14 พฤศจิกายน 2554

ราม่าคูเต่า โรงหนังแห่งแรกของลุ่มน้ำอู่ตะเภา

แม่ทอมและคูเต่าห่างกันแต่ความกว้างเของคลองอู่ตะเภา เนื่องจากสะพานเชื่อมสองตำบลมีอยู่ที่เดียวที่วัดคูเต่า สองตำบลจึงเหมือนกับอยู่ห่างกันสุดแสนไกล เรือที่จะใช้ข้ามฟากก็แสนที่จะหายาก หากว่าบ้านใครเกิดมีจอดไว้ที่ท่าสักลำ ก็เป็นอันว่าวันๆไม่ต้องทำอะไร เพราะจะมีคนมาขอให้ไปส่งอีกฟากหนึ่ง คนจากอีกฟากหนึ่งก็ตะโกนเรียกให้เอาเรือข้ามไปรับให้ได้วุ่นวายอยู่ทั้งวัน บ้านที่มีเรือส่วนใหญ่จึงหามขึ้นมาเก็บไว้ใต้ถุน จะเอาลงน้ำก็ต่อเมื่อถึงหน้าน้ำเดือนอ้าย ตลอดสองฟากคลองตั้งแต่นารังนกไปจนถึงวัดคูเต่าต่างอยู่ในสภาพเดียวกัน บ้านริมคลองทั้งสองฝั่งที่อยู่ห่างกันไม่กี่ว่าจึงดูเหมือนไกลกันเหมือนอยู่คนละซีกโลก
เมื่อครั้งกระโน้นบ้านเราก็มีคนหัวเซ็งลี้หรือที่ทางสากลเขาเรียกว่าentrepreneurอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มากนัก โดยทั่วๆไปใครๆมักจะเป็นประเภทสะดวกนิยมเสียส่วนมาก คือมีก็กินไม่มีก็ไม่กิน ไม่ค่อยจะมีใครคิดการใหญ่เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย ซึ่งโดยสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมก็ไม่เอื้ออำนวยให้คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว ใครๆก็ทำนาแค่พอกินและส่วนใหญ่มีที่นาของตัวเองที่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่มีเจ้าที่ดินรายใหญ่ที่จะได้ตั้งตัวเป็นผู้ผลิตเพื่อการค้า ความรู้ทางเครื่องยนต์กลไกก็มีพอแค่ประกอบรถรุน(รถเข็น)ไว้ขนข้าว เทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าสูงสุดของพื้นที่ก็เห็นแต่การต้มเหล้า ซึ่งก็เป็นการไปขัดผลประโยชน์กับรัฐและนายทุนในเมือง เลยกลายเป็นอุตสาหกรรมเถื่อนเพราะทำโดยคนเถื่อน ผลผลิตจึงกลายเป็นเหล้าเถื่อน ตำรวจและสรรพสามิตต้องใช้เวลาเป็นวันในการเข้ามาตรวจค้นทำลายและจับคนทำไปปรับและขัง พวกนายเขาว่าเหล้าเถื่อนนั้นมันทำลายสุขภาพแต่เหล้าโรงนั้นคือน้ำอมฤต

บ้านลุงพูนอยู่ระหว่างวัดเก่า(วัดอู่ตะเภา)และวัดใหม่(วัดชลธารประสิทธิ์) ใครๆต่างก็นับลุงพูนเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้มีหัวการค้า หลายๆคนจึงเรียกแกว่าเถ้าแก่พูน แกเป็นรายแรกในละแวกนี้ที่ริเริ่มสร้างโรงสีข้าวสมัยใหม่ที่เรียกกันว่าโรงสีใหญ่ รับบริการสีข้าวเปลือกให้เป็นข้าวสาร โรงสีของแกตั้งอยู่ริมคลอง เป็นความสะดวกของผู้ใช้ เพราะ๙๕%ของการขนส่งของหนักในสมัยนั้นทำโดยทางเรือ โรงสีทำให้แกมีรายได้พอที่จะส่งลูกชายคนหัวปีและคนรองๆไปเรียนหนังสือในเมือง คนหนึ่งคือหลวงนันจบจากสถานศึกษาสูงสุดในพื้นที่ของเวลานั้นคือวิทยาลัยเทคนิคภาคใต้หรือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสงขลาในปัจจุบัน หลวงนันนั้นก็ไม่แพ้พ่อในด้านเซ็งลี้ ในระหว่างที่กำลังเรียน แกเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงผลักดันให้ลุงพูนสร้างโรงภาพยนต์ขึ้นใกล้ๆกับโรงสีเมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๕๐๘ ชื่อว่า"ราม่าคูเต่า"

