29 มีนาคม 2555

ปืนใหญ่ที่งานลากพระแหลมโพธิ์

งานประเพณีของชาวแม่ทอมและตำบลอื่นๆในลุ่มน้ำอู่ตะเภานั้นแทบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องอยู่กับผีและวัด เช่นเทศกาลทำบุญบรรพบุรุษเดือนห้า ซึ่งอาหารจะเป็นขนมจีนน้ำยา การทำบุญวันสารทเดือนสิบด้วยขนมเจาะหู ข้าวเหนียวกะทิห่อใบกะพ้อและขนมลา ซึ่งอาหารทั้งสามอย่างนี้สามารถที่จะเก็บไว้กินได้นานหลายเดือนโดยไม่บูดเน่าเสียหาย ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับพระ เพราะหน้าน้ำท่วมประจำปีกำลังจะมา พระจะได้อาศัยอาหารสำรองเหล่านี้ในภาวะที่ออกบิณฑบาตไม่ได้ตามปกติ

พอถึงเดือนสิบเอ็ดก็จะมีประเพณีชักพระ ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นการหาเรื่องบันเทิงของคนคิดเสียมากกว่า เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเกณฑ์ทั้งพระและชาวบ้านไปตากแดดตากฝนที่แหลมโพธิ์ ลากเรือซึ่งติดโคลนเข้าไม่ถึงตลิ่งให้เข้าถึงเพื่อพระจะได้ลงจากเรือมาฉันเพล ฉันเสร็จก็ขึ้นเรือให้ชาวบ้านลากลงทะเล ประเพณีชักพระของชาวลุ่มน้ำอู่ตะเภานั้นน่าจะเป็นการลอกเลียนมาจากท้องถิ่นอื่น เพราะการชักพระเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาในหลายๆพื้นที่ของปักษ์ใต้ตั้งแต่สุราษฎ์ลงมา หลังจากงานเดือนสิบ บางท้องถิ่นไม่สะดวกที่จะจัดการชักพระทางเรือ ก็มีการดัดแปลงทำเรือพระใส่ล้อลากกันไปบนถนน หนักๆเข้าไม่มีใครอยากจะฉุดลากด้วยแรง จึงมีการใช้ถถลาก หรือทำเรือพระบนรถให้คนขับเสียเลยก็มีในระยะหลังๆ

บรรดาชาวบ้านก็จะเริ่มต้นเตรียมงานลากพระ โดยการไปวางแผนกันที่วัดที่ครอบครัวตัวเองเป็นสมาชิก อันเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่าใครจะไปวัดไหน แต่ถ้าใครอยากจะเปลี่ยนวัดตอนไหนก็ไม่มีใครห้าม เด็กบ้านก็จะไปผสมโรงกับเด็กวัด ซ้อมตีกลองกันทั้งวันทั้งคืน ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เด็กๆแต่ละคนจะใช้เวลาไม่เกินห้านาที่ในการเรียนรู้วิธีตีกลองลากพระ จังหวะการตีมีอยู่ว่า...ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง --- ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง --- ตือ..ลืด..ตืดท่ง..ตืดท่ง..ตืดท่ง จะตีอยู่นานเท่าไหร่ก็จะอยู่ในจังหวะที่ว่านี้ตลอดไป ในยุคสมัยที่ไม่มีทีวี ไม่มีวิดิโอเกมส์และไม่มีเครื่องผลาญเวลาอื่นใด เด็กๆจึงผลัดเปลี่ยนกันตีกลองได้ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงคืน ทุกๆวันจนกระทั่งถึงวันลากพระ

หนุ่มๆผู้มีพลังงานเหลือใช้ทั้งหลายก็ได้มีโอกาสออกกำลังโดยการเข้าร่วมการแข่งเรือยาว ทุกๆวัดจะมีเรือยาวของตัวเองอย่างน้อยสามลำ แต่ละลำอาศัยฝีพายอย่างน้อยสิบคนแล้วแต่ขนาดของเรือ การฝึกซ้อมก็ทำกันทุกวันจนกว่าจะถึงวันแข่งจริงในวันลากพระ สถานที่แข่งเรือโดยปกติจะเป็นที่หาดหอย ซึ่งอยู่ใกล้ๆวัดท่าเมรุ บนสาขาตะวันตกของคลองอู่ตะเภาก่อนไหลออกทะเลสาบสงขลา

