21 มีนาคม 2553

ภาพแม่ทอมเมื่อ๑๕ปีก่อน

ทอม
สภาพของทอมเมื่อ๑๕ปีก่อนกับวันนี้ไม่ได้ดูแตกต่างกันมากนัก ที่เห็นชัดๆคือยังไม่มีการลงไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวในระดับที่เห็นในปัจจุบัน การจับปลาในทอมก็มีอยู่เพราะเป็นเรื่องที่ทำกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ แต่ดูเหมือนว่าจะมีกฏเกณฑ์กติกาที่ได้รับการเคารพและปฏิบัติ จึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างลงไปอยู่ในทอม
เมื่ออีก๑๕ปีก่อนหน้านี้(ก่อนสภาพที่เห็นในรูป)บริเวณรอบๆทอมไม่ได้เป็นที่โล่งอย่างที่เห็น แต่เต็มไปด้วยป่าสาคูและต้นเผียะ ในทอมเต็มไปด้วยหญ้าและผักตบชวา หญ้าขึ้นทับถมกันหนากว่า๑๐นิ้วขนาดที่ขึ้นไปเดินข้างบนได้ หลายๆปีจึงจะมีน้ำท่วมใหญ่สักครั้งหนึ่ง ชะเอาบรรดาสวะวัชพืชไปออกคลองอู่ตะเภาจนหมด นับเป็นการขจัดความรกร้างเสียครั้งหนึ่งโดยธรรมชาติ ได้ตั้งต้นใหม่กันอีกครั้งหนึ่งกับทอมที่ปราศจากวัชพืชและซากพืช
ปากทอม
ปากทอมเป็นส่วนของทอมที่ไปต่อกับพรุออก เป็นชื่อที่เรียกสืบต่อกันมา หากไม่รู้ประวัติก็ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงเรียกว่าปากทอม ในยุคก่อนที่จะมีการขุดลอกทอมจนมีสภาพอย่างที่เห็น ปากทอมเป็นพงรกเป็นที่อยู่และที่ทำรังของนกน้ำนาๆชนิด เช่นนกอีลุ้มและนกเจาเป็นต้น และยังเป็นที่อยู่ของมูสังและสัตว์ป่าอื่นๆที่เหลืออยู่ในตำบลแม่ทอม เป็นสภาพของหนองน้ำธรรมชาติมีความงดงามมาก ฟากตะวันออกเป็นที่ของหวะแหละบอง ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นที่ของตระกูลหวานวงค์ ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเพิ่งมาถูกถมเชื่อมกันสมัยเงินผัน ซึ่งเป็นยุคแห่งการถมคลองให้เป็นถนนและขุดถนนให้เป็นคลองเพื่อการเอางบประมาณมาใช้
แหลมขลี
แหลมขลีเป็นชื่อในประวัติศาสตร์อีกชื่อหนึ่ง แต่เดิมเป็นที่ไร่ของลุงพุดและป้าเขียว หน้าน้ำจะปรากฏเป็นแหลมยื่นออกไปในพรุตรงปากทอม มีต้นขลีและต้นชุมแสงใหญ่อยู่ตรงปลายแหลม เป็นที่พักเหนื่อยของคนที่พายเรือไปตัดไม้เสม็ดจากพรุตกมาทำฟืน คนที่บ้านอยู่หนองหินเคยอาศัยเส้นทางนี้ในการขนข้าวไปสีที่โรงสีของตำบลในยุคที่ชาวแม่ทอมส่วนใหญ่ยังทำนาและปลูกข้าวกินเอง
พรุออก
จากปากทอมไปทางทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ๆที่เรียกกันว่าพรุออก(หรือพรุเฉยๆ) แนวป่าอีกฟากหนึ่งคือส่วนที่เรียกกันว่าโคก ก่อนปีพ.ศ.๒๕๒๐ไม่มีบ้านคนนอกจากส่วนที่ค่อนไปทางทิศใต้ ไม่มีถนน มีแต่ทางเดินเท้าลัดเลาะไปตามสวนรกร้าง ที่อาจะมียางพารา ต้นตาลและต้นมะพร้าวเป็นหลัก หลังเกี่ยวข้าวเสร็จทุ่งนาแถวๆนี้คือที่เลี้ยงวัว ซึ่งวัวจะถูกปล่อยให้ออกหากินเองโดยไม่มีการล่าม หน้าที่ของเด็กๆก็คือการตามหาและต้อนวัวกลับบ้านในตอนเย็น วัวจะหากินทั้งทางฝั่งพรุออกหรือข้ามไปทางฝั่งพรุตก ความจริงแล้วหน้าที่เลี้ยงวัวเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ของเด็กๆก็คือได้ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ และฟังนิทานจากผู้ใหญ่ตามใต้ร่มไม้  ผู้ใหญ่เล่าว่าเคยมีป่าเสม็ดอยู่ที่พรุออกตรงไกล้ๆสวนหลวงเหย็บ เรียกกันว่าเหม็ดเอียด (ป่าเสม็ดเล็ก) ซึ่งโดนถางกลายเป็นนาไปจนหมดเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ๆแถบนั้นจะตกมาถึงหลวงเหย็บ 
พรุตก
พรุตกคือแหล่งผจญภัยในหน้าร้อนของเด็กๆสมัยก่อน ถนนที่เห็นอยู่เพิ่งจะมาสร้างกันหลังปีพ.ศ.๒๕๒๐ ซึ่งบรรยากาศเก่าๆได้หายไปหมดแล้วหลังจากมีการตัดถนนไปบรรจบกับถนนสายหลักที่โคกพลา-นารังนกน้ำจากบ่อที่หลาตาวันเคยใสสะอาด สำหรับดื่มกินดับกระหายของบรรดาคาวบอยน้อยใหญ่ หากอยู่ค่อนไปทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ต้องไปบ่ออิฐถ้าหากใครต้องการน้ำดื่ม บ่ออิฐเป็นบ่อโบราณอยู่ริมพรุใกล้บ้านของบรรพบุรษของท่านอธิการถาวรอดีตเจ้าอาวาสวัดคูเต่า ตามลักษณะททางภูมิศาสตร์ พรุตกคงจะเคยเป็นป่าชายเลนและเคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบเมื่อยุคก่อนประวัติศาสตร์ หลักฐานก็คือซากสัตว์ทะเลที่อยู่ในชั้นดินดำหากว่าขุดลงไปประมาณ๕-๑๐เมตร
เล่าต่อๆกันมาว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของพรุตกไปจนถึงบ้านหาร ท่าช้างและบางหยี เป็นตงต้นเสม็ด เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่ จึงมีการหักล้างถางป่าเสม็ดให้กลายเป็นที่ทำนา จวบจนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๐๐ ป่าเสม็ดซึ่งเป็นป่าสาธารณะก็ยังเป็นที่ส่วนใหญ่ของพรุตก กว้างใหญ่มากขนาดเด็กๆเข้าไปยิงนกแล้วหลงอยู่เป็นวันสองวันหาทางออกไม่ได้
มีชาวบ้านจำนวนมากได้ทำการบุกรุกโดยอ้างว่าเป็นที่"หัวดิน"หรือเขตที่ติดอยู่กับที่ดินของเขา ป่าเสม็ดที่เหลืออยู่บ้างในปัจจุบันจึงเป็นเพียงส่วนน้อยที่เหลืออยู่ จากที่เคยเป็นสมบัติสาธารณะ ตอนนี้กลายเป็นสมบัติส่วนบุคคล 

เขตป่าเขา