อาคารโรงหนังสร้างค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับยุคสมัย พื้นที่ ผู้บริโภค เป็นอาคารคอนกรีตผสมไม้ถอดแบบมาจากโรงหนังชั้นนำที่หาดใหญ่และสงขลาในสมัยนั้น นอกจากบรรดาพรรคพวกญาติพี่น้องของลุงพูนแล้ว บังเป็นรุ่นจิ๋วที่มักจะไปป้วนเปี้ยนสังเกตุการณ์ตั้งแต่เขาลงมือก่อสร้าง ลุงพูนหาเรือข้ามฟากมาไว้บริการคนที่ข้ามฟากไปสีข้าว บังจึงสามารถข้ามไปมาได้ทั้งวัน ไปบ่อยจนคุ้นเคยกับหลวงนันดี พอสร้างโรงหนังเสร็จถึงเวลาเปิดโรงหนังและฉายรอบปฐมฤกษ์ เป็นช่วงหน้าร้อนโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ บังเลยได้ติดเรือหางยาวไปกับคณะโฆษณาของหลวงนันซึ่งติดเครื่องขยายเสียงในเรือประกาศให้คนทั้งสองฝั่งคลองมาดูหนัง ชมชนที่คนหนาแน่นที่สุดในสมัยนั้นคือบ้านใต้ ชึ่งประชากรเกือบ๑๐๐%เป็นชาวมุสลิม มีอาชีพประมงในทะเลสาบ และดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มเดียวที่มักจะมีเงินในกระเป๋า

บังขึ้นจากเรือเดินแจกใบปลิวโฆษณาที่บ้านใต้ แขกบ้านใต้มองบังด้วยความทึ่ง ว่าเด็กตัวเล็กอายุไม่ถึงสิบขวบ นุ่งกางเกงขาสั้นตูดขาดไม่ใส่เสื้อเดินแจกใบปลิวพร้อมทั้งเชิญชวนให้ไปดูหนังด้วยความมั่นใจ แถมยังเล่าเรื่องย่อๆของหนังให้ฟังทั้งทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยดู แต่อาศัยจากที่ฟังหลวงนันเล่าให้ฟัง ได้ยินบางคนพูดว่าสงสัยเป็นลูกคนเล็กของเถ้าแก่พูน บังไม่รับและก็ไม่ปฏิเสธตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพราะหลวงนันกระซิบเอาไว้ว่า...ไอ้เหล็ม ถ้ามึงทำได้ดีแล้วกูจะให้มึงมาแจกใบปลิวอีกในรอบต่อไปและจะให้ดูหนังฟรีทุกรอบ...ทุกรอบนั้นหมายถึงทุกอาทิตย์ เพราะเขามีกำหนดฉายอาทิตย์ละครั้ง ทุกๆคืนวันพฤหัส วันนั้นทั้งหลวงนันและทุกคนที่ไปด้วยกันเห็นพ้องกันหมดว่าบังทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยม บังก็แอบดีใจที่จะได้ดูหนังฟรี

