03 กุมภาพันธ์ 2556

เสือเหี้ยมและเสือหาญ

 เมื่อไม่กี่สิบปีก่อนแม่ทอมคือหมู่บ้านที่คงเอาสภาพเก่าๆเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมที่ใช้กันอยู่ในโลกภายนอกมีอยู่ไม่มากนักที่เข้ามาถึงแม่ทอม เนื่องจากกำลังซื้อของชาวบ้านไม่มี ดังนั้นสิ่งที่เป็นโลหะหรือพลาสติกในแต่ละบ้านจึงมีให้เห็นเพียงน้อยชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เช่นมีดทำครัว มีดพร้า ขวาน มีดงอ(เคียว)จอบและผานไถ บางบ้านอาจจะมีรถจักรยานอีกหนึ่งคัน ซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงฐานะทางการเงินของเจ้าของว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของหมู่บ้าน ซึ่งก็มีอยู่ไม่มากนัก

เสื้อผ้าก็เป็นสิ่งหายากราคาแพง ชาวบ้านรุ่นก่อนมักจะใช้กันอย่างทนุถนอมเต็มที่ ได้ผ้าถุงมาสักผืนก็ไม่กล้านั่งทับผ้าเพราะกลัวว่ามันจะโดนพื้นแล้วจะสึกหรอฉีกขาด เวลาจะนั่งตามใต้ต้นไม้รุ่นพ่อเฒ่าจึงนิยมใช้ก้นเปล่าๆนั่งลงบนพื้น ผ้าถุงจะถูกถลกขึ้นเอาไว้เพื่อปิดบังความอุจจาดตาอย่างเดียว ซึ่งเรียกกันตามศัพย์เทคนิคว่า"ลอกวานนั่ง" ซึ่งจะเห็นได้ว่าหนังก้นของบรรพบุรุษของชาวแม่ทอมนั้นมีความเหนียวแน่นทนทานยิ่งกว่าผ้ายีนส์ลีวายส์หลายเท่า ของแหลมประเภทหนามธรรมดาๆไม่อาจจะเป็นอันตราย ส่วนรองเท้านั้นคือสิ่งฟุ่มเฟือย หนังตีนของชาวแม่ทอมรุ่นเก่าเหยียบหนามไม้ไผ้หัก ความยืดหยุ่นคงทนอาจะมีมากกว่าพื้นรองเท้าไนกี้

บังมักจะได้ยินข่าวจากสื่อทั้งในบ้านเราและในประเทศที่เขาเจริญแล้ว บรรยายถึงความลำบากยากจนของผู้คนในบางส่วนของโลกหรือเวลาเกิดภาวะสงครามหรือภัยธรรมชาติว่าไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีห้องน้ำห้องส้วม ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ เป็นภาวะที่แร้นแค้นรันทดสุดประมาณ บังฟังแล้วไม่ค่อยจะได้พลอยตื่นเต้นกับเขา นึกกลับไปถึงสภาพที่เราเคยอยู่ตอนเด็กๆซึ่งคล้ายๆกันหรือติดไปในทางที่แย่กว่าเสียอีก ไม่ค่อยจะเห็นใครเดือดร้อนร่ำร้องไปกับสภาพ ส่วนใหญ่ก็อยู่กันโดยมีความสุขตามปกติ

ชาวแม่ทอมแต่ละวัยต่างก็ผ่านเวลาของตัวเองในแต่ละวันกันไปตามแบบฉบับที่สืบทอดกันมา ผู้ใหญ่ก็ทำมาหากินในสวนในนา ที่เสเพลก็เล่นปอเล่นกร็อกแกร็ก กินเมากินหวาก ส่วนเด็กๆเนื่องจากไม่มีอะไรให้ได้รู้ให้เห็นมากมาย ก็หาของเล่นกันไปตามเรื่อง เล่นลูกข่าง ปางนู ฉับโผง และอะไรที่ยิงได้หรือส่งเสียงดังคล้ายปืนจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ และเนื่องจากปืนเป็นของหายากจึงได้รับการสนใจจากเด็กๆเป็นพิเศษ