เขาสูงที่มองเห็นลิบๆอยู่ทางทิศตะวันตกของของพรุตกคือส่วนหนึ่งของเทือกเขาบรรทัดอยู่ในเขตอำเภอสะเดา หาดใหญ่และรัตภูมิ ยอดเขาทางขวาสุดอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๑๐๐๐เมตรเรียกว่าเขาแก้ว ถัดมาทางด้านซ้ายคือเขตป่าเขาในพื้นที่อำเภอคลองหอยโข่ง และบ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาอำเภอหาดใหญ่ ในยุคที่การต่อสู้ระหว่างพคทและฝ่ายรัฐบาลเพิ่มความแหลมคมขึ้น การปะทะกันครั้งแรกได้เกิดขึ้นที่บ้านวังพาตำบลทุ่งตำเสาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๒ ซึ่งอยู่ห่างจากตำบลแม่ทอมแค่๒๐กิโลเมตร (ระยะทางกาบิน) การต่อสู้เกิดติดต่อกันหลายวัน เนื่องจากแม่ทอมเป็นทางผ่านของเครื่องบินติดปืนจากฐานบินที่ตัวเมืองสงขลา หลังจากเครื่องบินๆผ่านไปชั่วครู่ ชาวแม่ทอมจะได้ยินเสียงปืนกลจากเขตที่มีการต่อสู้อย่างชัดเจน สร้างความตระหนกตกใจให้กับชาวบ้านเป็นอันมาก เนื่องจากทางการได้โฆษณาว่าพคทคือผีร้ายและจะจับคนไปไถนาแทนวัว หลังจากเหตุการณ์วันที่๑๔ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ การเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายก็ออกมาจากที่มืดในบางส่วน คนจำนวนมากเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ฝ่ายซ้ายรุกหนักทั้งทางการเมืองและการทหาร พวกซ้ายส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนเริ่มซึมลึกในมหาวิทยาลัยทุกแห่ง รวมทั้งที่มอ ฝ่ายรัฐบาลใช้วิธีการปราบปรามอย่างรุนแรง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ระบบเศรษกิจแบบสังคมนิยมก็เป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ในการบริหารประเทศได้ ควรจะปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช้ผู้กุมอำนาจชิงตัดสินเสียเองเพราะกลัวเสียผลประโยชน์ จนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๑๙พวกขวาจัดในส่วนกลางได้สร้างเงื่อนไขในการปราบปรามสำเร็จที่ธรรมศาสตร์ มีคนตายหลายพันคนรวมทั้งนักศึกษา นักศึกษามอส่วนหนึ่งที่ทำกิจกรรมการเมืองก็ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเดียวกับในส่วนกลาง มีการบุกค้นหอพัก ห้องเรียน และที่ทำการองค์การนักศึกษา รวมทั้งติดตามจับกุมตัวนักทำกิจกรรมที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร นักศึกษามอหลายร้อยคนจึงหนีขึ้นเขาไปอยู่กับพคทที่ทุ่งตำเสาและพัทลุง กว่ารัฐบาลจะเข้าใจวิธีเอาชนะและออกกฏหมายนิรโทษกรรมก็หลายปีหลังจากนั้น ต้องล้มตายกันทั้งสองฝ่ายอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น การเมืองแท้ๆที่เป็นต้นเหตุ มีคนดีๆมากมายจากมอที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเองให้กับความขัดแย้งทางความคิดและการต่อสู้ ขุนเขาที่เห็นตั้งทะมึนอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่ทอมคือที่ฝังศพของเขาเหล่านั้น 