แต่ละวัดจะมีเรือพระของตัวเอง เรือพระเป็นเรือสินค้าท้องถิ่นสมัยเก่า กว้างประมาณ 4 เมตรยาวประมาณ 15 เมตร ตรงกลางมีมณฑปยอดแหลม ประดับประดาด้วยลวดลายแกะสลักห้อยภู่หลากสีงามตระการตา วัดนารังนกแทบจะผูกขาดรางวัลที่หนึ่งในด้านความสวยงามและวิจิตรบรรจง ทุกๆปีจะมีทั้งคนที่มารอดูขบวนเรือพระของวัดนารังนกเป็นพิเศษอยู่บนสองฝั่งคลอง พร้อมทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าต่างไปจากปีก่อนอย่างไร

งานประเพณีลากพระที่แหลมโพธิ์เมื่อปีพ.ศ.2510นั้นว่ากันว่าคึกคักเป็นพิเศษ หม่อมเจ้าทองคำเปลว ทองใหญ่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาในขณะนั้นมีแผนที่จะเสด็จมาร่วมงาน โดยที่คณะของท่านจะเดินทางโดยเรือท่องเที่ยวขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งนับเป็นเรือนำเที่ยวทะเลสาบสงขลาที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ตามหมายกำหนดการ ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะอันประกอบด้วย ข้าราชการผู้ใกล้ชิด ครอบครัว และเจ้าสุวรรณภูมี เจ้าลาวซึ่งมาลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในเมืองไทยและเป็นอาคันตุกะของท่านในเวลานั้น ทางจังหวัดได้ทำหนังสือเวียนผ่านมาทางหน่วยราชการต่างๆให้จัดการวางแผนต้อนรับอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนที่สุดตามระบบราชการ คนที่อยู่ล่างสุดคือคนที่แบกภาระหนักที่สุดในขณะที่ได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุดในทุกๆด้าน

โรงเรียนวัดคูเต่าซึ่งเป็นโรงเรียนประชาบาลหลักและใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ ได้รับคำสั่งให้จัดโชว์เพลงเรือชุด"ครูประชาบาล"  โดยการให้บรรดาครูในโรงเรียนต่างๆในกลุ่มช่วยกันจัดกระบวนเรือเพลง ด้วยสาเหตุที่ครูส่วนใหญ่เป็นครูบ้านนอกและไม่มีใครสันทัดในงานด้านศิลปวัฒนธรรม คำสั่งดังกล่าวได้สร้างความโกลาหลให้กับทั้งครูและนักเรียนเป็นอย่างมาก เป็นเวลาหลายวันที่บรรดาครูต่างก็นั่งเถียงกันว่าจะทำอย่างไรดี หลังจากที่พอจะตกลงกันได้ก็ต้องมีการเตรียมเรือ เครื่องแต่งตัวและการฝึกซ้อม การเรียนการสอนก็ให้ต้องพลอยหยุดซะงักไปด้วย ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆที่จะได้มีเวลาเล่นมากขึ้น

ความเรียบง่ายที่เคยบฏิบัติสืบเนื่องกันมาได้กลายเป็นความยุ่งยากซับซ้อนในปีนี้ คำสั่งจากทางอำเภอถึงกำนันตำบลคูเต่าให้มีการจัดสร้างปะรำสำหรับรับรองท่านผู้ว่าราชการจังหวัดผู้สูงศักดิ์ก็ได้รับการสนองตอบตามกำลังความสามารถและสติปัญญาของท่านกำนันเห้ง ปะรำถูกสร้างขึ้นอย่างง่ายๆตามปกติที่เคยทำกันมา มีเสาสี่เสา หลังคามุงห่างๆด้วยใบมะพร้าวสำหรับพอกันแดด ที่เป็นพิเศษนั้นกำนันเห้งได้จัดหาเก้าอี้ไม้อย่างดีมาวางในปะรำครบตามจะนวนคนที่จะมา เครื่องขยายเสียงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้าได้รับการขนย้ายมายังแหลมโพธิ์ด้วยความทุลักทุเล เพราะถนนไปแหลมโพธิ์ยังไม่มี ของหนักทุกอย่างต้องมาทางเรือ และเนื่องจากพื้นที่มีลักษณะเป็นชายเลนและน้ำตื้น เรือใหญ่จึงเข้าไม่ถึงฝั่ง แม้กระทั่งเรือเรือเล็กก็ยังเข้าไม่ถึงหากว่าเป็นเวลาน้ำลง การลุยโคลนเลนที่ดำปี๋เหมือนชี้เป็ดจึงเป็นเรื่องธรรมดา

