29 สิงหาคม 2554

ข้าวต้มมัดเป็นเหตุ


เมื่อสมัยที่บังเรียนอยู่ชั้นป๓ กำนันเจือ(หรือบ่าวเจือในเวลานั้น)ลูกพี่ใหญ่ได้จบชั้นป๔ล่วงหน้าออกไปท่องยุทธจักรแม่ทอมก่อนแล้วหลายปี สภาพดินฟ้าอากาศของแม่ทอมนั้นค่อนข้างจะเป็นวัฏจักรที่โดยรวมๆแล้วค่อนข้างจะแน่นอน ราวๆเดือนมิถุนายนฝนก็เริ่มตก ชาวบ้านก็เริ่มไถนาเป็นครั้งแรก เรียกว่า"ไถดะ" เดือนถัดมาก็หว่านข้าว พอย่างเข้าเดือนตุลาคมก็ถึงหน้ามรสุม ซึ่งฝนและระดับน้ำจะมีอยู่สามละลอกยาวไปจนถึงเดือนมกราคม ละลอกแรกจะเบา ละลอกสองหนักขึ้นหน่อย ละลอกสามจะหนักที่สุด โดยปกติน้ำในคลองอู่ตะเภาจะมีระดับสูงขึ้นและลดลงสามครั้งเช่นเดียวกันตามอัตราน้ำฝนที่มากับมรสุม จะมากบ้างน้อยน้อยบ้างในแต่ละปี แต่ลักษณะโดยทั่วๆไปก็ยังคงสภาพที่ชาวบ้านพอจะรู้ว่ควรจะเตรียมตัวอย่างไรในแต่ละปี ชาวแม่ทอมสมัยก่อนจึงไม่เดือดร้อนนักกับปัญหาน้ำท่วม เพราะรู้กันอยู่ว่าเป็นเรื่องปกติ บ้านแทบทุกหลังจะเป็นแบบใต้ถุนสูงซึ่งน้ำไม่มีโอกาสจะถึงชานเรือน แม้แต่ปีที่ท่วมหนักที่สุด โดยทั่วไป บันไดบ้านจะมีห้าถึงเจ็ดขั้น หากท่วมถึงสามขั้น ก็เป็นอันรู้กันว่าท่วมหนัก นอกจากรังไก่แล้วก็ไม่มีอะไรต้องกังวลสำหรับใต้ถุนเรือน รังไก่เองก็ทำจากลำไม้ไผ่สูงเกือบถึงเพดานใต้ถุน นอกจากจะช่วยให้ไก่ปลอดภัยจากมูสัง พังพอน และงูเหลือมแล้ว หน้าน้ำก็ไม่ต้องวุ่นวาย นอนจนเช้าจึงรู้ว่าน้ำพะใหญ่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร วัวที่เคยผูกไว้ข้างบ้านหรือใต้ถุนก็มีการนำไปไว้บนที่สูงล่วงหน้าแล้ว