เมื่อมองย้อนกลับไปอีกครั้งหนึ่ง แท้ที่จริงนักศึกษาทั้งหมดเป็นพวกแสวงหาสัจจธรรมและควาถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่คนยากคนจนที่ถูกกดขี่ขูดรีดที่ต้องต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย แต่หลังจากที่เขาได้ศึกษาปรัชญาการเมืองของมาร์ก-เลนิน-เหมา ทำให้เขาคิดไปว่านั่นคือสัจจธรรมสูงสุดสำหรับมวลมนุษย์ เนื่องจากทฤษฏีทางการเมืองสาขานี้ได้นำเอากระบวนการทางวิทยาศาสตร์และปรัชญามาใช้อย่างเป็นระบบ เช่นมาร์ก-เลนินใช้ Dialectical Materialismในการวิเคราะห์สังคม ระบบการวิเคราะห์แบบDialecticนั้นใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรีกและอินเดียโบราณ พระพุทธเจ้าเองก็ใช้กฏเกณฑ์เดียวกันในการนำไปสู่การตรัสรู้ (การมองสรรพสิ่งให้เห็นถึงสภาพที่เป็นจริง) เป็นที่น่าเสียดายว่าฝรั่งไม่ค่อยจะเข้าใจปรัชญาตะวันออกถึงขั้นลึกซึ้งเขาจึงใช้ปรัชญาที่เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของเขาในการคิดและวิเคราะห์ปัญหา ซึ่งเป็นการมองออกไปที่วัตถุเป็นด้านหลัก ในขณะที่ปรัชญาตะวันออกมองไปทั้งที่จิตและวัตถุแต่ถือว่าจิตเป็นใหญ่ เหมาก็มีอคติกับความคิดเก่าในสังคมจีนคือลัทธิเต๋าและพุทธฝ่ายมหายานจนพลาดที่จะเห็นของดีในอารยธรรมตะวันออก หาไม่เช่นนั้นแล้วโลกเราคงจะพัฒนาไปไกลกว่าปัจจุบันมากโดยเฉพาะทางด้านจิตใจและจริยศาสตร์ เพราะความรู้สุดยอดที่แท้จริงที่ครอบคลุมสรรพสิ่งทั้งปวงอย่างทั่วถ้วนนั้นพระพุทธเจ้าได้ค้นพบเอาไว้นานกว่าสองพันปี แต่มีน้อยคนที่จะเข้าใจแม้กระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ เนื่องจากเป็นเรื่องลึกซึ้งและอาศัยสติปัญญาเป็นอย่างมากในการสัมผัส ท่านพุทธทาสได้ศึกษาและสรุปเอาไว้ในคำบรรยายสั้นๆที่ชื่อ "ใจความทังหมดของพระพุทธศาสนา"หรือ"แก่นพุทธศาสน์" สามราถอ่านได้ที่ลิ้งค์ข้างล่าง

07 มีนาคม 2553

ผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม

     แม่ทอมสมัยก่อนถึงแม้ว่าจะมีความกันดาร ห่างไกลความเจริญของเมืองและดูเหมือนว่าเป็นตำบลที่โลกลืม แต่ชาวแม่ทอมหลายคนที่ไปเรียนต่อในเมืองก็โม้ให้คนที่ไม่เคยมาหรือรู้จักแม่ทอมฟังกึ่งขบขัน จนคนฟังหลายๆคนที่เส้นตื้นหน่อยเชื่อสนิท เช่นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านกำนันเจือซึ่งไปเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯโม้ให้พระและเณรที่วัดฉัตรแก้วฯซึ่งแกไปพักอยู่ว่าอันตำบลแม่ทอมอันเป็นบ้านเกิดของแกนั้นชาวบ้านมีอาชีพปลูกแอปเปิล