28 กุมภาพันธ์ 2553

แป๊ะเซี่ยง

    หากจะพูดถึงโรงเรียนบ้านแม่ทอมและโรงเรียนวัดคูเต่าโดยที่ไม่พูดถึงแป๊ะเซี่ยง ก็เหมือนกับว่าจะไม่ครบเครื่อง เพราะแป๊ะเซี่ยงคือคนที่รับผิดชอบเรื่องที่ไม่มีใครอยากจะรับผิดชอบและยุ่งด้วยในโรงเรียนซึ่งเป็นภาระที่หนักหนาเอาการ หน้าที่นั้นก็คือภารโรง แป๊ะเซี่ยงบ้านอยู่ท่าคูเต่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแกมีคุณสมบัติอะไรที่ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ และก็ไม่รู้ว่าแกเป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอจำความได้ก็เห็นแป๊ะเซี่ยงอยู่ในหน้าที่นี้เรียบร้อยแล้ว งานหลักของแกก็คือ ตักน้ำมาใส่โอ่งไว้ให้เด็กกิน ขนน้ำเข้าห้องส้วมไว้ให้ครูใช้ล้างก้นและราดส้วม เด็กไม่ได้พลอยใช้ด้วยหรอกเพราะส้วมในระยะแรกๆมีเอาไว้ให้ครูเท่านั้น เด็กต้องวิ่งออกไปปล่อยในป่า นอกนั้นแล้วแกก็มีหน้าที่ปลูกและรักษาต้นไม้ดอกไม้รอบๆ โรงเรียน กวาดขยะและสุดแล้วแต่บรรดาครูจะเรียกใช้ แกจะนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีและใส่เสื้อขาวแก่ซึ่งสีออกไปทางดำๆเหมือนของเด็กนักเรียนเพราะฤทธิ์เหงื่อเพราะแกมีอยู่ชุดเดียวและต้องใส่ทุกวัน ทำไมถึงต้องเป็นกางเกงขาสั้นสีกากีและเสื้อขาว? สงสัยว่าเป็นเครื่องแบบภารโรงที่ครูนพกำหนดขึ้นเพื่อให้ดูต่างจากครูซึ่งใส่กางเกงขายาว


ถ้าเป็นวันธรรมดา แป๊ะเซี่ยงจะมาถึงโรงเรียนก่อนใครๆเพื่อเปิดประตูและหน้าต่าง แต่ถ้าเป็นวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันพิเศษเพราะเป็นวันที่มีตลาดนัด แกจะมาถึงเช้ากว่าปกติ หลังจากเปิดประตูหน้าต่างโรงเรียนเสร็จเรียบร้อย แกจะรีบไปที่ตลาดนัดเพื่อหาลำไพ่พิเศษด้วยการรับจ้างตัดผม ส่วนเช้าวันธรรมดาก่อนเข้าเรียนแกจะรับตัดให้เด็กๆนักเรียน แต่หากเป็นเช้าวันพฤหัสก็จะตัดให้กับลูกค้าทั่วไป เด็กๆชอบไปตัดผมกับแป๊ะเซี่ยงเพราะแกจะเล่านิทานในขณะที่ตัดผม ที่เพิงตัดผมของแกจึงมีเด็กๆเต็มทุกวัน ทั้งที่ไปตัดผมและที่ไปพลอยฟังนิทาน ซึ่งนิทานของแกส่วนใหญ่เป็นเรื่องจากหนังตะลุง หนังกลางแปลง และนิทานอีสปที่เล่าแล้วเล่าอีกซ้ำๆซากๆเพราะมี่ที่แกจำได้อยู่ไม่กี่เรื่อง