การโฆษณาทำกันอย่างอึกทึกครึกโครมล่วงหน้าหลายวัน เป็นหนังไทยเรื่อง"สมิงบ้านไร่"นำแสดงโดยมิตร ชัยบัญชาและเพชรา เชาวราษฎร์ พระเอกนางเอกยอดนิยมในขณะนั้น กลับจากโฆษณาทางเรือ ลำโพงสองตัวก็ถูกนำขึ้นไปติดบนยอดหยีสูงริมคลองเพื่อทำการโฆษณาต่อโดยการปีนของหลวงช่วย เพราะแกเคยมีอาชีพคาบตาลและถนัดในเรื่องปีนป่าย และตอนนี้เองที่ชาวหัวควายและชาวแม่ทอมได้รู้จักหลวงช่วย โฆษกรายใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ปกติแกช่วยงานอยู่ที่โรงสีคอยยกชันข้าวเปลือกแบกข้าวสาร พายเรือข้ามฟากและฯลฯแล้วแต่ลุงพูนจะใช้

ความรู้ทั่วไปและทักษะในการพูดภาษากลางของหลวงช่วยค่อนข้างจำกัด คงจะแย่กว่าหนังตะลุงหลายเท่าตัว และแกไม่ยอมใช้ภาษาถิ่น แต่พยายามที่จะพูดภาษากลาง การโฆษณาหนังของแกจึงมีความพิศดารแสลงหูได้อย่างไร้เทียมทาน บรรดาเด็กและผู้ใหญ่ทั้งสองฝั่งคลองแรกๆก็นั่งหัวเราะกันหน้าดำหน้าแดง แต่พอผ่านไปได้สักพัก เสียงหลวงช่วยก็กลายเป็นเสียงหนวกหู เพราะแกพูดวกไปวนมาอยู่ที่เดิมด้วยภาษาที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง แต่หลวงช่วยก็พูดได้ไม่หยุดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง แกชอบและมีความพากพูมใจในการพูดเข้าเครื่องขยายเสียงเอามากๆ และยึดหน้าที่นี้มาตลอดทั้งๆที่โดนหลวงนันและลุงพูนบอกให้ลดๆลงหน่อย...ต่อมาแกจึงได้ฉายาว่า"ช่วยหัวชัว" เวลามีงานมีเครื่องขยายเสียงที่ไหนหากว่าไมค์ติดเข้าไปอยู่ในมือหลวงช่วยก็ยากที่ใครจะเข้าไปแย่งออกมาได้ แกจะจ้ออยู่ได้อย่างไม่รู้เบื่อ

และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง รอบปฐมฤกษ์เบิกโรงของรามาคูเต่า คนแห่กันมาจนแทบจะล้นโรง ตั๋วผู้ใหญ่๔บาท เด็ก๒บาท บังไปทวงตั๋วฟรีก็ไม่ได้ คนขายตั๋วบอกให้ไปทวงกับหลวงนัน พอเจอหลวงนันแกก็บอกว่ารอให้คนที่ซื้อตั๋วเข้าไปให้หมดก่อนแล้วจะพาบังเข้าไป รอไปรอมาที่นั่งก็หมด หลวงนันก็ยังไม่มาพาบังเข้าไปเสียที จะซื้อตั๋วก็ไม่มีตังค์ เลยถือโอกาสตอนคนเฝ้าประตูเผลอแว็บเข้าประตูไปอย่างรวดเร็ว ในใจก็นึกด่าหลวงนันอยู่ตลอด...เห็นว่าเราเป็นเด็กเบี้ยวเราได้ดื้อๆ...แต่ก็ดูไปด้วยความตื่นเต้นจนจบเหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่ปะติดปะต่อ คนดูไม่มีใครบ่น เปลี่ยนม้วนฟีล์มอย่างน้อยสี่ครั้ง หนังขาดก็หลายครั้ง กว่าจะต่อได้ก็ครั้งละอย่างน้อย๑๕นาที ทุกคนกลับบ้านด้วยความเบิกบาน