ซึ่งความจริงก็คือฝรั่งหรือชมพู่หรือย่าหมูที่ชาวปักษ์ใต้เรียกกันแต่แกเอาไปโม้ให้เป็นแอปเปิ้ล เนื่องจากแอปเปิ้ลที่ขายในกรุงเทพฯนั้นส่วนหนึ่งเป็นของหนีภาษีที่เข้ามาทางมาเลย์เซียและคนกรุงเทพฯเวลามาหาดใหญ่หรือคนหาดใหญ่ไปกรุงเทพฯของที่ซื้อไปฝากคนกรุงเทพฯก็คือแอปเปิ้ล คนฟังจึงเชื่อสนิทว่าเขาปลูกกันที่หาดใหญ่ เมื่อมีคนเชื่อ คนเล่าก็โม้ต่ออย่างไม่ต้องยั้ง ว่าเนื่องจากแอปเปิ้ลจากแม่ทอมขายดีไปทั่วโลก กิจการทำสวนแอปเปิ้ลของชาวแม่ทอมจึงทำให้ชาวแม่ทอมอยู่ดีกินดีและร่ำรวยกันถ้วนหน้า สายการบินทุกสายที่บินจากสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์ไปกรุงเทพฯต้องบินผ่านแม่ทอม ซึ่งจริงๆแล้วก็คือบินผ่านแต่ไม่ได้ลงจอด สมัยนั้นยังไม่มีสนามบินหาดใหญ่ด้วยซ้ำไป ทีแรกคนโม้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้คนฟังเชื่อ เพราะเป็นการโม้ชนิดเป็นไปไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนเชื่อเสียสนิทจนได้

เด็กๆในแม่ทอมแหงนหน้าคอตั้งบ่าเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินไอพ่น พยายามจะมองหาว่าตัวเครื่องบินอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากเครื่องบินบินสูงมาก กว่าเสียงจะลงมาถึงเครื่องบินก็บินไปจนไกลลิบ เห็นแต่ขนาดเท่านิ้วก้อย มีการตั้งคำถามว่าคนโดยสารนั้นขี่ส่วนไหนของเครื่องบิน จะอยู่ข้างในหรือนั่งคร่อมไปบนหลังแบบขี่วัวขี่ควาย หลายๆคนก็ตั้งข้อสงสัยว่าก็เห็นชัดๆว่ามันมีขนาดเท่านิ้วก้อยแล้วคนจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร กำนันเจือผู้รอบรู้ก็ให้ความกระจ่างว่า เขาย่อตัวคนให้เล็กลงก่อนที่จะเข้าไปในลำของเครื่องบิน เด็กๆต่างก็ร้องอ๋อว่ามันเป็นเช่นนี้เอง กำนันเจือยังบอกอีกว่า เครื่องบินนั้นต้องบินอย่างระวังเวลาจะบินเข้าไปในก้อนเมฆ เพราะอาจจะไปชนเอาวิมารของเทวดาเข้า บางคนสงสัยว่าเครื่องมันบินขึ้นได้อย่างไร คนขึ้นไปนั่งตอนไหน และ ฯลฯ ที่ยิ่งทำให้สับสนไปกว่านั้น เพราะบางคนไปได้ยินมาเรื่องการกระโดดร่มของทหารที่มาโชว์ที่หาดใหญ่ ก็เลยคิดกันไปว่าคนโดยสารเครื่องบินเวลาจะลงจากเครื่องก็ต้องกระโดดร่ม มีคนไปดูแล้วกลับมาเล่า เพื่อให้เห็นภาพพจน์ คนเล่าจึงบอกว่าร่มชูชีพนั้นทำด้วยผ้า เวลาลอยลงมาก็ลงช้าๆ คนกระโดดจึงไม่เจ็บ เนื่องจากร่มกันฝนที่ใช้กันอยู่ในหมู่บ้านนั้นมีอยู่สองชนิด คือร่มกระดาษและร่มผ้า กำนันเจือและหลวงนิดลูกลุงสีอินจึงไปหาร่มผ้ากันฝนมาคันหนึ่งเพื่อทดสอบการกระโดดร่ม หลวงนิดปีนขึ้นไปบนต้นยางในสวนของบังหละทอมตก (ตอนนี้คือสวนครูหลุบอยู่เยื้องกับที่ทำการอบตในปัจจุบัน) หลวงนิดเที่ยวเดินง่อยอยู่หลายวัน ส่วนร่มหรุบขึ้นข้างบนพังพินาศ