     ลูกสาวคนโตของแป๊ะเซี่ยงชื่อดีกำลังแตกเนื้อสาว ไม่ใช่จะแกล้งว่า แต่แกค่อนไปทางโหมละมากกว่าสวย แกคั่วลูกกอขายเด็กตอนพักกลางวัน เด็กๆเรียกแกว่าฉีดี ครูจิตรเป็นครูหนุ่มที่เพิ่งได้รับการบรรจุมาใหม่ บ้านของครูจิตรอยู่ที่น้ำน้อย แกไปเช้าเย็นกลับโดยขี่รถจักรยานไปมาทางเกาะหมี-ทุ่งปาบ-นารังนก แรกๆครูจิตรก็ไม่ได้คิดอะไรกับฉีดี เที่ยงๆแกก็ไปนั่งขบลูกกอที่เพิงของฉีดี แต่ฉีดีคิดว่าครูจิตรมาชอบแก ฉีดีเริ่มจีบครูจิตรอย่างออกหน้าออกตา ตามจีบอย่างไม่เกรงใจใคร แป๊ะเซี่ยงก็พลอยสนับสนุนหวังได้ลูกเขยครู จากที่เคยไปนั่งขบลูกกอคั่วตอนเที่ยงๆ ครูจิตรต้องหลบหน้าไม่ยอมโผล่ไปที่บริเวณที่แม่ค้ามาขายของตอนพักกลางวันอีก ประจวบกับครูจิตรโดนเสือหิวแถวๆทุ่งปาบปล้นเอารถจักรยานของแกไป ครูจิตรจึงจำเป็นต้องพักที่วัดคูเต่าอยู่พักหนึ่ง เล่ากันว่าคืนหนึ่งฉีดีบุกกุฎิครูจิตรและครูจิตรต้องปีนหนีออกทางหน้าต่างก่อนที่จะต้องปราชิกหรือโดนชาวบ้านขี้อิจฉาและล้อมกุฏิเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าอาวาสในยุคนี้

     พูดถึงข้าวเที่ยง ตอนโรงเรียนพักกลางวัน เด็กๆส่วนหนึ่งที่เอาข้าวห่อมาก็จะไปหาที่กินข้าว ส่วนใหญ่ก็ตามใต้ต้นไม้หรือไม่ก็ในบริเวณวัด มีคนเอาของมาขายเหมือนกัน แต่มีเด็กอยู่ไม่มากนักที่มีสตางค์พอที่จะซื้อกินได้หนึ่งอิ่ม ขนมโคตรบองของยายเห้งอันละสลึงทำด้วยข้าวเหลือจากวัด น้ำหวานถุงละสลึงดูดเฮือกเดียวหมด ข้าวยำจานละสลึงช้อนสองทีหมดจาน ข้าวแกงจานละห้าสิบสตางค์มีมันขี้หนูสองสามหัวและน้ำแกง เนื้อชิ้นน้อยๆหนึ่งชิ้นหากโชคดี จะขายแพงกว่านี้ก็ไม่มีใครมีสตางค์ซื้อ คนขายก็ไม่รู้จะขายใคร ที่ขายกันไปได้เพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นของจากในสวน ส่วนครูนั้นจะกินจานละบาท เห็นข้าวจานละบาทที่ขายครูแล้วอิจฉา จานใหญ่กว่าและขายให้เฉพาะครูเท่านั้น หากเพิ่มอีกห้าสิบสตางค์ก็จะได้ไข่หนึ่งซีกด้วย คนขายข้าวแกงและข้าวยำคือป้าถั้นซึ่งเป็นเมียแป๊ะเซี่ยง จานละบาทนี่ไม่มีเด็กกินเพราะเกินงบประมาณ เด็กส่วนใหญ่หากได้สตางค์ไปโรงเรียนก็คือหนึ่งสลึง ห้าสิบสตางค์มีบ้างก็คือลูกครู ส่วนบังเป็นขาข้าวยำหากวันไหนไม่มีข้าวห่อ เช้าๆตอนเดินไปโรงเรียนก็เก็บผักเหนาะข้างทางไปด้วยเช่น ยอดหมุยและใบพาหมเป็นต้นเพื่อที่จะได้เอาออกมากินเป็นหมวดข้าวยำในตอนเที่ยงซึ่งช่วยให้อยู่ท้องขึ้นอีกเล็กน้อย หมวดชุดพิเศษนี้จะกินให้คนเห็นก็ไม่ได้ ต้องแอบกินเพราะตดกลิ่นพาหมเหม็นอย่างร้ายกาจจนครูสั่งห้ามป้าถั้นไม่ให้เอาพาหมมาทำหมวดข้าวยำขายที่โรงเรียน