และแล้ววันลากพระก็มาถึง วันนี้ใครๆต่างก็มีส่วนร่วมมากบ้างน้อยบ้างไม่ทางตรงก็ทางอ้อม คนที่มีหน้าที่เรื่องอาหารการกินในบ้านก็ง่วนอยู่กับข้าวต้มใบกะพ้อและแกงคั่วหน่อไม้ เด็กและผู้ใหญ่ที่ไม่มีภาระอย่างอื่นก็จะเริ่มออกไปเตร่แถวๆริมคลองตั้งแต่เช้า รอดูเรือพระจากวัดที่มาจากเหนือน้ำ พอสายหน่อยตามท่าเรือริมคลองอู่ตะเภาก็เริ่มเห็นคนหนาตาขึ้น บ้างมาดูเรือพระ บ้างมาดูพวกพายเรือเล็กผูกเพลง การผูกเพลงคือการว่ากลอนตลกๆรับกันระหว่างต้นเพลงและลูกคู่ เนื่อหาของเพลงส่วนใหญ่จะเป็นประเภทตลกขบขันและติดเรทเอ็กซ์ โดยทั่วไปเรือเล็กผูกเพลงจะมีคนสองหรือสามคน และส่วนใหญ่จะมีการสร้างรูปอะไรบางอย่างที่เป็นจุดเด่นวางไว้กลางเรือเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนดูบนตลิ่ง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่ไกลไปกว่าเรื่องใต้สะดือ สร้างความขบขันเฮฮาให้คนดู คนที่จะไปแหลมโพธิ์นั้นต้องไปด้วยเรือหางยาว ตรงท่าน้ำใกล้ๆบ้านบังนั้นเป็นท่าใหญ่ คนจำนวนมากจะมาลงเรือที่นี่  ก่อนที่จะไปไหนไกล หนุ่มๆในหมู่บ้านจะมาออกันอยู่ตรงท่าน้ำเพื่อดูสาวๆที่กำลังลงเรือ ซึ่งจริงๆแล้วก็น่าดูอยู่หรอก ดูแล้วก็เก็บไปวิจารณ์กันได้ทั้งปี อย่างพี่คองลูกสาวลุงยกทอมตกนั้นใส่มินิสเกิ๊ท พวกหนุ่มปากเปียกเอาไปพูดกันว่าอีคองนุ่งปลอกหมอนไปงานลากพระ ลงเรือแล้วนั่งไม่ได้เพราะคับเกินไป ต้องบอกให้นายท้ายเรือรอเพราะต้องวิ่งกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดใหม่

ที่แหลมโพธิ์นั้นจะมีพิธีสงฆ์และการทำบุญเลี้ยงพระอันเป็นเป้าหมายหลักของประเพณีการลากพระ จุดหมายปลายทางของผู้ที่จะมาร่วมงานในแต่ละปีจึงอยู่ที่นี่ ส่วนปีนี้ท่านผู้ว่าจะกล่าวปราศรัยหลังจากพระฉันเพล หลังจากนั้นจะมีการเคลื่อนขบวนเข้าคลองกลับมาที่หาดหอยเพื่อดูการเฉลิมฉลองและแข่งเรือ ปีนี้ดูเหมือนว่าฟ้าดินจะไม่เป็นใจ พอสักสิบโมงเช้ากว่าๆแดดเปรี้ยงๆก็กลับกลายเป็นฝนเทลงมาอย่างหนัก ท่านผู้ว่าฯ พระชายาและคณะซึ่งต้องผจญภัยมาแล้วรอบหนึ่งด้วยการลุยโคลนจากเรือใหญ่ขึ้นมาที่ปะรำต้องผจญภัยรอบสองเมื่อฝนเทลงมาและหลังคากันแดดของปะรำไม่อาจจะกันฝนได้ กว่าจะเสร็จเรื่องและกลับขึ้นเรือใหญ่ได้ทุกคนในคณะจึงพากันเปียกปอนกันไปถ้วนหน้า รวมทุกคนในคณะเรือผู้ว่าคงจะไม่ต่ำกว่า๕๐คน บังมาได้ยินทีหลังว่าหลายคนในคณะหัวเสียอย่างแรงที่การจัดการหละหลวม มีการเสนอความคิดให้เลิกล้มแผนเดิมที่จะเดินทางต่อไปที่หาดหอย แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏชัด เรือของท่านผู้ว่าฯก็เข้าคลองไปจนถึงหาดหอยเพื่อดูขบวนเรือ"ครูประชาบาล" การแข่งเรือและกิจกรรมอย่างอื่น