หลังจากที่มีความพิศวงในเรื่องเครื่องบินมาเป็นเวลานาน ในที่สุดความฝันของเด็กๆก็เป็นความจริง วันหนึ่งประมาณเดือนธันวาคมปีพ.ศ.๒๕๑๒ น้ำกำลังหลากท่วมไปทั่วแม่ทอมตามปกติ พ่อหลวงเส้งออกไปหาหญ้ามาให้วัวที่ใกล้ๆหลนองแบน(หนองแบบนเป็น หนึ่งใน๔หนองน้ำ ที่เหลือคือหนองปลาตาย หนองขอน และ หนองโคลน)ฝั่งพรุตก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสวนตัวอย่างหลวงเหย็บในปัจุบัน จู่ๆแกก็เห็นเครื่องบินลำหนึ่งบินมาในระดับต่ำมาก ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ก่อนที่จะตั้งสติได้แกก็ได้ยินเสียงตูมใหญ่ตรงหนองแบนเพราะเครื่องบินทั้งลำได้ปักหัวลงไปในหนอง ต้นข้าวต้นหญ้าและน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ หลายนาทีผ่านไปพ่อหลวงเส้งยังอยู่ในสภาพช็อคทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งว่ายน้ำออกมาจากจุดที่เครื่องบินตกพร้อมทั้งเรียกให้ช่วย พ่อหลวงเส้งจึงได้สติและรีบเข้าไปช่วย ชายคนดังกล่าวใส่ชุดทหารอากาศ และขอให้แกพาไปบ้านกำนัน พ่อหลวงเส้งจึงพาขึ้นเรือถ่อไปบ้านกำนันพ่วง ซึ่งในตอนนั้นมีวิทยุสื่อสารประจำตำบล ในขณะที่นักบินกำลังวิทยุติดต่อกับต้นสังกัดผ่านอำเภอ พ่อหลวงเส้งวิ่งไปบอกบ้านนั้นบ้านนี้ว่าจรวดตกที่หนองแบนให้ไปดูกัน ภายในเวลาไม่กี่นาที ข่าวก็แพร่ไปทั้ง๖หมู่บ้านว่าจรวดได้ตกลงมาที่หนองแบน หนึ่งชั่วโมงต่อมาที่โคกซึ่งอยู่ระหว่างทอมตกและทอมออกใกล้จุดที่จรวดของพ่อหลวงเส้งตกจึงคลาคล่ำไปด้วยไทยและแขกมุงหลายร้อยคน หน่วยต้นสังกัดของเครื่องบินลำดังกล่าวได้ส่งเฮลีค็อปเตอร์มาลงที่โคก ก็เลยได้รู้กันว่าจรวดที่พ่อหลวงเส้งบอกใครๆในตอนแรกนั้นแท้ที่จริงคือเครื่องบินตรวจการหนึ่งเครื่องยนต์ สองที่นั่งที่เกิดเหตุเครื่องยนต์ขัดข้องและจำเป็นต้องลงฉุกเฉิน

หน่วยการบินที่อำเภอเมืองสงขลาวางแผนที่จะกู้เครื่องบินลำดังกล่าวกลับฐาน เนื่องจากไม่มีทางรถจะเข้าไปถึงจุดที่ไกล้จุดที่ตก เรือที่เข้าไปได้คือเรือถ่อ ทางเดียวที่จะนำเครื่องบินกลับฐานคือถอดแยกออกเป็นส่วนๆแล้วเอาฮ.