นักประดิษฐ์จำเป็นจึงเกิดขึ้นมากมาย อะไรที่มีลักษณะเป็นกระบอกโลหะจะถูกนำมาทำเป็นปืนจนหมดสิ้น รุ่นเล็กที่เพิ่งหัดเล่นก็เริ่มต้นจากการลักไส้ไก่รถจักรยานมาทำเป็นกระบอกปืน เอาไม้แผ่นมาทำเป็นตัวปืน นกปืนทำเป็นชิ้นไม้แล่นบนราง ใช้ยางเส้นเป็นสปริงสะสมกำลัง เอาแก๊ปยัดไส้ไก่ เอาตาปูทำเป็นตัวอัดระเบิด เวลายิงก็เอาหัวแม่มือสะกิดนกให้วิ่งไปชนตาปู ได้เสียงดังอย่างเดียวไม่มีลูกกระสุน หลังจากมีฝีมือเพิ่มขึ้น ปืนก็มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ใช้ดินปืนใส่ลูกปรายใช้ยิงนกยิงหนูได้ บังเองก็กลายเป็นนักเคมีจำเป็นด้วยความอยากเล่น รู้ว่าดินปืนนั้นประกอบด้วยดินประสิว กำมะถัน และถ่าน แต่ไม่รู้สัดส่วนที่พอดี ถามผู้ใหญ่ที่พอจะมีความรู้เขาก็หวงวิชาไม่ยอมบอก ตอนนั้นคนที่รู้วิธีปรุงดินปืนที่เชี่ยวชาญที่สุดของแม่ทอมก็คือนายบ้านคร้าวแห่งหมู่1 แต่แกไม่ยอมเผื่อแผ่ความรู้ของแกให้แก่บัง ถามเท่าไหร่แกก็ไม่บอก บังต้องลองผิดลองถูกอยู่นานจึงได้ดินปืนที่มีคุณภาพ และในที่สุดก็พบว่า ต้องใช้ดินประสิว6ส่วน กำมะถัน 1ส่วน และ ถ่าน 1 ส่วน ไม่ตรงสูตรสากล แต่ใกล้เคียง ถ่านต้องเลือกถ่านไม้เผาพิเศษเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ถ่านไมัที่ใช้ได้ผลดีที่สุดที่หาได้ในตอนนั้นคือถ่านจากไม้ดีปลี เพราะน้ำหนักเบา เนื้อละเอียด การเผาไหม้รวดเร็วและสมบูรณ์ กว่าพ่อบังจะรู้ว่าดินประสิวและกำมะถันที่แกซื้อมาไว้ทำเครื่องยาแผนโบราณโดนบังเอาไปเล่นจนหมด บังก็ค้นพบสูตรดินปืนด้วยตัวเอง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็แค่ถามกูเกิ้ล มันก็จะบอกว่า ดินประสิว 75% กำมะถัน15% และถ่าน10%ไม่ต้องลองผิดลองถูกให้ยุ่งยาก

หลังจากรู้สูตรดินปืน บังและเพื่อนที่อยู่บ้านติดกับบ้านนายบ้านคร้าวก็ไปขโมยดินปืนของนายบ้านมาลองเทียบกับของบัง เปลี่ยนสูตรอีกเล็กน้อย ของบังก็ได้คุณภาพพอๆกัน รู้แล้วก็ไปโอ้รดเยาะเย้ยด้วยการนำเอาส่วนผสมทั้งสามอย่างไปผสมและลองให้แกดู ว่าถึงไม่บอกเราก็ทำได้เหมือนกัน นายบ้านเคล้าจึงเกลียดขี้หน้าบังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่เด็ก11ขวบบังอาจไปวัดรอยเท้า