คลองที่หาดหอยนั้นค่อนข้างกว้าง จึงเหมาะสำหรับการแสดงของคณะครูและแข่งเรือยาว เมื่อเรือของท่านผู้วาฯมาถึง ก่อนที่การแสดงชุดเรือประชาบาลของคณะครูจะเริ่มขึ้น เรือของท่านผู้ว่าฯถูกห้อมล้อมด้วยเรือนาๆชนิดของบรรดาชาวบ้านผู้มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความอยากรู้อยากเห็น ทั้งเรือโดยสาร เรือผูกเพลง เรือแข่งและแม้กระทั่งพวกที่ลงไปแช่อยู่ในน้ำ ในจำนวนนี้มีเรือผูกเพลงลำหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ มากันสองคน หัวคนท้ายคน พายวนอยู่รอบๆเรือท่านผู้ว่าฯอยู่หลายรอบ เสียงผูกเพลงนั้นคงจะไม่มีผลอะไร เพราะท่านผู้ว่าฯและคณะญาติของท่าน(ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นสตรี)คงจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้ของโชว์ที่อยู่กลางตัวเรือนั้นมันไม่ต้องการคำบรรยาย เปํนอวัยวะเพศชายขนาดใหญ่ทำด้วยต้นหมาก ส่วนหัวเสริมด้วยศิลปะแกะสลักฝีมือเยี่ยมมาประกบ ส่วนที่ห้อยโตงเตงใช้มะพร้าวห้าวขนาดใหญ่สองลูก ส่วนท้ายคลุมด้วยรากไทรย้อยดำสนิท รวมแล้วกลายเป็นประฏิมากรรมชั้นยอดเยี่ยมที่สามารถสื่อความหมายจากคนทำไปยังคนที่เห็นได้อย่างไม่ตกหล่น

เพลงเรือชุด "ครูประชาบาล" ที่มีครูอิ้นและครูเพิ่มเป็นพ่อเพลงใหญ่ยังไม่ทันจบดี บรรดาผู้ที่มาร่วมงานต่างก็เห็นเรือของท่านผู้ว่าแล่นฝ่าเรือต่างๆออกไปทางทะเลสาบสงขลา หลายคนถามกันเองด้วยความสงสัยว่าทำไมท่านผู้ว่าจึงไม่รอดูเการแข่งเรือยาวก่อนกลับ...หลายคนบอกว่าคงจะเป็นเพราะฤทธิ์ปืนใหญ่ที่ทำจากต้นหมากในเรือผูกเพลง...

04 มีนาคม 2555

จริงๆแล้วมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ

ตอนคนเราเพิ่งออกมาจากครรภ์ของมารดานั้นไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ออกมาตัวเปล่าๆไม่มีทรัพย์สินใดๆติดตัวออกมาทั้งสิ้น ที่ออกมาพร้อมๆกับพระขรรค์หรือหอยสังข์ก็เห็นมีแต่เฉพาะในนิทานเท่านั้น ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากออกมา ความแตกต่างก็เริ่มจะปรากฏ แล้วแต่ว่าบิดามารดาของทารกนั้นจะอยู่ในสถานะไหนในทางเศรษฐกิจและสังคม ทารกซึ่งยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้นจะถูกหุ้มห่อด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับอันเป็นวัตถุที่มีค่ามีราคาอันเป็นที่ยอมรับ และฐานะทางสังคมของบิดามารดาก็จะถูกถ่ายทอดไปยังทารกเช่นเดียวกันในทันทีที่ออกมาดูโลก

เมื่อทารกค่อยๆเจริญวัย ค่านิยมในทางวัตถุและสถานะทางสังคมจากรอบข้างก็ถูกถ่ายทอดเข้าไปทีละเล็กละน้อย จากสภาพที่มีแต่ความบริสุทธิ์ในจิตใจ ความเป็นตัวตน-ตัวเอง(self)ก็ค่อยๆเกิดขึ้น ความรู้สึกเป็นเจ้าของก็ค่อยๆตามมา การแสวงหาให้ได้มาก็เกิดขึ้น และในที่สุดก็กลายเป็นพลโลกอีกคนหนึ่งที่สืบทอดเอาความรู้สึกอันเป็นธรรมดาสำหรับคนทั่วๆไปเอาไว้ มีการแก่งแย่ง เอารัดเอาเปรียบและล้างผลาญซึ่งกันและกันต่อไปเหมือนที่เป็นมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดูเหมือนว่าลักษณะทีว่านี้มีความเป็นสากล ไม่ว่าชาติไหนหรือภาษาไหนเหมือนกันหมด มากบ้างน้อยบ้างและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

