่วง ในเซี่ยงไฮ้ยังมีรถไฟอีกสายหนึ่งซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เรียกกันว่าbullet trainเปิดวิ่งเป็นการทดลองมาหลายปีแล้วระหว่างตัวเมืองและสนามบินปูดอง มีความเร็วกว่า๔๐๐กมต่อชั่วโมง เวลาวิ่งตัวรถไฟทั้งขบวนถูกยกขึ้นลอยอยู่เหนือรางด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อลดความเสียดทาน ไม่มีส่วนใดเลยของรถที่สัมผัสกับราง อาลันได้พาบังและสตีฟไปลองนั่งก่อนบินออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้สองวันต่อมา

รถไฟไม่ได้ผ่านเมืองที่เราจะไป จึงจำเป็นต้องไปลงที่เมืองใกล้ๆแทน เมืองดงยางที่เราจะไปกันนั้นอยู่หางสถานีรถไฟออกไปอีกราวๆ๖๐กม เราไปถึงสถานีก่อนเที่ยงเล็กน้อย นัดกับทางโรงงานไว้อย่างดิบดีว่าจะส่งรถมารับที่สถานี รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นใครมารับ อาลันพยายามโทรศัพท์ติดต่อ ทีแรกทางโรงงานบอกว่าคนขับรถได้ออกมาแล้ว กำลังจะมาถึงสถานี รออีกครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็นมา อาลันติดต่อกลับไปอีก คราวนี้ได้รับคำตอบมาว่า เกิดการผิดพลาด ไม่ได้มีการส่งใครมารับ อาลันชักพื้นเสียเลยเรียกแท็กซีมา นั่งแท็กซี่กันไปได้สัก๑๐นาที ทางโรงงานก็โทรมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่บอกว่ารถออกมาแล้วแต่มายางแตกกลางทาง ตอนนี้ได้ส่งรถคันใหม่ออกมาแล้ว ให้ลงจากแท็กซี่รออยู่ข้างทาง ตอนนี้ฝ่ายเรารู้ชัดแล้วว่าทางโรงงานโกหกเราเข้าให้แล้วอย่างหน้าด้านๆ อาลันปฏิเสธที่จะเชื่ออีกต่อไปยืนยันจะนั่งแท็กซี่ไปจนถึง เราพอจะเดากันออกแล้วว่าคนที่รับปากเรื่องการไปรับที่สถานีนั้นสุดชุ่ย ไม่ได้จัดการอะไรเลย พอรู้ตัวก็กลัวความผิดจากเบื้องบน พยายามที่ระแก้ตัวต่างๆนาๆ ซึ่งก็สมควรที่จะกลัวเจ้านายกระทืบอยู่หรอกอยู่หรอก เพราะมูลค่าของธุรกิจใหม่ที่จะได้มีจำนวนหลายสิบล้านบาทต่อปี

ความจริงแล้วโรงงานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทยักษ์รายหนึ่งของภาคพื้นแถบนี้ซึ่งคล้ายๆกับกิจการของท่านทักษิณบ้านเรา คือเอามันทุกอย่างที่ขวางหน้า เศรษฐกิจของเมืองดงยางแทบทุกอย่างจึงแทบจะถูกผูกขาด ตั้งแต่ร้านค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิง โรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรมนาๆชนิด ต่างก็ตกอยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทนี้ ด้วยเหตุที่ละแวกนี้เรียกกันว่า Chinese Hollywood หรือเมืองสร้างหนังของจีน สภาพเมืองจึงเป็นเมืองท่องเที่ยวในขณะที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมในขณะเดียวกัน เมื่อเราไปถึง ผู้อำนวยการฝ่ายโรงงานอุตสาหกรรมออกมาต้อนรับเราด้วยตัวเอง ผู้บริหารฝ่ายขายตัวแสบที่ละเลยหน้าที่ขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีกจนน่ารำคาญ บังคันปากจะบอกให้โขกศีรษะกับพื้นแบบในหนังจีนขอโทษ แต่ก็ระงับเอาไว้ บอกว่าให้จัดการส่วนที่เหลือให้ดีก็แล้วกัน  เราถูกนำไปพักที่โรงแรมระดับ๕ดาว ซึ่งแน่นอนหละ เป็นโรงแรมของบริษัท สำหรับวันนี้ค่อนข้างจะสายไปแล้วสำหรับการออดิตโรงงาน โปรแกรมช่วงบ่ายจึงเป็นรายการตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟขนาด๑๘หลุมซึ่งเป็นของบริษัทอีกตามเคย ตกค่ำก็ไปกินอาหารเย็นที่พัตตาคารใหญ่ของบริษัท ติดตามด้วยคาราโอเกะที่สถานคาราโอเกะของบริษัทซึ่งบริการโดยสาวๆที่เป็นลูกจ้างของบริษัท

