10 ธันวาคม 2554

หมอดูลูกแก้วและผู้ช่วย


เมื่อครั้งกระโน้นแม่ทอมคือหมู่บ้านที่เงียบเหงา ใครๆก็มีเวลาว่างมากมายแทบทั้งปี และต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ตกกลางคืนทุกบ้านก็ดับตะเกียงนอนกันตั้งแต่ทุ่มครึ่ง บรรดาคนที่มีครอบครัวแล้วก็ดูเหมือนจะชื่นชอบเพราะจะได้ประกอบกิจอันน่าตื่นเต้นที่ไม่ต้องซื้อต้องหาและรอคอยกันมาทั้งวัน แต่ละบ้านจึงมีลูกหัวปีท้ายปีเลี้ยงกันไม่หวาดไม่ไหว ส่วนเด็กๆนั้นหากเป็นช่วงโรงเรียนเปิดก็ค่อยยังชั่วที่ต้องมีภาระเรื่องโรงเรียนให้ได้ช่วยลดความเบื่อหน่าย หากเป็นช่วงโรงเรียนปิดวันๆที่ผ่านไปมันเต็มไปด้วยความยาวนาน  ทั้งๆที่ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็ก แต่ก็แทบจะไม่มีเลยที่จะเข้าใจเด็ก ว่าเด็กนั้นโดยวัยต้องการเล่นนั่นเล่นนี่สนุกสนานตามประสาเด็กที่กำลังเจริญเติบโต แต่จะไปหวังว่าชาวบ้านธรรมดาๆจะเข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการนั้นคงจะเป็นการเหลือวิสัย เพราะแม้กระทั่งครูที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจ เด็กที่มีความกระฉับกระเฉงฉับไวอยู่ไม่นิ่งกลับถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา เด็กที่กล้าแสดงออกและโต้แย้งครูด้วยเหตุผลกลับถูกมองว่าเป็นเด็กเหลือขอแข็งข้อกระด้างกระเดื่อง ดังนั้นจึงไม่ใช่ของแปลกที่บรรดาเด็กดีของครูนั้นมักจะเป็นพวกซึมเศร้าเฉื่อยชา ซึ่งดูเหมือนว่าจะว่านอนสอนง่าย ค่านิยมดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดมายังพ่อแม่ผู้ปกครอง เด็กๆส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจึงไม่ค่อยที่จะกล้าแสดงออกด้วยความคิดและสติปัญญาของตัวเอง เด็กๆส่วนใหญ่จึงกลายเป็นคนไม่กล้าแสดงออกเพื่อแลกกับการยอมรับว่าเป็นเด็กดีในสายตาของผู้ใหญ่ บังผ่านไปบ้านไหนก็เห็นแต่เพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งแหง่วอยู่กับบ้านทั้งวัน นั่งอยู่เฉยๆ จะเข้าไปเล่นด้วยพ่อแม่เขาก็ตวาดเอาดื้อๆ

ครอบครัวบ่าวเจือนั้นค่อนข้างจะอิสระเสรี น้าเณรแก้วและป้าเลี่ยนแกเลี้ยงลูกแบบอย่างไรก็ได้ น้าเณรแก้วนั้นเป็นเป็นลูกชายตายอดและยายทองสี ทั้งสองคนเป็นคนรอบรู้ฉลาดหลักแหลมซึ่งตกทอดมาถึงรุ่นถัดๆมา ด้วยความเป็นคนใจใหญ่ใจกว้างและใจนักเลงของหมู่บ้าน บ้านนี้ไม่มีใครสนใจว่าใครจะว่าจะคิดอย่างไรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำนองว่าเราจะอยู่ของเราอย่างนี้ใครจะทำไม แต่ก็เป็นมิตรกับทุกๆคน ด้วยเหตุนี้ใครไปใครมาจากต่างถิ่นก็จะมากินมานอนที่นี่ บังจึงมักจะไปขลุกอยู่ที่นี่กับบ่าวเจือ และเรียนรู้เรื่องราวที่หาไม่ได้ที่บ้านตัวเองและบ้านอื่นๆ นั่งฟังผู้ใหญ่เขาพูดกันสารพัดเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการทำมาหากินไปจนถึงเรื่องเซ็กส์ คนส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจว่าจะมีเด็กนั่งฟังอยู่ด้วยเพราะถือว่าอายุยังน้อยฟังไม่รู้เรื่อง เขาจึงพูดกันตามสบายแบบไม่ยั้ง แรกๆก็ฟังไม่รู้เรื่อง แต่หลังจากฟังหลายๆครั้งเข้าและไปซักเอากับบ่าวเจือในส่วนที่ไม่เข้าใจ หลังๆจึงรู้แจ้งทุกกระบวนความที่ได้ยิน นานๆเข้าก็เลยเที่ยวลองนั่นลองนี่ ตั้งแต่ยนหมาก กินหมาก นัตถ์ยา ไปจนถึงลองสูบยาใบจาก สูบเสร็จอ้วกแตกและนอนมึนอยู่หลายชั่วโมง เข็ดไม่กล้าลองอีกนานตั้งแต่นั้น ยังจำเสียงยายทองสีหัวหัวเราะได้จนกระทั่งทุกวันนี้