พอเดือนกุมภาฯน้ำเริ่มจะแห้ง ถนนหนทางที่เต็มไปด้วยโคลนก็ค่อยแข็งตัว เข้าเดือนมีนาคมพื้นก็แห้งสนิท ข้าวในนาก็เริ่มจะเก็บได้ ชาวแม่ทอม"เก็บ"ข้าวเพราะใช้แกะตัดเอาทีละรวง ไม่ได้เกี่ยวด้วยเคียวทีละกำมือแบบทางภาคกลาง พอสิ้นเดือนมีนาคมย่างขึ้นเดือนเมษายน ชาวแม่ทอมก็เก็บข้าวเรียบร้อย แดดเริ่มทวีความแรง ซังข้าวเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง และเป็นสีน้ำตาลในที่สุดด้วยการแผดเผาของเปลวแดด วัวที่เคยต้องล่ามก็มีการปล่อยให้หากินตามสบาย เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ เด็กๆนักเรียนจึงกลายเป็นเด็กเลี้ยงวัว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ต้องเลี้ยงอะไร แต่เป็นข้ออ้างไว้บอกพ่อบอกแม่ว่าไปแลวัวเพื่อที่จะได้ไปเที่ยวเล่น บังไปตั้งแต่กินข้าวเที่ยงเสร็จ จุดหมายคือหลาแหวะ เด็กๆทุกคนชอบที่จะไปชุมนุมกันอยู่ที่นั่น เด็กรุ่นใหญ่หรือผู้ใหญ่ที่มาผสมโรงมีเรื่องมากมายมาเล่า เด็กรุ่นเล็กก็ไปพลอยเงี่ยหูฟัง ทำให้ได้ความรู้รอบตัวไปโดยปริยาย ตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระในหมู่บ้าน ไปจนถึงเรื่องที่หนุ่มๆไปขึ้นโรงแรมที่หาดใหญ่ รุ่นเล็กจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ มีการซักถามซอกแซกถึงรายละเอียดอย่างถี่ยิบ คนเล่าก็เล่าแล้วเล่าอีกอย่างพากพูมใจ คนฟังก็ฟังแล้วฟังอีกอย่างไม่รู้จักเบื่อ หากคนเล่าเกิดเล่าตกหล่นไปสักนิดจากการเล่าคราวก่อน ก็จะมีการทักท้วงให้เล่าใหม่ให้ครบ บ่าวเจือมักจะแอบเอายางเส้นยิงไข่ หากเห็นกางเกงหรือผ้าถุงของใครตึงในขณะนั่งฟัง เล่นเอารุ่นเล็กต้องระวังตัวแจไม่เปิดโอกาสให้ใครจับพิรุธได้ในขณะที่นั่งฟัง

หน้าร้อนของแม่ทอมสมัยนั้นแห้งแล้งเหลือประมาณ อย่าว่าแต่ผลไม้ที่พอจะมีกินบ้างในฤดูอื่นๆ น้ำก็แทบจะหากินไม่ได้ บ่อน้ำกินที่น้ำพอจะกินได้ก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง หากจะพูดถึงขนมและของหวาน ก็แทบจะไม่มีขายนอกจากวันที่มีตลาดนัด สาเหตุเพราะไม่ค่อยมีคนซื้อเนื่องจากเงินหายาก ถ้าจะมีขายบ้างก็ตามวงการพนัน ซึ่งมีการลักลอบเล่นกันเป็นล่ำเป็นสันในหน้าร้อน ซึ่งมักจะเป็นวงปอ(หรือโป) อันว่าวงการพนันนั้นมีเอกลักษณ์อยู่สองสามอย่างที่ทำให้มีคนเอาอาหารไปขาย นักการพนันเล่นติดพันจนไม่อยากกลับไปหาอะไรกินที่บ้านและที่วงการพนันคนมักจะมีเงินในกระเป๋า จะเล่นได้หรือเล่นเสียก็ตาม คนขายจึงโก่งราคาได้ถนัด เช่นไข่ต้มหากซื้อกินที่นัดคูเต่าฟองละห้าสิบสตางค์ แต่ที่ข้างวงปอแม่ค้าจะขายฟองละ๒ถึง๓บาท นอกจากนั้นข้างวงปอมักจะมีจะมีขนมขาย เช่นข้าวต้มมัด กล้วยทอด และลอดช่องเป็นต้น

หวามหิวและความกระหายของเด็กแม่ทอมสมัยโน้นในขณะที่อยู่กลางทุ่งแดดเปรี้ยงๆนั้นมันมีความพิศดารเหลือบรรยาย มีการฝันกลางวันถึงน้ำแข็งบอก ซึ่งนานๆอาแป๊ะจากหาดใหญ่จะถีบรถเข้ามาขายเสียที และวันที่อาแป๊ะมาก็ดันไม่มีตังค์เสียอีก มีการหาของกินหลายรูปแบบเพื่อสนองความหิว เช่นหาปลาในแหวะมาปิ้ง ทั้งปลาน้ำแห้งและปลาในหนอง ขุดหนูรู ขุดปลาไหลและฯลฯ