ในเมืองไทยเรานั้นยิ่งเห็นได้ชัด คนธรรมดาๆสามารถที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ได้ร้อยแปดพันอย่าง เช่นเป็นครู เป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นทหาร เป็นพระ เป็นหะยี เป็นกำนัน และเป็นฯลฯ ต่างคนต่างสำคัญมั่นหมายในสิ่งที่ตัวคิดว่าตัวเองเป็น หนักๆเข้าก็คิดว่าตัวเองผิดจากคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ได้อยู่ในสถานะที่กุมกลไกอำนาจที่สามารถจะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ เมื่อถูกยกย่องยอมรับก็เลยพลอยใหญ่ไปตามแรงหนุน หลายคนเมื่อได้เป็นเข้าแล้วเกิดความหลงและอยู่ในโลกใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะห่างไกลจากที่มาดั้งเดิมเมื่อตอนเกิดใหม่ๆออกไปทุกที โลกที่ประกอบขึ้นด้วยการมี การได้และการเป็นเจ้าของกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจจะแยกแยะ

เพื่อนฝูงของบังที่เคยคบหาเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยมหรือมหา'ลัยก็ให้มีอันเปลี่ยนไปตามอาชีพ เป็นนายพล เป็นหมอ เป็นผู้พิพากษา เป็นคณบดี เป็นอธิบดี เป็นดอกเตอร์นักวิชาการ เป็นศาสตราจารย์ เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจใหญ่ และเป็นอะไรต่างๆที่ใครๆเขาถือว่าเป็นใหญ่เป็นโต ในบรรดาเพื่อนๆเหล่านั้นมีอยู่จำนวนหนึ่งที่มองเห็นความจริงว่าทุกอย่างที่ไปเป็นเข้านั้นมันเป็นแค่ภาระหน้าที่ แต่ก็มีอยู่อีกไม่น้อยที่พลอยหลงเขื่องไปกับการได้ การเป็น และการมี การพบปะเจอะเจอกันอีกครั้งหนึ่งจึงต้องมีความระมัดระวัง ความเป็นกันเองแบบเมื่อครั้งเก่าก่อนนั้นอาจจะไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว เพราะสิ่งที่แต่ละคนกำลังพกพาและเป็นเจ้าของอยู่ในปัจจุบันมันทำให้ความรู้สึกของแต่ละคนเปลี่ยนไป


การแต่งตัวและประเพณีส่วนหนึ่งที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาก็มีไว้เพื่อการสนับสนุนที่จะสร้างความแตกต่างเพื่อผลอะไรบางอย่าง เช่นในศาลของบางประเทศในยุโรป คนที่เป็นผู้พิพากษาจะแต่งตัวค่อนข้างประหลาด ใส่ครุยรุ่มร่ามและครอบหัวด้วยวิกผมปลอม นัยว่าจะให้ดูขลังกว่าธรรมดา บ้านเราก็มีการลอกเลียนเอามาเป็นแบบอย่าง ผู้พิพากษาก็ใส่ครุยกะเขาด้วยทั้งๆที่ที่อากาศร้อนจะขาดใจ ถ้าใส่วิกเข้าด้วยก็คงจะกลายเป็นตัวตลกแทนที่จะขลัง มนุษย์เราหลอกกันเองหน้าด้านๆเพื่อหวังผลต่างๆด้วยการแต่งกาย

หากว่าเดินเข้าไปในสถานที่ราชการ ก็จะเห็นความพยายามของระบบและเจ้าหน้าที่ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างด้วยการแต่งกายทั้งในหมู่คนข้าราชการด้วยกันและรวมไปถึงคนที่ไปติดต่องาน ข้าราชการแต่ละชั้นจะมีการแต่งเครื่องแบบแตกต่างกันไปเพื่อบ่งบอกฐานะเพื่อที่จะได้รู้ว่าใครเหนือกว่าใคร ทีไม่แต่งเครื่องแบบก็จะมีการแต่งตัวกันอย่างพิถีพิถัน ทั้งที่นิยมกันว่าสวยงามและที่แข่งกันว่าใครจะ"มี"มาแต่ง มาห้อยและมาแขวนประดับประดามากกว่ากัน...


... สมมติว่าหากมีสักวันหนึ่งเจ้าหน้าที่ศาลากลางจังหวัดทุกคนไปทำงานตัวเปล่าๆไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีอะไรภายนอกมาเป็นส่วนประกอบ คนที่ไปติดต่อราชการที่ไม่เคยเห็นใครในสำนักงานมาก่อนจะบอกได้ไหมว่าใครคือภารโรงและใครคือผู้ว่าฯ ...เมื่อแต่ละคนเหลือแต่ตัวเปล่าๆแล้วมันก็คงไม่ต่างอะไรกันมากนัก...คนที่เคยถูกเรียกว่า"ท่าน"และมีคนหลีกทางให้ก็คงจะไม่มีอะไรเหลือที่จะเอาไว้แสดงฐานะอันจอมปลอมของตัวเอง...