      การโดนหวดด้วยไม้เรียวเป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักเรียนเมื่อครั้งกระโน้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็โดนหวดยันเต มีการหาหวายและไม้นมแมวมาไว้ที่โรงเรียนเป็นมัดๆเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ที่ตีเพื่อสั่งสอนให้หลาบจำก็มี ที่ตีตามอารณ์ปุถุชนที่ไร้เหตุผลของครูก็มีบ้าง ในบางครั้งพ่อเด็กแบกปืนลูกซองไปเจรจากับครูขี้โมโหที่โรงเรียนก็เคยมีตัวอย่าง แป๊ะเซี่ยงได้ถ่ายทอดคาถาให้เด็กๆไว้ท่องตอนโดนตี เล่าลือกันว่าชะงัดมาก ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นกำนันเจือ ซึ่งว่ากันว่ากำนันเจือยังใช้อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่ใช้เป็นคาถามหาละลวยแทน จะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ดูผลงานของท่านกำนันเอาเอง คาถานี้ได้มีการใช้สืบต่อกันมาหลายๆรุ่นหลังจากนั้น คาถามีอยู่สามพยางค์ "อึ-มึ-ทึ" วิธีใช้เมื่อโดนหวดต้องหลับตานึกถึงแป๊ะเซี่ยง กลั้นใจแล้วบริกรรมในใจให้เร็วที่สุด หากทำได้ถูกต้องโดนตีเท่าไหร่ก็จะไม่มีความเจ็บปวด อันคาถานี้ไม่ได้รู้กันแต่เฉพาะในหมู่เด็ก แต่ครูก็รู้เหมือนกัน ดังนั้นเวลาครูเจริญจะหวดใครแกก็จะชิงว่าเสียเอง...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...อึ-มึ-ทึ...ควั้บ...ควั้บที่ตามมาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคาถา แต่เป็นเสียงไม้เรียวกระทบก้น...

16 กุมภาพันธ์ 2553

โรงเรียนบ้านแม่ทอม

   ในแถบตำบลคูเต่าและแม่ทอมเมื่อประมาณก่อนปีพ.ศ.๒๔๖๐ โรงเรียนเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่คือโรงเรียนโคกคา มีนักเรียนไม่กี่คนและครูหนึ่งคนซึ่งสอนทุกชั้น ตั้งแต่ชั้นป.๑ถึงป.๔ เนื่องจากบริเวณที่เรียกว่าโคกคาในสมัยโน้นเป็นที่ห่างไกลสำหรับทุกคน ชาวบ้านจึงตกลงกันที่จะย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่วัดคูเต่าซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางสำหรับคนทั้งสองตำบล รวมทั้งวัดคูเต่าเป็นวัดใหญ่และสะดวกในเรื่องการคมนาคมเนื่องจากสมัยโน้นคลองอู่ตะเภาเป็นเส้นทางหลักในการไปมาหาสู่กับโลกภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทางเหนือน้ำคือเมืองหาดใหญ่ หรือเมืองสงขลาซึ่งไปทางใต้น้ำและทะเลสาบ อาคารเรียนหลังแรกคืออาคารที่อยู่ตรงเชิงสะพานแขวนที่เชื่อมกับตำบลคูเต่า