บ่ายวันนี้ก็เช่นกัน หลังจากฟังนิทานที่หลาแหวะ บ่าวเจือมากระซิบบังว่าไอ้เหล็มมึงไปกะกู ที่ข้างเปลวหนองหินเขาเล่นปอกันอยู่ เราไปซื้อข้าวต้มมัดกินกัน บังน้ำลายสอทันที... กล้วยน้ำว้าหวานๆห่อด้วยข้าวเหนียวผสมกะทิมันตุ๊บ ได้สักอันแล้วอร่อยขาดใจ บังตัดสินใจไปด้วยทันที เราเดินข้ามทุ่งแหวะอันร้อนระอุ มุ่งไปทางตะวันตกอันเป็นที่ตั้งของเปลวหนองหิน ในใจก็ฝันถึงข้าวต้มมัดไปตลอดทาง มาถึงชายป่าฝั่งทุ่งตรงกันข้าม บ่าวเจือบอกว่าไอ้เหล็มมึงรอกูอยู่ตรงนี้ มึงยังเล็กนักถ้าเข้าไปเดี๋ยวคนเฒ่าเขาจะว่ากู ได้ข้าวต้มแล้วกูจะออกมา ที่ๆเขากำลังเล่นปอกันอยู่นั้นอยู่ลึกเข้าไปประมาณร้อยกว่าเมตร เป็นป่าทึบมองเข้าไปไม่เห็น

บังนั่งรอ ยืนรอ ชะเง้อรอ รอจนขี้เกียจรอ บ่าวเจือก็ยังไม่ออกมาเสียที นานเต็มที เอ๊ะชักจะยังไงเสียแล้ว...บังนั้นเจอลูกเล่นของบ่าวเจอมาจนชิน คราวนี้คงจะเจออีกแน่นอน หลอกให้เรามาเป็นเพื่อน ได้ข้าวต้มแล้วแอบกินคนเดียว หรือไม่ก็หนีออกไปอีกทางหนึ่งเสียแล้ว...

แกล้งเราได้เราก็แกล้งตอบได้นิ...ไวเท่าความคิด...บังเอามือป้องปากตะโกนไปทางที่บ่าวเจือเดินเข้าไป...นึกถึงแต่บ่าวเจือ แต่ลืมนึกถึงนักการพนันเสียสนิท...
"นายมาแล้วเว้ย...นายมาแล้วเว้ย...นายมาแล้วเว้ย" ตะโกนเสร็จบังก็รอดูผล
สักครู่หนึ่งใครคนหนึ่งก็วิ่งออกมา...ทีแรกบังคิดว่าเป็นบ่าวเจือเอาข้าวต้มมาให้จึงยืนรอ พอเห็นชัด กลับเป็นลุงเถ็กขุ้ย แกตะโกนถามถามว่า ไหนนายอยู่ไหน...บังบอกว่าบังขี้หกบ่าวเจือหรอกเด้ ไม่มีนาย...ลุงเถ็กขุ้ยคว้าได้ไม้อันหนึ่งวิ่งตรงมาที่บัง...เห็นท่าไม่ดีบังก็เผ่นแน่บ ลุงเถ็กขุ้ยก็วิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ...แต่มีหรือที่จะตามทัน...แกวิ่งได้สักสองร้อยเมตรก็หยุดนั่งหอบบนหัวนา ทำท่าจะเป็นลม บังจึงค่อยๆเลี่ยงออกมา ข้ามทุ่งกลับไปที่หลาแหวะ รอจนได้เวลาก็ต้อนวัวกลับบ้าน...คิดว่าเรื่องคงจะหมดกันแค่นั้น...

