27 ธันวาคม 2555

โจกันขโมย


เนื่องจากภาคใต้ของไทยอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรขึ้นมาเพียงเล็กน้อย และแม่ทอมซึงอยู่ตอนล่างของภาคใต้ก็เลยยิ่งใกล้เข้าไปอีกนิด ดวงอาทิตย์จะมาอยู่ตรงหัวพอดีเป็นเวลานานเป็นพิเศษในหน้าร้อน ความเข้มข้นของแสงแดดจึงมีเต็มที่ หน้าร้อนที่แม่ทอมเดือนเมษายนจึงร้อนได้ไม่แพ้ใคร เด็กๆสอบไล่เสร็จกันตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม และชาวบ้านก็เก็บข้าวเสร็จไปหมดในประมาณเวลาเดียวกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆในหมู่บ้านชอบที่สุดถึงแม้ว่ามันจะร้อนก็ตาม ช่วงนี้หญ้าในสวนจะมีไม่พอให้วัวกิน จึงเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาว่าใครๆสามารถปล่อยวัวให้ออกหากินได้อย่างเสรีในทุ่งแหวะ พรุออกและพรุตก

พื้นที่ของแม่ทอมระหว่างหลาตาวันและหลาโคกพลาหรือที่เรียกกันว่า"โคก"เมื่อช่วงก่อนปีพศ๒๕๑๐นั้นแทบจะไม่มีคนอาศัยอยู่ มีบ้างไม่เกิน๓หรือ๔ครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ค่อนไปทางหลาโคกพลานารังนก ส่วนทางด้านหลาตาวันนั้นไม่มีแม้แต่บ้านเดียว จะมีบ้างก็เป็นหนำ(ขนำ)เฝ้าสวนซึ่งเจ้าของไม่ได้อยู่ประจำ การไปมาค่อนข้างจะลำบากเพราะไม่มีถนน ถ้าเป็นหน้าแล้งก็ต้องเดินตามคันนาไปตามทุ่ง เพราะเจ้าของสวนแต่ละสวนจะปลูกไม้หนามและกอเตยเป็นรั้วแบ่งเขตแดนขาดออกจากกัน หากจำเป็นต้องเดินผ่านพื้นที่สวนจากหลาตาวันไปถึงหลาโคกพลาก็เป็นอันว่าไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นหน้าน้ำตั้งแต่เดือนพฤษจิกายนไปจนถึงเดือนมกราคมก็ถ่อเรือไปทางในพรุ ทั้งพรุตกและพรุออก

ระหว่างสวนลุงทุ่มและสวนป้าเจี้ยนซึ่งอยู่ค่อนมาทางหลาตาวันนั้นเป็นสายคลอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลองที่เชื่อมบึงทอมและคลองหนองหิน ปัจจุบันก็ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้างในบางตอน แต่ส่วนใหญ่หมดสภาพไปแล้วจากการตื้นเขินและบุกรุกที่หัวดินของชาวบ้าน แต่ร่องรอยจากกูเกิลเอิร์ทยังพอปะติดปะต่อได้ให้เห็นถึงสภาพอันสมบูรณ์ในอดีต สมัยก่อนสายน้ำค่อนข้างลึก เช่นเดียวกันกับทอม สายน้ำส่วนที่ผ่านพื้นที่โคกตอนนี้มีน้ำขังตลอดปี  สภาพร่มรื่นด้วยดงสาคูและไม้ใหญ่น้อย มีวังน้ำลึก น้ำใสสะอาดอันอุดมไปด้วยปลาชนิดต่างๆ และด้วยเหตุที่มีน้ำสมบูรณ์นี่เอง สวนลุงทุ่มจึงเป็นที่ปลูกผลไม้ชนิดต่างๆมากมาย ตั้งแต่หัวครก ส้มเกลี้ยง สมจุก ส้มโอ น้อยหน่า กล้วยอ้อยและอื่นๆอีกหลายชนิด  ดังนั้นในหน้าร้อนที่ร้อนระอุของแม่ทอม พื้นที่ส่วนนี้จึงเปรียบเหมือนโอเอซีสกลางทะเลทราย ส่วนในหน้าน้ำพื้นที่ส่วนใหญ่ตรงนี้น้ำจะท่วมไม่ถึงเพราะเป็นที่โคก ไม้ผลส่วนใหญ่จึงรอดน้ำท่วมไปได้ในทุกๆปี