อาคารหลังนี้ได้ถูกรื้อถอนเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ หรือเมื่อเดือนที่แล้ว รายชื่อครูใหญ่รุ่นเก่าของโรงเรียนวัดคูเต่า
  1. นายเดช จรัสพันธุ์  ๒๔๕๙-๒๔๖๕
  2. นายอุไร สุมาลย์สิงห์ ๒๔๖๕-๒๔๖๖
  3. นายสอน สุวรรณวงค์ ๒๔๖๖-๒๔๖๘
  4. นายผัน วิริยะสมบัติ ๒๔๖๘-๒๔๖๙
  5. นายสุทธิ บัวลอย ๒๔๖๙-๒๔๗๐
  6. นายนพ บัวทอง ๒๔๗๐-๒๕๑๑
  7. นายทวีป บัวทอง ๒๕๑๒-๒๕๒๕
ครูนพ บัวทองคือหนึ่งในบรรดาครูรุ่นแรกๆ เนื่องจากครูคนอื่นๆอยุ่กันในระยะเวลาสั้นๆ ครูนพจึงเป็นครูคนเดียวที่ใครๆจำได้ นักเรียนรุ่นแรกๆน่าจะเป็นรุ่นครูเพิ่ม (พ่อครูสมพิณ) ครูแก้ว (พ่อครูออด)และครูคนอื่นๆที่อายุไล่เรี่ยกันซึ่งได้กลับมาเป็นครูต่อตามโรงเรียนต่างๆในตำบลในระยะต่อมา เนื่องจากการศึกษาภาคบังคับให้เด็กทุกคนจบอย่างน้อยชั้นป.๔ เป็นผลจากพระราชบัญญัติประถมศึกษาปีพ.ศ.๒๔๗๘ ซึ่งกำหนดให้เด็กที่อายุครบ๘ปีต้องไปเข้าเรียนชั้นป.๑ เนื่องจากการบังคับตามกฎหมายยังไม่เข้มงวด การส่งลูกเข้าโรงเรียนยังเป็นเรื่องความสมัครใจของพ่อแม่และเด็กแต่ละคน จำนวนคนเรียนจึงมีไม่มาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมองว่า"เรียนก็ชาม ไม่เรียนก็ชาม" เอาลูกไว้ช่วยไถนาและทำงานบ้านจะได้ประโยชน์กว่า ครูจึงมีการไปเกณฑ์เด็กมาเข้าโรงเรียน จนกลายเป็นเรื่องวิวาทกันระหว่างครูกับผู้ปกครองอยู่เนืองๆ เด็กที่ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลยจึงมีมาก และที่มาเริ่มแต่อยู่ไม่ถึงป.๔ก็มีเยอะ ที่เรียนจนจบป.๔จึงมีน้อยเต็มที จบแล้วสักพักหนึ่งก็อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เพราะลืมหมด ปีทั้งปีไม่เคยได้อ่านได้เขียน แถมไม่มีหนังสือให้ได้อ่าน จะมีบ้างก็คือเศษกระดาษที่มากับห่อเคย(กะปิ) จะอ่านก็ไม่ถนัดเพราะว่ามันเหม็น ชาวแม่ทอมที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้การศึกษากับตัวเองโดยการอ่านกระดาษห่อเคยคือพ่อหลวงเส้ง(พ่อครูหลุบ) แกมักจะมีเรื่องมาเล่าให้ใครต่อใครฟังอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่แกอ่านมาจากเศษกระดาษที่หล่นปลิวอยู่ที่ตลาดนัดคูเต่าหรือกระดาษห่อของห่อเคยแล้วแต่ว่าจะหยิบได้

เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๔๙๕ได้มีการสร้างอาคารเรียนแห่งใหม่ขึ้นทางด้านทิศใต้ของบริเวณวัดคูเต่า (อาคารนี้มีลักษณะเป็นรูปตัว L) หลังจากทางการประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปีพ.ศ.๒๕๐๓ โรงเรียนวัดคูเต่ามีการขยายการเรียนการสอนจากระดับสูงสุดป.๔เป็น ป.๗ อาคารหลังเก่าที่เชิงสะพานก็ยังมีการใช้งานอยู่เป็นครั้งคราว เช่นเวลาหน้าน้ำ เนื่องจากที่ไหม่ที่ย้ายไปเป็นที่ลุ่ม อาคารใหม่มีการยกพื้นจนพ้นระดับน้ำโดยอาศัยสถิติของระดับน้ำโดยเฉลี่ยในแต่ละปี แต่อาคารเรียนชั่วคราวของชั้นป.๑นั้นจะมีน้ำเกือบถึงเอว จึงต้องไปพึ่งอาคารเรียนหลังเก่าและโรงธรรมตลอดหน้าฝน ในช่วงที่น้ำขึ้นสูงสุด โรงเรียนมักจะจำเป็นต้องปิดสองหรือสามสัปดาห์แทบทุกปีเพราะเด็กไปโรงเรียนไม่ได้ เนื่องจากระดับน้ำบนถนนบางช่วงสูงกว่าระดับกางเกง ในช่วงปีพ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๕มีครูประจำหลายคนเช่น ครูนพ บัวทอง (ครูใหญ่) ครูวีระ เถาสุวรรณ ครูกันยา แก้วชูชื่น (ครูกล้ำ) ครูเจริญ สังขกุล ครูสงวน สุวรรณวงค์ ครูดุสิต แสงดี ครูเขื้อม เพชรสุวรรณ ครูมานะ สวัสดิกานนท์ ครูวัน รัตนชัย ครูชูศรี โสธะโร ครูจิตร เจริญดี ครูวิภาภร อนุภักดิ์ ครูอุทุมพร สังคหะ ครูกุศล มาลากุล ครูสุจินต์ และครูหลุบ ครูสมพิณ ครูหลายคนไม่ได้อยู่นานจึงอาจจะดูเเหมือนว่ามีครูมากมาย แต่จริงๆแล้วมีอยู่ไม่เกิน๘คนในแต่ละช่วง

ประมาณปีพ.ศ.๒๕๑๐โดยการนำของครูนพ มีการเรี่ยไรรวบรวมเงินจากชาวตำบลแม่ทอมเพื่อซื้อที่ดินเป็นที่สร้างโรงเรียนแห่งใหม่ บริเวณที่เหมาะสมและได้รับเลือกคือที่ๆที่ชาวบ้านเรียกกันว่า"สวนป่ากลาง" ซึ่งเป็นบริเวณนาและสวนที่มีป่ารกทึบอยู่ตรงกลาง เป็นที่อยู่ของมูสัง ลิงป่าและงูใหญ่นาๆชนิด เป็นที่ดินของชาวตระกูลสังฆโณ พื้นที่ค่อนข้างจะแตกต่างกับสภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง นอกจากจะเป็นป่ารกเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังเต็มไปด้วยจอมปลวก และที่ลุ่มน้ำขัง กว่าจะปราบพื้นที่ได้ราบเรียบก็ใช้เวลาหลายปี ซึ่งทั้งหมดไม่ได้อาศัยเครื่องจักรแม้แต่น้อย การปราบพื้นที่เป็นไปด้วยแรงคนล้วนๆอาศัยพร้า ขวาน เลื่อย จอบ และเสียม


