25 ธันวาคม 2552

คิม พีค คนที่มีความทรงจำเป็นเยี่ยม

ใครที่เคยดูหนังเรื่องRain Manคงจะทึ่งถึงความทรงจำอันยอดเยี่ยมของRayซึ่งแสดงโดยDustin Hoffman หนังเรื่องนี้ได้เค้ามาจากชีวิตจริงของชายคนหนึ่งที่ชื่อ Kim Peek คิมเกิดเมื่อวันที่๑๑พฤจิกายน ปีคศ๑๙๕๑ที่เมืองซอลท์เลคซิตี้มลรัฐยูท่าประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตอนคิมอายุ๙เดือนหมอบอกว่าว่าคิมจะเป็นโรคปัญญาอ่อนขั้นวิกฤต พออายุได้๑ปีกับ๔เดือน คิมสามารถที่จะอ่านหนังสือเล่มโตและจำข้อความได้หมดทั้งเล่มอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อปีที่ผ่านมาประมาณกันว่าคิมได้อ่านหนังสือมาทั้งหมดประมาณ๑๒๐๐๐เล่มและสามารถจำข้อความในหนังสือได้ทุกบันทัดหากจะขาดหรือตกหล่นก็ไม่เกิน๒% หากใครบอกวันเดือนปีกับคิม เขาจะสามารถบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆได้เป็นฉากๆโดยการเอาเรื่องที่เขาอ่านจากที่ต่างๆและจำไว้มาปะติดปะต่อกันโดยไม่ผิดพลาด เคยมีคนมากมายวนเวียนไปทดสอบเขา แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถปฏิเสธความสามารถทางความจำอันยอดเยี่ยมของคิมได้ วิธีการอ่านหนังสือของเขาคือจะใช้ตาข้างซ้ายอ่านหน้าทางซ้ายและใช้ช้ตาข้างขวาอ่านหน้าทางขวา ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านหนังสือได้รวดเร็วมาก เพราะอ่านสองหน้าทีเดียวพร้อมกัน ใช้เวลา๘-๑๐วินาที ในขณะที่คิมมีพรสวรรค์เป็นเลิศในทางความจำ แต่เขามีปัญหาในการทำสิ่งง่ายๆที่คนอื่นๆทำได้โดยไม่ต้องคิดในชีวิตประจำวัน คิมเพิ่งจะเดินได้เอาก็เมื่อตอนอายุ๔ขวบ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เขาไม่มีแม้กระทั่งความสามารถที่จะใส่กระดุมเสื้อของตัวเองได้ เขาต้องมีคนดูแลและไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้ ไอคิวของเขาอยู่ที่๘๗ ซึ่งในขณะที่คนทั่วไปจะอยู่ที่๑๐๐ องค์การนาซ่าได้เอาคิมไปศึกษาโดยการทำMRIสมอง และพบว่าสมองซีกซ้ายและขวาแทบจะไม่มีเส้นประสาทเชื่อมต่อกันอยู่เลย คิมเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปเมื่อวันเสาร์ที่๑๙ธันวาคม ๒๕๕๒

ได้ยินมาว่าไข่ดำหรือไข่เคของแม่ทอมเราสามารถจำไพ่ทายลอูกปอได้เป็นเลิศเหมือนกัน ไม่ทราบว่าจะสามารถเทียบรัศมีของตาคิมคนนี้ได้ไหม