น้าเณรแก้วปลูกบ้านอยู่ติดๆกับบ้านยายทองสี ส่วนตายอดนั้นตายไปก่อนที่บังจะจำความได้ อีกฟากหนึ่งของคลองอู่ตะเภาตรงกันข้ามกับบ้านน้าเณรแก้วคือวัดเก่าหรือวัดอู่ตะเภา มองออกนอกหน้าต่างด้านทิศตะวันออกของบ้านน้าเณรแก้ว จะเห็นโบสถ์และพระประธานในโบสถ์อย่างชัดเจนเนื่องจากโบสถ์ไม่มีฝาผนัง น้าเณรแก้วและป้าเลี่ยนอยู่บ้านหลังนี้มากว่าสิบปี หลังจากคลอดไข่เค ลูกชายคนสุดท้องได้สักสี่ห้าปี ป้าเลี่ยนก็ล้มป่วยและตายหลังจากเจ็บกระเสาะกระแสะอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่แกยังเจ็บ ตาหนี่หมอไสยศาสตร์ต่างถิ่นพเนจรผ่านมาและทำนายว่าสาเหตุแห่งการเจ็บป่วยของป้าเลี่ยนนั้นมีสาเหตุมาจากสร้างบ้านอยู่ในเงาโบสถ์ เท่าที่ได้ยิน น้าเณรแก้วไม่ได้ศรัทธาในคำทำนาย แกว่าโบสถ์ในพุทธศาสนาเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีและไม่เบียดเบียน ไม่ใช่การการมีพิษภัยและการทำร้ายทำลาย

ความเจ็บไข้ไม่สบายนั้นเป็นสิ่งที่มาพร้อมๆกับคนเราและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีอยู่ร้อยแปดพันประการ พี่เปี่ยมลูกสาวป้าพร้อมและลุงเชือนนั้นมีอาการทางโรคจิต ลุงเชือนพาไปโรงพยาบาล ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าไม่ได้รับการสนใจเท่าที่ควรสำหรับคนบ้านนอก เนื่องจากไม่ค่อยจะมีสตางค์ แกลองหมอบ้านมาแล้วแทบทุกสาขาวิชาเฉพาะ(ใช่แล้ว หมอบ้านก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน) ไปถามหมอทอง(คนละทองกับกับทองที่สถานีอนามัย)ซึ่งเชี่ยวชาญทางพระเคราะห์และอุบาทว์ แกก็บอกว่าถูกอุบาทว์ ทำพิธีแก้แล้วหลายรอบก็ไม่หาย เสียไก่ไปแล้วหลายตัว ไปหาหมอบ้านผู้เชี่ยวชาญเรื่องครูหมอ หมอบอกว่าถูกบรรพบุรุษที่เป็นครูหมอโนราห์ลงโทษ ให้ทำการเล่นโนราห์โรงครูขอขมา เอาโนราห์มาเล่นขอขมาบรรพบุรุษอยู่สามวัน อาการของพี่เปี่ยมก็ไม่ดีขึ้น บรรพบุรุษจะมาดูหรือเปล่านั้นไม่มีใครบอกได้ แต่ชาวบ้านและเด็กๆได้ดูโนราห์ฟรีและได้พลอยกินข้าวกินแกงสำหรับเลี้ยงโนราห์กันหลายมื้อ ตาหนี่หมอพเนจรมาได้จังหวะ แกบอกลุงเชือนว่าแกสามารถที่จะรักษาพี่เปี่ยมได้ด้วยวิชาไสยศาสตร์ของแก แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน แกต้องการแค่ข้าวสามมื้อและที่นอนเท่านั้นในขณะที่ทำการรักษา ลุงเชือนกำลังหมดหวัง ลองอีกครั้งจะเป็นไรไป ตาหนี่จึงกลายเป็นสมาชิกครอบครัวคนใหม่ของลุงเชือน

ตาหนี่พูดภาษาใต้ไม่ได้ แกบอกว่าแกมีพื้นเพอยู่ทางภาคกลาง แกอายุประมาณเจ็ดสิบเศษ ท่าทางเป็นคนพูดเก่งและจิตวิทยาดี การรักษาของแกก็ไม่มีอะไรมาก มีเพียงการเป่ากระหม่อมวันละครั้งและให้กินยาสมุนไพรของแก เพียงชั่วไม่กี่วันจากปากต่อปาก ข่าวก็แพร่ออกไปทั้งตำบลว่ามีหมอวิเศษมารักษาพี่เปี่ยมและพักอยู่ที่บ้านลุงเชือน ทุกๆคืนตั้งแต่ย่ำค่ำจนดึกจะมีคนนับสิบๆมาที่บ้านลุงเชือนด้วยสาเหตุต่างๆกัน บ้างมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างมาเพราะอยากถามและให้รักษาตัวเองบ้าง ส่วนบังและเด็กๆอีกหลายคนอยากไปฟังนิทานและเล่นเกมส์แปลกๆที่ตาหนี่เอามาเผยแพร่ กิติศัพย์ของตาหนี่โด่งดังไปอย่ารวดเร็ว ส่วนแกจะรักษาโรคได้จริงหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจจะเห็นผลทันที