บังจากบ้านไปเรียนชั้นมัธยมที่สงขลาเสียหลายปี ความรู้เรื่องดินปืนพัฒนาไปเป็นดินอย่างอื่นที่รุนแรงกว่า เพราะตำราและสารเคมีค่อนข้างจะสมบูรณ์ขึ้นจากห้องสมุดและห้องแล็ปของโรงเรียน บังและเพื่อนคู่หูอีกสองคนมักจะหลบหนีชั้นเรียนขึ้นไปทดลองวิชาเคมีนอกหลักสูตรในป่าเชิงเขาน้อยข้างโรงเรียน ในที่สุดเราก็พบวิธีผลิตไตรไนโตรโทลูอีนหรือทีเอ็นทีและเชื้อปะทุ ทำเสร็จก็ต้องทดลองว่าใช้ได้ไหมโดยใช้ปริมาณไม่มากนัก เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ควันโขมงลอยขึ้นเหนือยอดไม้ มันแรงกว่าที่คาดเอาไว้มากนัก เราสามคนวิ่งกันไม่เหลียวหลัง อ้อมไปลอดลวดหนามกลับเข้าโรงเรียนอีกด้านหนึ่ง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปร่วมชะเง้อดูควันที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือยอดไม้กับบรรดาครูและนักเรียนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตำรวจมาดู เขาสันนิษฐานว่าใครโยนระเบิดมือลงมาจากบนเขา เนื่องจากไม่มีใครเป็นอะไรเขาจึงกลับไปโดยไม่ได้ติดใจจะสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นปฏิบัติการลับสุดยอดที่มีคนรู้เพียงสามคน ความลับเรื่องนี้จึงถูกปิดเงียบจนทุกคนเรียนจบและแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง

ปิดเทอมใหญ่ปีนั้น บังกลับแม่ทอมพร้อมกับส่วนที่เหลือจากการทดลอง ซึ่งพอที่จะทำให้เสียงดังเหมือนฟ้าผ่าได้อีกอย่างน้อยสองสามครั้ง หลวงหลุบเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบเล่นของพวกนี้เช่นเดียวกับบัง บังจึงไปหาแกที่บ้านทอมตก ชวนแกออกไปลองกันที่โคกใกล้หนำลุงทุ่มจะได้ไกลๆชาวบ้านหน่อย เสียงยังดังสนั่นอีกเช่นเคย จะผิดกันก็ตรงที่ว่ามันไม่ได้สร้างความตกใจให้กับคนที่ไม่รู้เรื่องด้วยเหมือนที่ลองครั้งแรกบนเขาน้อย อานุภาพของมันสร้างความตื่นเต้นให้กับหลวงหลุบเป็นอันมาก แกพร่ำอ้อนวอนขอลูกที่เหลือเอาไว้ บังก็กลัวว่ามันจะตูมตามขึ้นมาผิดที่และลูกนี้เป็นลูกใหญ่ที่สุดในบรรดาที่ทำ บังคนทำเองยังกลัวๆอยู่เพราะมันค่อนข้างจะรุงรังและไม่ได้ทำไว้ให้คนอื่นเล่นถึงแม้ว่ามันจะไม่มีสะเก็ดก็ตาม แต่จนแล้วจนรอดก็ทนอ้อนวอนแกไม่ไหว เลยให้ไว้หลังจากอธิบายถึงอันตรายของมันอยู่หลายรอบและวิธีประกอบก่อนใช้ หลังจากนั้นบังก็ไม่ได้กลับแม่ทอมบ่อยนักและลืมๆไปแล้วถึงวัตถุอันตรายที่หลวงหลุบได้ขอไว้

มาถึงยุคที่การแย่งชิงประชาชนกำลังดุเดือดแหลมคมในทางการเมือง แม่ทอมไม่ใช่พื้นที่สีแดงสีชมพู แต่กระบวนการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐก็มาถึง มีการจัดตั้งกลุ่มการเมืองต่างๆเช่นเดียวกันกับพื้นที่อื่นๆ เช่นกลุุ่มลูกเสือชาวบ้าน มีการส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมและจัดงานบันเทิงไม่เว้นแต่ละวัน เงินงบประมาณมีให้ใช้กันอย่างเหลือเฟือ ชาวแม่ทอมจึงมีกิจกรรมร้องรำทำเพลงและการแสดงละครให้เป็นที่ครึกครื้นกันเป็นประจำ สถานที่ก็มักจะเป็นที่โรงเรียนบ้านแม่ทอม มีอยู่คราวหนึ่งบังกลับไปเยี่ยมโยมที่แม่ทอมในขณะที่กำลังเรียนอยู่ที่มหา'ลัย แกเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ในคืนวันหนึ่งของกิจกรรมบันเทิง...