หนังรอบปฐมฤกษ์ผ่านไป รอบวันพฤหัสถัดไปก็อีกไม่กี่วัน บังก็ไปป้วนเปี้ยนอยู่กับหลวงนันและพรรคพวกเช่นเคย หวังจะให้เขาชวนไปแจกใบปลิวอีก... แต่เอ๊ะ...แปลกแฮะ...หลวงนันทำเป็นไม่เห็น ไม่ทักไม่ทายเช่นเมื่อก่อน พอถึงตอนเขาลงเรือติดเครื่องขยายเสียง บังจึงพอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น คราวนี้มีคนใหม่สามคนที่ไม่ได้ไปคราวที่แล้ว...เป็นหลวงช่วย ไอ้ร่วยลูกชายหลวงช่วยและไอ้ชัยน้องชายหลวงนันซึ่งอายุมากกว่าบัง๓-๔ปี...เพราะเหตุนี้นี่เอง...บังถึงบางอ้อและมาจนถึงบางพลัด...พลัดเพราะโดนเขาไม่ยอมให้ร่วมกระบวนการอีกต่อไป บังจึงหมดความสำคัญ..โดนเบี้ยวไม่ยอมให้ตั๋วฟรีในรอบแรกอีกต่างหาก...แค้นนัก น้ำตาทำท่าจะไหลเอาให้ได้...

เรือของคณะโฆษณาออกจากท่าไปแล้ว ริมคลองหน้าโรงหนังจึงเหลือแต่บังคนเดียว ความเสียใจยังคับอก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงเดินแตร่ไปทางหน้าโรงหนัง เดินเฉียดไปทางห้องขายตั๋ว ซึ่งเป็นคอกสูงผนังซีเมนต์ใต้ถุนห้องฉายหนัง มีประตูเข้าอยู่ด้านในของโรงหนัง มีช่องหน้าต่างเล็กๆขนาดพอยื่นมือผ่านได้สำหรับซื้อขายตั๋ว ปิดไว้ประตูเลื่อนอันเล็กๆไม่มีกลอนจากข้างในตอนที่ไม่ได้ใช้ บังเตร่เข้าไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากจะรู้ว่าห้องขายตั๋วมันเป็นอย่างไร ก็เลยหาเก้าอี้มารองปีนขึ้นไปเปิดบังตาดู ที่ต้องรองเก้าอี้ก็เพราะช่องขายตั๋วเขาทำไว้สำหรับผู้ใหญ่ มันสูงท่วมหัวบังในตอนนั้น...ข้างในมีโต๊ะวางชิดผนังตรงช่องขายตั๋ว และตรงมุมโต๊ะด้านหนึ่งมีตั๋ววางอยู่หลายเล่ม...อ้อตั๋วหนังนี่เขาทำเป็นเล่มอย่างนี้เองบังคิดในใจ วันก่อนให้เราสักใบก็ไม่ได้...ได้โอกาสแล้วขอสักใบซิ...อยากโกงเราทำไม...ลักเอาดีกว่า แต่จะเอาอย่างไรล่ะอยู่ไกลเกินไปเอื้อมไม่ถึง เข้าไปก็ไม่ได้...ไม่เป็นปัญหา ลิงมันยังแก้ปัญหาชนิดนี้ได้ บังฉลาดกว่าลิง แค่หาไม้มาสอย ก็ได้ตั๋วมาหนึ่งเล่ม พอดีได้ยินเสียงใครเดินคุยกันมาแต่ไกลก็เลยไม่มีเวลาพอที่จะฉีกเอาแค่หนึ่งใบ ก็เลยเอามาทั้งเล่ม ก่อนที่ใครจะมาเห็น

ได้ตั๋วแล้วก็ข้ามฟากกลับมานั่งที่หลาทอม ตั๋วเล่มนั้นมีอยู่ประมาณ๕๐ใบ บังแค่ต้องการสักใบที่โดนเบี้ยว จะทำอย่างไรดีหว่ากับส่วนที่เหลือ พอดีหนุ่มๆในหมู่บ้านเดินผ่านมากลุ่มหนึ่ง บังจึงให้เขาไปทั้งเล่มที่เหลือบอกเขาว่าบังเจอตกอยู่ที่หน้าห้องขายตั๋ว ในใจก็คิดว่าคงจะไม่เป็นไร เขาคงจะไม่ปากเปียก เพราะถ้าเขาเอาไปพูดก็คงจะอดดูหนังฟรี บังคิดง่ายๆ และเป็นการคิดผิดถนัดสำหรับอนาคต เขาไม่พูดในขณะที่ยังได้ประโยชน์ แต่พอพ้นจากนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...