กลับถึงบ้านมีคนรออยู่ก่อนแล้วหลายคน น้าหลวงบุญบอกว่าวงแตก วิ่งกันไปคนละทิศละทาง บางคนเข้าไปติดอยู่ในกอเตยออกไม่ได้ต้องถาง ลุงเถ็กขุ้ยเป็นเจ้ามือ ทีแรกก็วิ่งหนี แต่วิ่งไปทางเดียวกับบ่าวเจือ จึงรู้ว่าเป็นบังและสงสัยว่าบังจะแกล้ง ก็เลยกลับออกมาดู ไล่บังเสร็จกลับไปสำรวจความเสียหาย ปรากฏว่าลูกกงฉีหายไปหลายห่อ ไม่มีใครคิดเอาเรื่องเด็กเก้าขวบ ส่วนใหญ่ของนักการพนันถือเป็นเรื่องตลก อาการของแต่ละคนในวงปอได้รับการเอามาเล่ากันอย่างสนุกสนาน และเล่ากันมาจนเป็นตำนาน หลวงตุด(ผู้ซึ่งชาวแม่ทอมตั้งให้เป็นรองอธิการม.อ.สมัยหมอทองจันทร์เป็นอธิการฯ)ต้องพูดเรื่องนี้ทุกครั้งที่เจอบัง...

แต่ก็ไม่ทุกคนนักในวงปอวันนั้นที่มองเห็นเป็นเรื่องสนุก ครูเจริญ ครูโรงเรียนวัดคูเต่า ผู้เคยต้องคดีร่วมปล้น และอยู่ในระหว่างภาคทัณต์ แกเป็นคนที่ตกใจมากที่สุด จะเป็นเรื่องร้ายแรงหากแกโดนจับ  แกวิ่งหนีบุกดงหนามปีดาษ โดนหนามเกี่ยวยับเยินทั้งตัว...พอถึงวันโรงเรียนเปิด นักเรียนทั้งชั้นจึงประหลาดใจว่าทำไมครูเจริญจึงตีบังเสียยี่สิบทีโดยไม่เข้าใจว่าบังทำอะไรผิด ได้ยินแต่ที่ครูเจริญพูดว่าบังทำตัวเหมือนเด็กเลี้ยงแกะในนิทานอีสป และบังเถียงว่าเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะมันคนละเรื่องกัน เจ็บแสนเจ็บ เลือดซิบๆ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดให้ใครเห็น...ด้วยเหตุผลอะไรบังก็เหลือเดา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครูเจริญไม่เคยทำโทษบังอีกเลย แกเรียกใช้บ่อย ให้ตังค์ซื้อขนมหลายครั้ง ปกป้องบังทุกอย่างจนออกหน้าเวลาบังมีปัญหาที่โรงเรียน จนหลายๆครั้งแกสร้างความไม่พอใจให้ครูใหญ่เป็นอย่างมากที่มีคนมาขัด...

ส่วนลุงเถ็กขุ้ยก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยถือโทษโกรธเคืองบังแม้แต่น้อย สิบกว่าปีหลังจากวันเกิดเหตุ ลุงเถ็กขุ้ยและหลวงขิ้มลูกชายอุตส่าห์มาส่งบังที่สนามบินหาดใหญ่ตอนบังจากบ้านเดินทางไกลไปเรียนต่อ แกแถมเงินให้อีกร้อยบาท ซึ้งใจแกจริงๆ...แกบอกว่ากูลืมเหตุการณ์วันนั้นไม่ลง...ทั้งโกรธทั้งขำ...

1 ความคิดเห็น:

  1. ผมชอบสำนวนการเขียนจริงๆ เด็กแม่ทอมก็มีพรสวรรค์สูงมากจริงๆ
    เรื่องแบบนี้ แม่ทอมมีมากไม่แพ้ที่อื่นๆ หรอก แต่ใครจะเขียนให้สนุกได้แบบนี้ล่ะ?
    สุนทร ลัภกิตโร

    ตอบลบ