...จากเค้าเรื่องที่หนังตะลุงและมโนราห์นิยมเอามาเล่นในพื้นที่ ซึ่งค่อนข้างจะฮิตในหมู่บ้าน คือเรื่อง"เสือเหี้ยมและเสือหาญ" ได้รับการนำมาดัดแปลงเป็นละครสั้นและแสดงกันในงานชุมนุมลูกเสือชาวบ้านที่โรงเรียนบ้านแม่ทอมสวนป่ากลาง เสือเหี้ยมและเสือหาญคือสองนักปล้นที่อาละวาดรบกวนชาวประชาอยู่เนืองนิจ จนกระทั้งทางการมาทำการปราบปรามได้อยู่หมัด ในขณะที่เสือเหี้ยมและเสือหาญกำลังอาละวาดอยู่บนเวที ปล้นและยิงกันอยู่ด้วยปืนแก๊ปเด็กเล่น และคนดูนับร้อยกำลังชมการแสดงอยู่นั้น พลันทุกคนต้องสดุ้งตกใจด้วยเสียงกัมปนาทราวฟ้าผ่าสิบครั้งพร้อมๆกัน ดังมาจากกลุ่มต้นโหนดในนาที่ห่างออกไปราวๆ50เมคร ตามด้วยแรงอัดอากาศอย่างแรง พอหายตะตึงทั้งคนแสดงและคนดูก็เหมือนผึ้งแตกรังวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายอะไร นอกจากถลอกปอกเปิกเพราะการวิ่งหนีและเหยียบกันเอง...

...เสียงและแรงอัดอากาศขนาดนั้นแต่ไม่มีใครเป็นอะไร...บังพอจะนึกปะติดปะต่อเรื่องราวได้อยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจจะแสดงความเห็นที่คิด ได้แต่พูดว่าโชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร...ละครเรื่องเสือเหี้ยมและเสือหาญคงจะยังอยู่ในความทรงจำของชาวแม่ทอมที่อยู่ในเหตุการวันนั้นไปตลอดชีวิต แต่คงจะไม่ใช่เพราะความประทับใจในบทละครและผู้แสดงบนเวที...บังก็ไม่เคยถามหลวงหลุบในเรื่องดังกล่าวจนกระทั่งวันนี้...

13 มกราคม 2556

เรื่องที่มากับการหากุ้งหาปลา


เวลาในแต่ละวันของชาวแม่ทอมสมัยเมื่อยังห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่๓ชั่วโมงด้วยเรือหางยาวนั้นจะหมดไปกับการหากินโดยตรง คือหาอาหารมาใส่ปากใส่ท้องของตัวเองและครอบครัว ตั้งแต่ทำนา เพาะปลูกพืชผัก หาปลา หาฟืนสำหรับหุงต้มปรุงอาหาร กว่าจะหาได้พอกินพอใช้ทั้ง๓มื้อก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือในหนึ่งวัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในบ้านจะยุ่งเหมือนๆกันทุกๆคนและทุกๆวัน แต่ละครอบครัวอาจจะแบ่งภาระหน้าที่กันแตกต่างออกไป หน้าที่หาอาหารมักจะตกเป็นหน้าที่ของพ่อบ้าน ในขณะที่หน้าที่ปรุงจะตกเป็นของแม่บ้าน แทบทุกบ้านจะมีไม้ฟืนสะสมเอาไว้ตั้งแต่หน้าน้ำซึ่งไปตัดไม้เสม็ดจากพรุตกมาเก็บไว้แต่ไม้ฟืนก็ยังหาได้ทั่วไปในหมู่บ้าน กิ่งไม้แห้งสามารถที่จะเก็บกันได้อย่างเสรีทั้งในเขตบ้านของตัวเองและบ้านอื่นโด้โดยไม่ถือสาว่ากล่าวกัน