ประมาณปีพ.ศ.๒๕๑๓ อาคารเรียนก็แล้วเสร็จ และมีการย้ายโรงเรียนอย่างเป็นทางการจากวัดคูเต่ามาที่ๆแห่งใหม่ จากโรงเรียนวัดคูเต่าก็กลายมาเป็นโรงเรียนนบ้านแม่ทอม สภาพพื้นที่ยังไม่สม่ำเสมอนัก บางส่วนยังเป็นที่นา ชาวบ้านยังคงช่วยกันอน่างขยันขันแข็งที่จะพัฒนาพื้นที่ มีการสร้างบ้านพักครูหลังแรก ซึ่งดูเหมือนว่าบ้านที่ได้มาใช้แค่๑ใน๔ของงบประมาณที่ได้รับ วัสดุที่ใช่ก่อสร้างและฝีมือแทบจะพอๆกับที่ชาวบ้านทำขนำ ส่วนที่ไม่ได้รับแต่หายไปคือส่วนที่ชาวบ้านและโรงเรียนไม่อาจจะเข้าใจและตรวจสอบได้เพราะเกิดขึ้นในระดับจังหวัด ชาวบ้านมาเห็นตัวบ้านเมื่อทำเสร็จต่างก็พากันสาปแช่งกันทั่วถ้วน ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ครูวันประกาศว่าจะย้ายมาอยู่เป็นคนแรกทั้งๆที่บ้านตัวเองอยู่ห่างไปแต่๑กม. ครูวันเลยโดนเขม่นโดยคนที่ไม่พอใจสภาพของบ้านและไม่รู้จะระบายกับใคร การที่ครูวันจะเข้าอยู่ในบ้านหลังนั้นจึงกลายเป็นเป้าระบายความหงุดหงิดของเจ้าถิ่นหลายๆคน วันแรกที่ครูวันใขกุญแจบ้านพักครูหลังใหม่เพื่อขนของเข้า แกจึงแทบจะลมใส่ เพราะเจอส้วมใหม่เอี่ยมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน มีคนไปอึใส่ไว้จนล้นคอห่าน แถมเรี่ยราดเอาไว้ทั่วห้องน้ำ ประมาณกันว่ามีผู้ปฎิบัติการอย่างน้อย๓คนและใช้เวลาอย่างน้อย๓วันจึงได้ปริมาณมากพอที่ทำให้ครูวันแค้นจัดและพยายามสืบอยู่เป็นปี แต่ดูเหมือนว่าจะหาหลักฐานอะไรไม่ได้นอกจากกองขี้ หลายปีผ่านไปเรื่องนี้ก็ยังไม่หมดกลิ่น กลายเป็นตำนานของโรงเรียนบ้านแม่ทอม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครูวันหาตัวคนขี้ใส่บ้านเจอหรือเปล่าและไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหาเจอแล้วแกจะทำอย่างไร


06 กุมภาพันธ์ 2553

ก๋วยเตี๋ยว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วบังเคยถามคนจีนที่รู้ภาษาจีนหลายคน ทั้งจากไต้หวัน ฮ่องกง และแผ่นดินใหญ่เกี่ยวกับก๋วยเตี๋ยวแต่ก็ไม่มีใครรู้จัก ทีแรกคิดว่าออกเสียงไม่ถูก เขาจึงฟังไม่รู้เรื่อง อุตส่าห์พยายามผันตั้งแต่ไม้เอก โท ตรีและจัตวา จนครบก็ยังไม่มีใครรู้ว่าบังเหล็มพยายามพูดถึงอะไร มารู้ทีหลังว่าก๋วยเตี่ยวเป็นภาษาแต้จิ๋ว ให้พยายามจนปากฉีกก็ไม่มีใครฟังรู้เรื่องหากจีนคนนั้นไม่รู้ภาษาแต้จิ๋ว
ความวิจิตรพิศดารและวิวัฒนาการของก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวนี้ไม่ได้อยู่ที่ชาวจีนอีกต่อไป ของชาวจีนเหลืออยู่แต่ก๋วยเตี๋ยวผัดเขละๆเหมือนแป้งเปียกเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับกลายเป็นชาวไทยและญวนที่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลก ก๋วยเตี๋ยวสูตรไทยนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เนื้อสดเนื้อเปื่อย น้ำไส เย็นเตาไฟ และฯลฯ ที่ดังระเบิดไปทั่วโลกก็คือมาม่า ส่วนของชาวญวนนั้นเรียกกันว่าเฝอ(pho) มีลักษณะคล้ายๆของไทย แต่มีเอกลักษณ์เด่นอยู่สองอย่างคือ มีการยกจานผักมาให้คนกินใส่เอง ซึ่งประกอบด้วยใบโหระพาและถั่วงอกเป็นหลัก เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือชามก๋วยเตี๋ยวเขามีสามขนาด เล็ก กลาง และใหญ่ ขนาดใหญ่นั้นเป็นที่ชื่นชอบของคนกินจุ บางร้านชามใหญ่ของเขานั้นมีขนาดอ่างอาบน้ำของเด็ก ที่หาดใหญ่ก็พอจะหากินได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมเมือนทางภาคอีสานและภาคกลาง ฮิตมากถึงขนาดก๋วยเตี๋ยวไทยสู้ไม่ได้ จึงมีการปล่อยข่าวว่าใครกินก๋วยเตี๋ยวญวนแล้วจะเป็นโรคจู๋ในบางสมัย