13 ธันวาคม 2552

วิธีหาเงินของชาวแม่ทอมเมื่อวันวาน


ก่อนที่จะมาถึงยุคที่ชาวแม่ทอมกลายเป็นผู้บริโภคและเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรฐกิจสากลอย่างเช่นทุกวันนี้ แม่ทอมเคยเเป็นสังคมที่มีความพอเพียง สินค้าภาคอุสาหกรรมจากภายนอกส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่เสื้อผ้าและยารักษาโรค ซึ่งเป็นส่วนน้อยที่เข้ามาเนื่องจากชาวแม่ทอมไม่มีกำลังซื้อ ทั้งนี้เนื่องจากการผลิตทางการเกษตรเป็นการผลิตเพื่อการบริโภคเอง เหลือขายก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิด ชาวบ้านจึงไม่มีเงินเหลือให้เก็บเป็นกอบเป็นกำ เงินทองเป็นของหายากจะได้ซื้ออะไรที่เป็นผลผลิตจากภาคอุตสาหกรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จึงไม่ใช่ของแปลกที่หลายๆบ้านจะมีทรัพย์สินจากภาคอุสาหกรรมเพียงแค่มีดในครัว พร้า และจอบ อย่างละเล่ม แถมบางบ้านก็ยังไม่มีต้องอาศัยหยิบยืมจากบ้านอื่น การสร้างบ้านเรือนก็อาศัยวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นเป็นเบื้องแรก หากบ้าไหนมีเครื่องรับวิทยุฟังก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แสดงถึงความมีฐานะทางการเงินที่เหนือกว่าปกติจึงสามารถที่จะซื้อหาของที่เกินไปจากปัจจัยสี่มาใช้ได้ มีหนุ่มสาวจากแม่ทอมจำนวนไม่น้อยที่ทิ้งบ้านไปทำงานรับในถิ่นอื่น ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไปเป็นกรรมกรรับจ้างกรีดยางในท้องถิ่นใกล้เคียงที่มีการทำสวนยางเป็นล่ำเป็นสัน หนุ่มสาวเหล่านี้จะกลับบ้านกันตอนมีงานในท้องถิ่นเช่นตอนทำบุญเดือนห้าเดือนสิบหรือชักพระ แต่ละคนจะมีเครื่องแต่งตัวที่บ่งบอกว่ามีเงินในกระเป๋าไม่เหมือนพวกที่เทียวไปเทียวมาอยู่ในหมู่บ้านซึ่งไม่มีแม้แต่สักสลึงที่จะกินน้ำแข็งบอก ไม่ได้กินน้ำแข็งบอกก็ไม่เป็นไร อดเอาก็ได้ แต่เกิดมีใครแต่งงานใครบวชใครตายก็ต้องยุ่งหน่อยเพราะไม่มีอะไรจะไปช่วยงานเขา ยิ่งในบางช่วงมีงานต่างๆถี่มาก บางวันต้องไปกว่า๓งาน คนที่ไม่มีรายได้ก็ย่ำแย่ จะให้น้อยก็เกรงใจเจ้าภาพ จะให้มากก็ไม่มีเงิน จะไม่ไปก็เสียญาติเสียมิตร ชาวแม่ทอมผู้ไม่ค่อยมีอันจะกินก็เดือดร้อนกันทั่วไป การหาเงินทางลัดแบบที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีใดๆทางเศรฐกิจเพราะไม่มีการผลิตจึงเกิดขึ้น เริ่มจากการขอแบ่งวัวแบ่งไก่ของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่รู้และไม่ยินยอม เล่นปอเล่นกร็อกแกร็ก ทั้งที่มีเงินไปแทงเองและที่จับเสือมือเปล่าไปยักของคนอื่น บ้างก็ขอคนอื่นเอาดื้อๆแต่ทำให้เป็นการสุภาพหน่อยซึ่งเรียกว่าเลี้ยงน้ำชา เริ่มต้นด้วยการส่งบัตรเชิญมากินน้ำชาแล้วขอเงิน คนได้รับเชิญก็เกรงใจคนเชิญเลยจำเป็นต้องไป