ในขณะที่ทุกบ้านทำนาและสามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตมาไว้กินได้ตลอดปี จึงนับได้ว่าเป็นหลักประกันสำหรับทุกคนในครอบครัวว่าอย่างแย่ที่สุดก็ยังมีข้าวกินไม่อดอยาก เรื่องกับข้าวจึงเป็นเรื่องรอง และเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของปลานาๆชนิดจากทอมและคลองอู่ตะเภา อีกทั้งเสริมด้วยอาหารทะเลจากทะเลสาบสงขลาที่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งก็ซื้อหาเอาได้ที่ตลาดนัดวัดคูเต่า ชาวแม่ทอมจึงอยู่กันได้โดยไม่เดือดร้อนนัก ปัญญาหาอาจจะมีอยู่บ้างที่ชาวบ้านมักจะไม่มีเงินซื้อ ผักปลาจึงมีให้บริโภคก็เฉพาะที่ไปจับมาได้เอง การหาปลาในทอมและคลองอู่ตะเภาเป็นอาหารในครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่ทุกบ้านทำกันไม่มากก็น้อย

บ่าวลอยหรือเสือลอยที่ชาวบ้านตั้งฉายาให้(บังเล่าถึงในตอนก่อนๆ )อยู่บ้านใกล้ๆกับบ้านบัง แกเป็นคนหนึ่งที่เป็นนักหาปลาที่มีทักษะดีมาก แกทำได้ค่อนข้างได้ผลในหลายๆวิธี เช่นทงเบ็ด สุ่ม วางกัด ขว้างฉมวก ยอนไหล ดักไซ หน่วงปูและผูกกุ้งเป็นต้น เนื่องจากแกทำได้ดี สัตว์น้ำที่แกจับได้จึงมักจะเหลือกินให้ป้าเอียดแม่ของแกเอาไปขายได้อีกต่างหาก การจับปลาในทอมนั้นไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องแย่งชิงกันเพราะความเป็นกันเองของชาวแม่ทอม แต่การจับปลาในคลองอู่ตะเภานั้นมักจะให้ต้องมีเรื่องระหองระแหงกันในบรรดานักจับสัตว์น้ำอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุที่ความยาวของลำคลองผ่านไปหลายหมู่บ้านทั้งสองฟากฝั่ง ใครไม่รู้ที่มาหาปลาอยู่ตรงคลองท้ายสวนของอีกคนหนึ่งจึงอาจจะถูกเขม่น การถือถิ่นถือที่ถืออาณาเขตในการหากินจึงเกิดขึ้น

วิธีการจับกุ้งแม่น้ำวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันในแถบนี้คือการนำเอาเนื้อมะพร้าวมาย่างไฟแล้วตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดประมาณกว้างและยาว๒นิ้ว เจาะรูเอาเชือกร้อยตรงกลาง แล้วเอาไปผูกกิ่งไม้หรือคันไม้ไผ่คล้ายๆคันเบ็ด ให้ชิ้นมะพร้าวย่างจมน้ำประมาณ๖นิ้ว ตอนกลางคืนกุ้งใหญ่จะมาเกาะกิน เจ้าของจะใช้วิธีเอาสวิงช้อนเอากุ้งขึ้นมา เรียกกันว่า"ผูกกุ้ง"  บ่าวลอยนั้นเป็นเดือดเป็นแค้นมากที่แขกบ้านใต้มาผูกกุ้งตรงท้ายสวนของแก  คนผูกกุ้งจะพายเรือมาผูกตั้งแต่ตอนเย็น แล้วจะกลับมาช้อนตอนกลางคืน   ก่อนมืดบ่าวลอยมักจะชวนบังไปแอบขโมยมะพร้าวเหยื่อกุ้งมากินกันเป็นประจำ ความจริงก็ไม่ได้เอร็ดอร่อยอะไร แต่กินไปตามประสาเด็กตาอยาก คืนหนึ่งป้าเอียดมาเรียกกลางดึก ถามว่าไอ้เหล็มเป็นอย่างไรบ้าง เพราะไอ้ลอยถูกยางตูมที่แขกชุบมะพร้าวผูกกุ้งเอาไว้ ท้องร่วงขี้จนไม่มีอะไรเหลือ...ยางตูมที่ป้าเอียดพูดถึงก็คือยางของต้นตูม ไม้ชายเลนชนิดหนึ่งที่มีมากมายแถวๆบางโหนดและพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา ยางของต้นตูมมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง โชคดีที่วันนั้นบังไม่ได้พลอยกินด้วย จึงอดที่จะรู้ถึงสรรพคุณของยางตูมด้วยต้วเอง