เมื่อสมัยที่แม่ทอมยังอยู่ในสภาพกันดารและห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ถึง๓ชั่วโมงโดยเรือหางยาว อาหารการกินประจำวันของคนในหมู่บ้านก็คือข้าวกับเคยจี่ จิ้งจัง เท้าหยี (เต้าหู้ยี้) แป้งแดง ปลาหลังเขียวแห้ง ปลาขี้เกะแห้ง หรือหากจะหรูหราขึ้นมาหน่อยก็มีแกงส้มปลาชนิดต่างๆแล้วแต่จะหาได้ตามฤดูกาล หรือถ้าเป็นวันที่มีตลาดนัดคูเต่า ก็จะมีหมูเนื้อและปลามาขาย แต่ก็ไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีเงินไปซื้อ สรุปแล้วอาหารที่ชาวแม่ทอมกินกันก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนัง หากวันไหนได้กินแกงคั่วใส่กะทิก็หมายความว่าสุดยอดแห่งความโอชะที่ใครๆรู้จัก เด็กๆมักจะได้ยินผู้ใหญ่ที่เข้าไปธุระในเมืองกลับมาเล่าให้ฟังถึงความเอร็ดอร่อยของข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด และก๋วยเตี๋ยวที่เจ๊กขายที่ร้านในหาดใหญ่ ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำนั้นเขามีตู้แขวนหมูแดง ตับหมู และอะไรต่างๆจิปาถะเอาไว้ เมื่อคนเข้าไปเจ๊กคนขายก็จะจัดการทำให้ตามแต่จะสั่ง อันว่าตับหมูและลูกชิ้นนั้นสุดแสนจะอร่อย คนเล่าก็เล่าไปอย่างเอร็ดอร่อยออกท่าซี้ดปาก เด็กๆที่นั่งฟังก็น้ำลายไหลยืดพลอยอร่อยไปด้วยเหมือนได้กินเอง คนเล่าก็มักจะถูกคะยั้นคะยอให้เล่าแล้วเล่าอีกซ้ำๆซากๆ เด็กจะได้จินตนาการถึงความเอร็ดอร่อยของก๋วยเตี๋ยวน้ำกันอีก เด็กๆจึงไฝ่ฝันกันว่าวันหนึ่งตัวจะได้ลิ้มรสไอ้ก๋วยเตี๋ยวน้ำนี้สักครั้ง
ยุคถัดมามีอาแป๊ะเจ๊กปลายแถวจากคูเต่ามาทำก๊วยเตี๋ยวขายที่ตลาดนัดวันพฤหัส ขายถ้วยละบาท ความฝันของเด็กหลายคนก็ได้กลายเป็นความจริง คือได้ลิ้มรสก๋วยเตี๋ยวสมใจ แต่ก็ไม่เหมือนกับที่เคยได้ฟังมาจากคนที่เคยไปกินที่หาดใหญ่ เพราะก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดนัดคูเต่านั้น เส้นก๋วยเตี๋ยวไม่กี่เส้น ถั่วงอกไม่กี่ต้น หมูสองซิ้น น้ำซุบหม้อเปล่าอีกหนึ่งตวัก และมันหมูหนึ่งช้อน อายิโนโมโต๊ะหนึ่งช้อนใหญ่ อร่อยแทบจะขาดใจตาย หลายคนถามหาลูกชิ้น อาแป๊ะบอกว่าใส่ไม่ได้เพราะมันแพง
นิยายปรำปราเรื่องความความโอชะของก๋วยเตี๋ยวได้กลายเป็นอาหารในฝันของเด็กและผู้ใหญ่ส่วนหหนึ่งในแม่ทอมไปเสียแล้ว เช่นคราวหนึ่งเถ้าแก่สบจัดงานฉลองสะพานข้ามคลองที่บ้านใต้ กลางวันแกเอาเครื่องขยายเสียงลงเรือประกาศไปตลอดย่านน้ำให้คนไปร่วมงาน เพื่อเป็นการจูงใจให้คนไป แกโฆษณาว่าแกจะขายก๋วยเตี๋ยวน้ำด้วย ตอนนั้นท่านไข่เคกำลังเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม รีบไปขอสตางค์พ่อตั้งแต่เที่ยงกะว่าจะไปกินก๋วยเตี๋ยวบังสบให้สมอยากตอนค่ำ ข้างพ่อก็บอกว่ามึงจะไปกินอะไรกะก๋วยเตี๋ยวไอ้สบ เพราะมันเป็นแขก ก๋วยเตี๋ยวอร่อยเขาต้องใส่หมู ไข่เคก็ไม่ฟัง อุตส่าห์เดินไปถึงบ้านใต้เพื่อจะกินก๋วยเตี๋ยว รุ่งเช้ากลับมา ไข่เคเล่าว่ากินแล้วแทบอ๊วกเพราะมันวัวติดคอ ก๋วยเตี๋ยวแขกบังสบกินเหมือนกินเปรต ซึ่งไขเคหมายถึงกินเหมือนกินลาที่เขาทำให้เปรตกิน