สำหรับการออดิตโรงงานนั้นบังคิดว่าคงจะไม่มีอะไรน่าสนใจที่จะนำมาเล่าที่นี่ จึงขอตัดออกและผ่านไป เริ่มจากที่นี่ บังเริ่มท้องเสีย ยาก็ลืมเอาไป ยาที่อาลันซื้อมาให้จากร้านหมอตี่ก็กินแล้วไม่ได้ผล ตลอดทั้งอาทิตย์หลังจากนั้น บังท้องเสียตลอด ไปถึงโรงงานไหนก็ต้องขอเข้าห้องน้ำเขา นอกจากห้องน้ำในโรงแรมแล้ว ห้องน้ำทุกหนทุกแห่งในเมืองจีนนั้นสกปรกพอๆกัน ทุกครั้งที่บังไปตรวจโรงงานที่จีน บังจะให้คะแนนห้องน้ำด้วย เหตุผลก็คือหากเขาไม่สามารถรักษาความสะอาดและระเบียบของห้องน้ำได้ ก็เป็นที่น่าสงสัยในการควบคุมมารตรฐานของสินค้าด้วย ระเบียบวินัยนั้นมันอยู่ในทุกเรื่อง หากหละหลวมได้ในเรื่องหนึ่ง เรื่องอื่นๆก็จะหละหลวมได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้โรงงานหลายแห่งจึงถูกบังรีเจ็ค ก็ไม่ใช่ว่าจะแกล้งหาเรื่อง แต่มันสกปรกได้ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานจริงๆ ชนิดไม่มีน้ำราด ไม่มีกระดาษชำระ และไม่ได้มีการทำความสะอาดหลายๆวัน จินตนาการเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นอย่างไร ขนาดคนท้องเสียวิ่งเข้าไปหวังปลดทุกข์ ก็ให้มีอันต้องหายจากทุกข์เป็นปลิดทิ้ง เพราะมีทุกข์อันใหม่ที่หนักกว่าหากจำเป็นต้องนั่งปลดทุกข์ในห้องน้ำที่ว่า หลายคนบอกบังว่าในเมืองจีนเขาไม่อยากให้คนอยู่ในห้องน้ำนานๆ เขาจึงทำเช่นนั้น แต่บังไม่อาจที่จะบริโภคคำอธิบายดังกล่าวได้

จนกระทั่งถึงกำหนดที่ต้องบินออกจากเมืองเซี่ยงไฮ้ไปยังเมืองเซินเจ้น (Shenzhen)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ไกล้ๆกับฮ่องกง บังก็ยังคงมีอาการท้องเสียอยู่เหมือนเดิม เราไปถึงสนามบินปูดองเมืองเซี่ยงไฮ้กันตอน๖โมงกว่า เครื่องบินจะออกตอน๒ทุ่ม ขณะนั่งรอขึ้นเครื่อง ท้องบังก็อ้อนวอนขอไปห้องน้ำ บังก็นึกในใจว่าคงจะพอนั่งได้ สนามบินเป็นที่ๆคนนาๆชาติมาใช้ คงจะได้มาตรฐานสากลในด้านความสะอาด เมื่อบังโผล่ผ่านประตูห้องน้ำชั้นนอกเข้าไป ไม่เห็นมีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มีเศษกระดาษชนิดต่างๆกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบนพื้น มีกลิ่นชนิดที่จมูกไม่ต้องการ มีกองอุจจาระอยู่หลายที่ในห้อง บังแข็งใจเดินเข้าไปตรวจดูห้องส้วมว่าพอจะอาศัยทำธุระได้ไหม เห็นห้องแรกก็ต้องผงะ อุจจาระเรี่ยราดอยู่ทั่วไป ไม่เฉพาะแต่ในโถส้วมแต่รวมทั้งบนพื้น กระดาษชำระไม่มีเหลือ และทำไมไม่มีใครราดน้ำก็ยากที่จะเข้าใจ ชะโงกเข้าไปดูอีกหลายๆห้องก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ทุกข์ของบังจึงหายเป็นปลิดทิ้ง ต้องรอจนกระทั่งได้ขึ้นเครื่องจึงได้อึสมใจกลางอากาศ