ขนาดใหญ่มาลำเลียงกลับไป ปัญหาแรกสุดก็คือต้องเอาเครื่องจากในหนองขึ้นมาอยู่บนโคกก่อน ฟังดูก็ท่าจะหนักหนาเอาการอยู่เพราะไม่มีเครื่องจักรที่จะนำเข้าไปได้ หลายวันถัดมา จำนวนคนที่แห่มาดูจากทั้งตำบลแม่ทอมและตำบลไกล้เคียงเพิ่มจำนวนจากร้อยเป็นพันในวันหนึ่งๆ คนมาดูแต่ก็ไม่เห็นเครื่องบินที่ยังอยู่ในหนองกไกลออกไปกลางทุ่ง จึงเกิดความคิดว่าเอาแรงคนที่มาดูนั่นหละช่วยกันฉุดลากเรื่องบินขึ้นมาจากหนองเอามาไว้บนโคก ทางฐานบินสงขลาได้ส่งเชือกสำหรับลากมาให้ หลังจากพยายามกันอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ลากเครื่องขึ้นมาอยู่บนโคกได้สำเร็จ เครื่องบินยังอยู่ในสภาพเกือบปกติ เพราะโชคดีที่จุดตกนั้นน้ำลึกมาก คนที่มาดูเครื่องบินในแต่ละวันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลง

นับเป็นเวลาร่วมเดือนกว่าทางฐานบินจะจัดการหาเครื่องฮ.ขนาดใหญ่มาจากหน่วยอื่นเพื่อทำการขนย้ายได้ ทางฐานบินมีการมาสร้างเต๊นท์ให้ทหารที่ผลัดเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่เฝ้าเครื่องและจัดการอำนวยความสะดวกให้กับบรรดาคนอยากเห็นและนั่งเครื่องบิน มีการจัดคิวให้คนที่มาขึ้นลองนั่งทั้งวัน มีแม่ค้านำของกินมาขายกันให้เป็นที่เอิกเกริกเมือนมีงานมหกรรม บังเหล็มเวียนเทียนขี่เครื่องบินอยู่เป็นสิบๆรอบ นั่งทีไรขาลงก็มีชิ้นส่วนในห้องนักบินติดมือลงมาทุกทีที่ละชิ้นสองชิ้น จนเขาจับได้และขอคืนไปจนหมด เนื่องจากระยะเวลาเป็นเดือนกว่าจะเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนน้อยใหญ่กลับฐานได้หมด ทหารหน่วยที่มาเฝ้าเครื่องและจัดการสิบกว่าคนกับชาวบ้านก็กลายเป็นเพื่อนสนิท เมาหวากท้องถิ่นผสมเหล้าโรงที่มากับเสบียงที่ฮ.มาส่งวันละสองเวลา เมื่อวันสุดท้ายจึงมีแต่บรรยากาศเศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์กันทั้งสองฝ่าย

ตลอดเวลาที่หน่วยรักษาการมาอยู่ ลุงสีอินค่อนข้างที่จะเข้าติดและเอาอกเอาใจหัวหน้าหน่วยเป็นพิเศษจนออกหน้าออกตา แกมักจะพาหัวหน้าหน่วยไปกินหวากที่บ้านเพราะแกคาบตาลเอง หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าสงสัยแกหวังจะได้ลูกเขยทหารอากาศ แต่ลุงอินก็ไม่เคยเผยไต๋ให้ใครรู้ จนกระทั่งวันสุดท้ายที่หน่วยรักษาการจะถอนกำลังกลับ ฮ.บินมารับที่โคก ใครๆต่างก็ประหลาดใจที่เห็นลุงอินแต่ตัวต้วยชุดภูมิฐานที่สุดของแก คือกางเกงขาสั้นตัวใหม่เอี่ยมและเสื้อลายตัวงาม เดินตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นไปขึ้นเครื่องฮ.พร้อมๆกับหน่วยรักษาการณ์ ใครๆก็เลยถึงบางอ้อว่าลุงอินพยายามตีสนิทกับหัวหน้าหน่วยเพื่ออะไร เท่าที่รู้แกคือชาวแม่ทอมคนแรกที่ได้นั่งฮ.และเห็นตำบลแม่ทอมจากกลางอากาศ เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมเขื่องของลุงอินมาตลอดแกคุยแล้วคุยอีก กำนันเจือได้ยกย่องให้ลุงอินและหลวงนิดสองพ่อลูกเป็นผู้บุกเบิกด้านการบินและกระโดดร่มแห่งแม่ทอม