เมื่อหลายปีก่อน ครูหลุบ ครูออด และโต้โผใหญ่อีกหลายคนได้จัดงานเลี้ยงใหญ่สำหรับชาวกุลนิล แก้วกุลนิล รวมไปถึงเขยและสะใภ้ ลองนึกเอาเองก็แล้วกันว่า งานจะใหญ่ขนาดไหน เพราะแค่กุลนิลไม่รวมเขยรวมสะใภ้ก็ปาเข้าไปครึ่งหมู่บ้านแล้ว เมื่อมีการหยั่งเสียงว่าอยากกินอะไรในการเลี้ยงใหญ่ของชาวกุลนิลในครั้งนี้ ผลจากการนับคะแนนปรากฎว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำก๋วยเตี๋ยวผัดและก๋วยเตี๋ยวน้ำเลี้ยง นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งของทัศนะของชาวแม่ทอมที่มีต่อก๋วยเตี๋ยว บังไม่ได้ไปร่วมงาน แต่ได้ยินมาว่าการเลี้ยงใหญ่คราวนี้มีหลายคนกินจนต้องหาม บ้างอ๊วกบ้างอืด พุงป่องเหมือนเนียงเคย เนื่องจากทำกันไม่ค่อยเป็นและปริมาณมากเกินไป เส็นก๋วยเตี๋ยวจึงดิบๆสุกๆ กินเข้าไปมากแล้วไปอืดอีกเกือยเท่าตัวในท้อง ชาวกุลนิลและเขยสะใภ้หลายรายจึงเกือบจะท้องแตกตายเพราะความตะกละเหมือนชูชก ว่างๆครูหลุบและครูออดน่าจะจัดอีกครั้ง อยากจะรู้ว่าคราวนี้ชาวกุลนิลอยากกินอะไร เพราะกุลนิลรุ่นจิ้งจังเดี๋ยวนี้นั่งเหลานั่งพัตตาคาร