กรณีหนึ่งซึ่งเป็นคลาสสิกที่เล่าต่อๆกันมานาน บังเฉมแกมีวิทยุหลอดยี่ห้อฟิลิปส์อยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ไม่เกิน๕เครื่องในแม่ทอมขณะนั้น บังเฉมแกหัวใส เอาวิทยุเครื่องนั้นมาออกเบอร์(หวย) ขายใบละห้าบาท บังเฉมไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์แขนงที่เรียกว่าProbability แต่แกก็รู้ว่าโอกาสที่คนจะถูกนั้นหนึ่งในพันสำหรับเลข๓ตัว อย่างไรเสียแกคงจะมีกำไรหากโชคเข้าข้างแกและไม่มีใครถูก แกได้เงินแถมวิทยุก็ยังเป็นของแก พอเอาเข้าจริงๆปรากฏว่าใกล้จะถึงวันเบอร์ออกแล้วแกขายเบอร์ของแกได้แค่ไม่กี่ใบ สาเหตุเพราะมีคนไม่มากนักที่ยอมเสี่ยงกับเงิน๕บาท ในขณะที่บังเฉมกำลังสิ้นหวังที่จะขายเบอร์ให้ได้หลายๆใบ ในวันที่หวยจะออกนั้น หลวงเพียรเจ้าเก่าก็บอกบังเฉมว่ากูจะเอาสักใบแต่วันนี้กูไม่มีเงิน เอาเบอร์มาให้กูสักใบแล้วกูจะหา๕บาทมาให้มึงแต่ก็ไม่บอกว่าจะให้เมื่อไหร่ บังเฉมก็ตกลงให้แต่โดยดี คืนนั้นเบอร์ออกและเลขที่หลวงเพียรซื้อเกิดถูกขึ้นมา รุ่งเช้าหลวงเพียรก็ไปขอรับวิทยุพร้อมกับเงิน๕บาท บังเฉมก็ปฏิเสธที่จะให้วิทยุและรับ๕บาท บอกว่า๕บาทควรจะจ่ายก่อนเบอร์ออกไม่ใช่ทีหลัง ยุ่งละสิ ต่างคนต่างไม่ยอม ต่างคนต่างก็คิดว่าตัวเองมีเหตุผลกว่า เถียงกันอยู่ที่บ้านบังเฉมจนเที่ยงก็ตกลงกันไม่ได้ จึงมีการหยุดพักกินข้าวเที่ยงและนัดเจอกันที่หลาทอมหลังกินข้าวเที่ยงเพื่อที่จะเคลียร์กันต่อ ข่าวได้แพร่กระจายไปอย่ารวดเร็วโดนป้าเอียดหรือวิทยุวปถ๖แม่ทอม การเจรจารอบสองที่หลาทอมจึงมีคนมารอฟังกันอยู่เต็มหลา การโต้เถียงแสดงเหตุผลจึงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เย็นและมืดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ คนดูเริ่มทะยอยกลับบ้าน คนอยู่บ้านแถวๆหลาก็เอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน กินเสร็จสองคนก็ยังเถียงกันต่อไป ดึกก็ยังตกลงกันไม่ได้ คนดูจึงกลับไปนอนกันหมด เช้ามีคนมาพบบังเฉมและหลวงเพียรหลับกันอยู่ที่หลาด้วยความอ่อนเพลีย ผลปรากฏว่าหลวงเพียรเป็นฝ่ายประกาศชัยชนะเพราะบังเฉมสู้ความทรหดของหลวงเพียรไม่ไหว นี่น่าขำกว่านั้นก็คือหลังจากที่ได้วิทยุไปหลวงเพียรก็ได้ฟังอยู่ไม่กี่วัน พอถ่านหมดก็อดฟังอีกต่อไปเพราะเครื่องหลอดใช้ถ่าน๔๘โวลท์ก้อนขนาดแบ็ตเตอรีรถยนต์ ราคาก้อนละ๖๐บาท