ราม่าคูเต่ารอบถัดจากนัดปฐมฤกษ์คนไม่แน่นเท่าคราวที่แล้ว แต่ก็ยังเกือบเต็มโรงอยู่ดี ไม่มีอะไรกระโตกกระตาก เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างยังใหม่ ระบบจัดการยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เรื่องตั๋วหายและตั๋วฟรีจึงไม่มีใครเห็นอะไรผิดปกติมากนัก ประกอบกับพวกที่ได้ตั๋วจากบังไปคงจะเอาไปทะยอยใช้ซึ่งก็คงจะกินเวลานานกว่าจะหมด ยังไม่หมดก็คงจะยังไม่มีใครพูดมาก แต่ก็ไม่วายที่บังจะได้ยินแว่วๆจากคนอื่นๆเรื่องบังแจกตั๋ว บังเริ่มจะกลัวความผิด และไม่ยอมไปเตร็ดเตร่แถวๆโรงหนังอีกหลังจากนั้น...

...และก็จริงอย่างที่มาคิดได้ทีหลัง พอพวกที่ได้ตั๋วไปเอาไปใช้จนหมดหลายเดือนให้หลัง เรื่องไอ้เหล็มแจกตั๋วฟรีก็เป็นที่รู้กันทั่วไปทั้งสองฝั่งคลอง...สองสามปีถัดมารามาคูเต่าก็ประสบกับภาวะขาดทุนเพราะไม่ค่อยมีคนดู พวกปากเปียกหลายคนบอกว่าโรงหนังเถ้าแก่พูนเจ๊งเพราะไอ้เหล็ม..

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14/11/54 14:21

    หลวงนันที่บังกล่าวถึงใช่คุณอนันต์ กาญจนสุวรรณหรือเปล่าเมื่อก่อนสร้างโรงหนังแล้วก็มาสร้างโรงเรียนเกษตรกรรมแห่งเอเซียแล้วผันตัวเองเข้าสู่วงการเมืองเป็นที่ปรึกษาคุณกร ธรรพรังสี แล้วมาสมัครนายกอบจสงขลาแข่งกับนายกอุทิศ ชูช่วยและวรวิทย์ ขาวทองซึ่งหักปากกาเซียนการเมืองด้วยการได้รับคะแนนสองหมื่นกว่าคะแนนซึ่งบรรดาเกจิบอกว่าคะแนนไม่ถึงหลักหมื่นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ก็เป็นหัวหน้าพรรคพลังเกษตรกรสำนักงานที่ตั้งพรรคอยู่ที่หัวควาย

    ตอบลบ
  2. ก็นันคนเดียวกันนั่นแหละ...

    ส่วนท่านอุทิศก็เห็นๆกันอยู่ทุกวันสมัยเรียนที่ม.ว.สงขลา ตอนนั้นเขายังไม่เล่นการเมือง เป็นคนขยันเรียนไม่ค่อยมีใครรู้จัก ส่วนบังเป็นพวกไม่ค่อยชอบอยู่ในห้องเรียนเลยสมัครกรรมการนักเีรียน เป็นคนแรกที่หาเสียงครึกโครมที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียน และได้รับการเลียนแบบในรุ่นต่อๆมา บังเอาวงดนตรีไก่ย่างงานแหลมมาแสดงในโรงเรียน เด็กๆเลยแห่มาดูหางเครื่องวงดนตรีกันหมด บังเลยสลับด้วยการหาเสียง ชนะขาดลอยเลย คนเดือดร้อนที่สุดคือเพี่อนๆผู้สนับสนุนทีโดนไถคนละบาทสองบาทจนครบ๓๐๐บาทค่าวงดนตรี ซึ่งเขาลดให้แล้วเพราะเขาว่างตอนกลางวัน

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ18/11/54 08:24

    http://www.youtube.com/watch?v=K9hcoiypXx4

    ตอบลบ