บังกลายเป็นขาประจำไปแล้ว หลังจากกินข้าวค่ำเสร็จ ก็เป็นเผ่นผลุงกระโดดนอกชานไปบ้านลุงเซือนก่อนใครๆ ตาหนี่แกคุ้นกะบังพอสมควรขนาดจำชื่อได้ บังได้ยินมาแว่วๆว่าตาหนี่กำลังหาเด็กไว้ดูลูกแก้ว เนื่องจากแกเป็นหมอดูลูกแก้วเวลาทำนายทายทัก แกจะจ่ายค่าจ้างวันละห้าบาทสำหรับคนที่แกเลือก คุณสมบัติของเด็กที่แกเลือกนั้นต้องเป็นเด็กเรียบร้อย อายุไม่เกินแปดขวบแต่อาจจะผ่อนปรนได้นิดหน่อยสำหรับอายุ ต้องว่านอนสอนง่าย และไม่เคยโดนหมากัด บังนั้นรู้ตัวดีว่าขาดคุณสมบัติครบถ้วนทุกอย่าง แต่กะอีแค่ดูลูกแก้วมันจะยากอะไร แต่ตอนนั้นยังนึกไม่ออกว่าทำไมแกจึงกำหนดคุณสมบัติเช่นนั้น ในขณะที่แกกำลังสอบสัมภาษณ์บังอยู่นั้น ป้าเอียดโผล่เข้ามาพอดี แกบอกตาหนี่ว่าบังเคยโดนหมาของแกกัดเอาจนต้องฉีดยาป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจนสะดือจุ่น...โน่นไอ้นุ้ยหรือไอ้ตีบบ้านถัดไปโน่น...แต่ไอ้นุ้ยสาท่าจะอายุเกิน แต่ไอ้ตีบไม่เกินแน่นอน...ไอ้นุ้ยเป็นน้า ส่วนไอ้ตีบเป็นหลานแต่อายุห่างกันแค่3-4ปี ทั้งสองคนอย่าว่าแต่จะโดนหมากัด อาจจะไม่เคยโดนมดกัดด้วยซ้ำไปด้วยความว่านอนสอนง่าย บังเลยหมดโอกาสในทันใด

ตาหนี่พาไอ้ตีบตระเวรดูลูกแก้วทำนายทายทักรักษาสารพัดโรค ตาหนี่เป็นคนถามส่วนไอ้ตีบเป็นคนดูลูกแก้วแล้วตอบ ทั้งในและต่างตำบล ส่วนบังก็ค่อยๆห่างเหินออกมาหลังจากนิทานที่ตาหนี่เล่าเริ่มจะซ้ำและเกมส์ก็ไม่มีอะไรใหม่ ไม่เฉพาะแต่บัง คนอื่นๆก็ค่อยๆหายหน้าไป จนไม่มีใครไปอีก สี่เดือนให้หลังอาการของพี่เปี่ยมก็ยังเหมือนเดิม ตาหนี่เองก็ไม่ได้แสดงความวิเศษอะไรให้ปรากฏ แล้วจู่ๆตาหนี่ก็อันตรธานไปจากหมู่บ้าน ได้ข่าวหลังจากนั้นว่าแกไปหากินแบบเดิมอยู่ที่อำเภอจะนะ....

....บังได้โอกาสถามไอ้ตีบหลังจากตาหนี่สพายย่ามจากไปหลายเดือน ว่ามึงเห็นอะไรในลูกแก้วจริงหรือเปล่า ไอ้ตีบบอกว่า...ผมไม่เห็นอะไรหรอก ตาหนี่แกบอกผมไว้ก่อนทุกครั้งว่าจะให้เห็นอะไรและพูดว่าอย่างไร ถ้าผมลืมแกก็พูดล่อให้ แกขู่ผมว่าถ้าผมบอกความจริงให้ใครรู้ แกจะเสกหนังควายเข้าท้องผม ผมกลัวเลยไม่บอกใคร....

บังก็เลยเข้าใจเรื่องคุณสมบัติของเด็กดูลูกแก้วที่ตาหนี่กำหนดเอาไว้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถ้าป้าเอียดไม่ชิงปากเปียกเสียก่อน ดีไม่ดีทั้งตาหนี่และบังอาจจะโดนตึ๊บเพราะไปขัดคอกันจนเขาจับโกหกได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น