06 ธันวาคม 2552

แม่ทอม.... จากทางเดินบนคันนาสู่ถนนสายเอเชีย



แม่ทอมในอดีตคือหมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมือง ทั้งๆที่อยู่ห่างหาดใหญ่แค่๑๐กม และห่างจากสงขลาแค่๒๐กม หากจะไปหาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วโมงโดยเรือหางยาว รวมเวลาที่เรือต้องจอดรับคนตามท่าต่างๆ ไม่รวมเวลาที่ต้องจอดรอผู้โดยสารที่กำลังอาบน้ำกำลังอึ หรือกินเข้าวอยู่ตอนเรือมา ส่วนทางถนนนั้นไม่ต้องพูดถึง รถสี่ล้อแทบจะไม่มีสิทธิ์วิ่ง เพราะบนถนนก็คล้ายๆกับคันนา มีแต่รอยทางเดินเท้า สะพานข้ามคลองอู่ตะเภาที่รถวิ่งได้มีเพียงที่เดียวคือที่ข้างที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเปิดใช้ประมาณปีพ.ศ.๒๕๐๕ ส่วนสะพานรถไฟที่ท่าไทรซึ่งสร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ผ่านได้เฉพาะรถสองล้อ สรุปแล้วแม่ทอมคือแดนห่างไกลกันดาร ถนนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะมาสร้างกันเมื่อในรอบ๓๐ปีที่ผ่านมา สมัยนี้แม่ทอมห่างจากหาดใหญ่แค่๑๐นาทีและห่างจากสงขลาแค่๑๕นาที ถนนสายใหญ่ๆเกิดขึ้นมากมายเชื่อมหาดใหญ่เข้ากับเมืองอื่นๆ ชาวแม่ทอมจึงเชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ไกลแสนไกลเท่าที่ถนนจะไปถึง....จวบจนกระทั่งบัดนี้ เด็กแม่ทอมรุ่นใหม่ได้พัฒนาจากการตะโกนข้ามรั้วหรือข้ามทุ่งของคนรุ่นก่อน มาติดต่อพูดคุยกันข้ามเมืองข้ามทวีปโดยใช้โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต การพัฒนาของมือถือและอินเทอร์เน็ตก็เหมือนๆกันกับการเกิดขึ้นของถนนหนทางในยุคที่ผ่านมา เริ่มจากเราเดินจากคันนาสู่ถนนหมู่บ้านและสู่เมือง ตอนนี้เราสามารถเชื่อมต่อบ้านของเราเข้ากับโลกภายนอกโดย information network ไม่ว่าจะเป็นมือถือหรืออินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นเส้นทางสายใหม่ ที่เริ่มจะมีบทบาทต่อชาวแม่ทอมรุ่นใหม่

ไม่ลำบากนักหากเรานึกถึงภาพของถนนสำหรับรถวิ่งและเห็นการเชื่อมที่ต่างๆบนผิวโลกเข้าด้วยกัน แต่ค่อนข้างจะลำบากนิดหน่อยหากจะจินตนาการถึงว่าระบบอินเทอร์เนต เชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม โดยพื้นฐานแล้วอินเทอร์เน็ตก็เหมือนๆกับการเชื่อมต่อกันของถนนที่เห็นในแผนที่ จากทางเข้าบ้านของแต่ละบ้านสู่ถนนของหมู่บ้าน จากหมู่บ้านสู่เมืองจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งและต่อๆกันไป หากว่าใครจะขับรถจากแม่ทอมไปออสเตรเลียก็ย่อมทำได้ แต่บางช่วงอาจจะต้องเอารถขี่เรือ ในระบบอินเทอร์เน็ตก็เช่นเดียวกัน เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นโยงใยคล้ายๆใยแมงมุมที่ขึงดักแมลง จุดต่างๆบนใยแมงมุมจะเชื่อมต่อกันอยู่ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ในระบบของอินเทอร์เน็ต รถเข้าไปวิ่งไม่ได้แต่มีinformationซึ่งเปรียบเสมือนรถที่ไม่มีคนขับวิ่งไปวิ่งมา informationที่ว่านี้คือเลขฐานสอง ซึ่งงแทนด้วยสองสถานะของไฟฟ้าคือมีศักดา (หรือ1)และไม่มีศักดา(หรือ0) สิ่งเสมือนรถนี้เรียกว่าpacket .ในแต่ละpacketจะมีinformationว่ามาจากไหน (เลขIPของเครื่องที่มา) จะไปไหน(เลขIPของเครื่องที่เป็นจุดหมายปลายทาง) ส่วนนี้เรียกว่าส่วนหัว ส่วนถัดมาคือส่วนที่เป็นกระบะของรถสำหรับใช้บรรทุกของ ของในpacketก็คือinformationต่างๆที่เราส่งกันทางinternetเช่นข้อความ รูปภาพ และอีเมลล์เป็นต้น แต่ละpacketจะมีinformationประมาณ1000bytes หรือเท่ากับ1000ตัวอักษร (แต่ละตัวอักษรหรือ1byte มี 8bits , เช่น A=01000001 และ Z=01011010 เป็นต้น) สมมติว่าเราจะส่งไฟล์รูปภาพขนาด50K Bytesไปที่ขอนแก่น คอมฯของเราจะแยกไฟล์ออกเป็น50 packets คอมฯที่อยู่บนเน็ตซึ่งเรียกว่าrouterจะรับส่งpacketsกันต่อๆกันไปเป็นทอดๆ เนื่องจากแต่ละpacketมีที่มาที่ไปอยู่ในส่วนหัว การเดินทางของpacketแต่ละตัวอาจจะไม่ได้ใช้เส้นทางเดียวกันบนเน็ต เช่นตัวแรกอาจจะไปทาง สงขลา-นครฯ-สุราษฯ-กรุงเทพฯ-โคราช-ขอนแก่น อีกตัวอาจจะไปทางสงขลา-มาเลย์-สิงคโปร์-ญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หนองคาย-ขอนแก่น คอมฯที่ขอนแก่นจะเก็บpacketที่มาจากหลายๆเส้นทางมารวมกันเหมือนของเดิมเป็นภาพให้ดูได้ ระบบทั้งหมดที่ทำให้คอมฯทุกเครื่องรู้ว่าจะแตกไฟล์เป็นpacketที่ต้นทาง ส่งต่อกันบนเน็ต และรวมกันใหม่ที่ปลายทางเป็นมาตรฐานที่ตกลงกันทั่งโลกเรียกว่า TCP/IP หรือ Transmission Control Protocol / Internet Protocol สาเหตุที่ต้องมีการ.แตกไฟล์ออกเป็นpacketเพราะแรกเริ่มกระทรวงกลาโหมของอเมริกาเป็นผู้ออกแบบระบบ เขาต้องการให้ระบบสามารถอยู่รอดได้ถึงแม้จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ เพราะpacketsจะยังสามารถไปสู่จุดหมายได้หากว่าเมืองบางเมืองถูกทำลายลงทั้งเมืองโดยอาศัยเส้นทางอื่นๆที่ยังเหลืออยู่