ด้วยความที่แกเก่งทางหาปลา อาณาเขตรัศมีการหาปลาของบ่าวลอยจึงกว้างไกลไม่แพ้แขกบ้านใต้ ในคลองแหวะตรงช่วงใกล้ๆวัดคูเต่านั้นนับเป็นที่ๆปลาชุมอีกแห่งหนึ่งของแม่ทอม บ่าวลอยและพรรคพวกจึงมักจะไปหาปลาที่นั่นกันอยู่บ่อยๆ การวางเบ็ดและพุ่งฉมวกนั้นมักจะทำกันในเวลากลางคืน บ่าวลอยจึงมักจะหายไปตั้งแต่ตอนเย็น กว่าจะกลับก็ตอนเช้า ขากลับแกก็มักจะมาแวะที่บ้านแบ่งปลาให้ แม่ก็จะให้ตังค์แกเป็นค่าปลาตามสมควร

 เช้ามืดวันหนึ่งบังได้ยินเสียงใครคนหนึ่งซึ่งเพื่อนหาปลาของบ่าวลอยมาตะโกนคุยข้ามรั้วอยู่กับป้าเอียด ว่าบ่าวลอยเข้าไปติดอยู่ในกอไม้ไผ่ที่สวนครูเกื้อมตรงใกล้ๆหลาแหวะออกไม่ได้ ให้ช่วยหาใครสักสองสามคนไปช่วยถางเอาตัวออกมาหน่อย บังพลอยวิ่งตามใครๆเขาไปด้วย เพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ่าวลอย เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีคนช่วยเอาแกออกมาจากกอไผ่เรียบร้อยแล้ว กำลังนอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนหลา มีอาการคล้ายๆคนเมาเหล้า

จากที่ฟังเขาเล่า ได้ความว่านอกจากจะมีการหาปลาแล้ว คณะหนุ่มหาปลากลุ่มนี้แอบไปขโมยน้ำตาลเมาของใครไม่รู้แถวๆปลังโต๊ะแดงมากินกันเป็นประจำ มาวันนี้หลังจากขโมยเอาหวากกลับมากินกันที่หลาแหวะ แต่ละคนเกิดอาการเมาประหลาด คนหนึ่งวิ่งไปสุ่มปลาอยู่บนบก ส่วนบ่าวลอย ไล่จับมูสังซึ่งวิ่งหนีเข้าไปในกอไม้ไผ่ ส่วนอีกคนกินน้อยหน่อยจึงแค่หลับไปจนรุ่งเช้า

ผู้สันทัดกรณีเห็นอาการของแต่ละคนแล้วฟันธงบอกว่าทั้งสามคนถูกลำโพง (หรือเรียกกันว่าลำพงในสำเนียงภาษาถิ่นปักษ์ใต้) ลำโพงเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งคล้ายๆมะเขือ แทบทุกส่วนของลำโพงมีพิษร้าย โดยเฉพาะเม็ดหากนำมาคั่วตำให้ละเอียด แล้วนำไปผสมน้ำตาลเมา ใครดื่มเข้าไปจะมีอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง นัยว่าประสาทบางส่วนจะถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงโดยถาวร ถึงแม้จะฟื้นขึ้นหลังจากที่โดนครั้งแรก แต่หากว่าไปดื่มแอลกอฮอล์เข้าอีก อาการประสาทหลอนของลำโพงจะกลับมา จะจริงเท็จแค่ไหนบังก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หลังจากนั้นมาดูเหมือนว่าบ่าวลอยจะเมาแล้วมีสภาพคล้ายคนบ้าทุกครั้งตั้งแต่ดื่มแค่อึกแรก...

...สมัยนี้ยาบ้ากำบังระบาดหนักในแม่ทอม พวกนิยมยาบ้าน่าจะลองหันไปเสพย์ลำโพงแทน เพราะราคาถูก ปลูกง่าย ถูกกฏหมาย และบ้าได้อย่างถาวร...