ทุกข์เรื่องขี้ๆยังไม่หมด เมื่อมาถึงสนามบินเมืองเซินเจิ้น พนักงานขับรถจากโรงงานของบริษัทของอาลันสาขาเซินเจิ้นก็มารับ อาลันเกิดหิวข้าว บังก็ปวดท้องขี้ขึ้นมาอีกรอบ เราเลยหยุดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งก่อนจะถึงโรงแรม ซึ่งมีสภาพเหมือนร้านอาหารห้องแถวบ้านเรา โต๊ะที่เรานั่งอยู่หน้าห้องน้ำพอดี ใครก็ไม่รู้ทำธุระอยู่ข้างใน อาลันสั่งอาหารแบบที่เขาแขวนไว้ในตู้ จึงมาค่อนข้างไว อาหารมาถึงโต๊ะ บังจึงได้เข้าห้องน้ำ คนที่เพิ่งออกมา พอออกมาพ้นประตูแล้วเดินลิ่วไม่เหลียวหลังออกจากร้านไป บังเข้าไป...ตายห่า...มันไม่ราดน้ำอีกแล้ว น้ำในถังก็หมด เปิดก็อกก็ไม่มีน้ำ...เวรกรรม..กลิ่นเริ่มโชยออกมา อาลันร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอรู้ความก็เอ็ดตะโรให้เจ้าของร้านมาจัดการ ทำเสร็จบังก็เข้าไป กระอักกระอ่วนเต็มที เกรงใจพรรคพวกที่กำลังกินอยู่ เราก็ท้องเสียจะทำให้มันไม่มีเสียงก็ไม่ได้ ห้องน้ำก็ดันมาอยู่ติดกับโต๊ะอาหาร ประตูก็ปิดได้ไม่สนิท ผนังส้วมก็แค่สูงกว่าศีรษะเล็กน้อย ...เฮ้อ...เมืองจีน

ตะลอนๆอยู่เกือบสองอาทิตย์ ไปเมืองเล็กเมืองน้อยในมณฑลกวางตุ้ง เสร็จงานกลับมาเมืองไทย แต่ก็หลังจากไปแวะที่มาเลย์เซียเสียอีกสามสี่วัน ดูโรงงานที่กัวลาลัมเปอร์ต่อ แล้วเข้ามาหาดใหญ่ทางด่านจังโหลน หลายวันค่อมาบังได้คุยกับเกลอเก่าที่พัทลุง ซึ่งเขาเคยได้ทุนจากรัฐบาลไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยหางโจวหลายปี เขาเล่าให้ฟังว่าเรื่องขี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับคนจีน เขาอยู่กันมาอย่างนั้นจนเคยชิน ตามชนบทบางแห่งหากใครมาขี้ไว้ในที่ของเขา เขาจะดีใจด้วยซ้ำไปที่จะได้ใช้เป็นปุ๋ย...สงสัยมันจะจะโม้เรื่องขี้แล้วใส่ไข่...มีแต่บังได้ยินมาว่าไม่ว่าที่ไหนในโลก ใครขืนไปขี้หน้าบ้านคนอื่นมีหวังโดนตึ๊บสถานเดียว...

เนื่องจากสตีฟมาขึ้นเครื่องที่หาดใหญ่เข้ากรุงเทพฯก็เลยต้องนอนโรงแรมที่หาดใหญ่เสียสองคืนเพราะต้องเป็นธุระพาเขาเที่ยวสงขลาเสียนิดหน่อย กว่าบังจะได้กลับถึงหนำที่แม่ทอมก็อีกสองวันถัดมา สั่งให้น้องบ่าวแหละหมู(ใช่แล้วแขกแม่ทอมกินหมู)และชวนพรรคพวกญาติโยมมาสังสรรค์กัน คราวนี้เน้นที่เด็กและผู้หญิง เพราะเลี้ยงทีไรมักจะมีแต่ของเมาๆเด็กๆและสาวมากสาวน้อยทั้งหลายจึงไม่ได้พลอย จนแล้วจนรอดบังก็กลับมาเจอคาราโอเกะเข้าให้อีกจนได้หลังจากเจอมาแล้วห้าครั้งในการเดินทางคราวนี้ เพราะน้องบ่าวมันบอกว่าถ้าไม่มีคาราโอเกะ พวกบ่าวๆสาวๆหลายๆคนอาจจะลงแดงตายเพราะไม่ได้ร้องเพลง ตกลงก็ไม่ได้คุยอะไรกันสักเท่าไหร่เพราะพูดกันไม่ได้ยิน













1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ31/1/54 15:13

    ขี้ที่ห้องส้วมของจีนถ้าเปรียบเทียบกับขี้ที่ส้วมบ้านพักครูหลังแรกของโรงเรียนบ้านแม่ทอมพอจะวัดกันได้หรือเปล่าว่าขี้ที่ส้วมไหนมีมากกว่ากัน..5555ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้วบ้านพักก็ถูกรื้อถอนไปแล้วแต่ยังหามือขี้ไม่เจอ..55555ปล่อยให้เป็นตำนานไปเถอะ

    ตอบลบ