เน็ตมีอยู่สองส่วนใหญ่ๆ คือส่วนที่เป็นของผู้ให้บริการ และส่วนของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการคือใครก็ได้ที่อยากต่อคอมฯเข้ากับiอิเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการเป็นเสมือนเจ้าของท่ารถบนถนนระหว่างเมืองที่ต้องเป็นภาระต่อคอมฯในแต่ละบ้านเข้ากับอินเทอร์เน็ตผ่าน"ท่าของเขา" ส่วนถนนหรือเน็ตก็เป็นสมบัติของอีกพวกหนึ่ง อย่างเช่นองค์การโทรศัพท์หรือบริษัทอื่นๆ มีการวางสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อมทุกทวีปเข้าด้วยกันด้วยไฟเบอร์ออพติคและบ้างก็ใช้ดาวเทียม อินเทอร์เนตจึงเชื่อมโลกเข้าไว้ด้วยกัน ข่าวสารเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงไปสู่ทุกส่วนของโลก ระยะทางอาจจะยังเป็นความห่างไกลสำหรับถนนบนผิวโลก แต่แทบจะไม่ต้องอาศัยเวลาสำหรับข่าวสาร นับว่าเราโชคดีที่สุดที่เกิดมาในยุคปัจจุบัน หากเทียบกับคนยุคก่อนๆที่คนอยู่กันมาเป็นพันๆปีโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายเหมือนในช่วงอายุเรา คนเพิ่งประดิษเครื่องบินได้เมื่อร้อยปีก่อน ทีวีเมื่อห้าาสิบปีก่อน คอมฯที่ชาวบ้านซื้อมาใช้ได้เมื่อ๒๕ปีก่อน Windows ๙๕ เมื่อ๑๕ปีก่อน และอินเทอเน็ตก็เพิ่งเข้าถึงมือชชาวบ้านในประเทศที่พัฒนาแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน

เป็นที่น่าเสียดายที่มีคนในแม่ทอมไม่กี่คนที่มีโอกาสได้ท่องอินเทอร์เน็ตและเรียนรู้จากแหล่งความรู้ทั่วโลก บังเหล็มหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คนที่มีโอกาสตอนนี้จะบุกเบิกและกรุยทางให้คนแม่ทอมที่ยังอยู่ข้างหลัง ให้ได้มีโอกาสสัมผัสกับความรู้ในสาขาต่างๆอย่างเต็มที่ เมื่อก่อนหากอยากจะรู้อะไรก็ต้องไปห้องสมุด และห้องสมุดก็อาจจะไม่มีเรื่องที่ต้องการให้ค้น เดี๋ยวนี้แค่กูเกิ้ลเอาก็ได้ทันทีทันใด ไม่ว่าความรู้นั้นจะอยู่ที่ส่วนไหนของโลก....