ลุงทุ่มเเป็นพี่ชายป้าเอียด ป้าเอียดผู้เป็นเจ้าของฉายา วิทยุวปถ๖แม่ทอม ยายหนับแม่ของแกเคยมาอยู่ประจำที่หนำในสวนนี้ แต่มาพักหลังสุขภาพแกไม่ค่อยจะดีแกจึงไปอยู่กับป้าเอียดที่บ้านใกล้ๆกับที่ทำการอบตในปัจจุบัน หนำที่โคกจึงกลายเป็นหนำร้างไม่มีใครอยู่ บรรดาผลไม้นาๆชนิดจึงไม่มีคนดูแลประจำ เด็กๆผู้หิวโหยทั้งหลายจึงถือโอกาสเก็บกินกันตามสบาย ก่อนที่ลุงทุ่มจะหาทางป้องกัน

พรุตกนั้นน้ำหญ้าพอจะหาได้ในหน้าแล้ง เพราะมีหนองน้ำธรรมชาติอยู่หลายแห่งให้พอเป็นที่ดื่มกินของวัวควายและคนเลี้ยงหากจำเป็นเพราะกระหายเต็มที่ พรุตกจึงเป็นตัวเลือกแรกแทนที่จะเป็นทุ่งแหวะหากอยากจะให้วัวอิ่ม แต่โดยปกติน้ำในหนองจะขุ่นจนคนกินไม่ได้ ส่วนที่จะพอกินได้ก็จะเป็นที่คลองข้างสวนลุงทุ่ม แต่ก็มีการสร้างรั้วเอาไว้อย่างแน่นหนา สำหรับกันทั้งวัวและเด็กเลี้ยงวัว ใครจะกินน้ำในคลอง ลุงทุ่มแกคงจะไม่หวง แต่ไปโขมยผลไม้ในสวนกินนี่ท่าจะยอมกันไม่ได้ แล้วทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะหักห้ามจิตใจกันได้ง่ายๆเสียเมื่อไหร่ในสภาพเช่นนั้น ส้มสักลูก หรือน้ำมะพร้าวหวานๆสักลูกสองลูกย่อมมีค่ามากกว่าทองในสภาพอันร้อนระอุเช่นนั้น ลุงทุ่มจึงต้องหาวิธีการบางอย่างในการรักษาผลประโยน์ของแก นอกจากรั้วหนามเตยที่แม้แต่หมายังไม่มีรูให้ลอด ประตูเข้าออกแกก็ดม(ปิด)เสียด้วยหนามนาๆชนิด ชั้นในสุดแกเลือกที่จะใช้โจในการบรรลุผลดังกล่าว เขาลือ(ทางวิทยุวปถ๖)กันว่าลุงทุ่มไปจ้างอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำโจใส่ไว้ที่ต้นไม้ทั้งหมด ใครกินเข้าไปก็จะพุงพอง ซึ่งนับว่าได้ผลชงัดนัก ไม่มีใครทั้งเด็กและผู้ใหญ่กล้าแตะต้องผลไม้ในสวนอีก เพราะความเกรงกลัวในเภทภัยที่ไม่อาจจะมองเห็นจากโจของลุงทุ่ม

โจที่บังกำลังพูดถึงไม่ใช่และไม่เกี่ยวข้องกับกำนันหนุ่มแห่งตำบลแม่ทอมคนปัจจุบันที่ชื่อโจหรือบรรพบุรุษของแก และก็ไม่ใช่ชื่อของฝรั่งแก่ๆมากมายที่มามีเมียสาวๆอยู่แถวภาคอีสาน แต่บังกำลังพูดถึงโจกันขโมยอันเป็นสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของชาวปักษ์ใต้และชาวแม่ทอม และมีใช้กันอย่างแพร่หลายในอดีต ไม่ปรากฏว่ามีการใช้ในภูมิภาคอื่นของเมืองไทย บังสันนิษฐานว่าคงจะเป็นของสืบเนื่องมาจากชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิม เพราะมีใช้กันอยู่บ้างคล้ายๆกันในชวา สุมาตรา และนิวกินี คนที่ไม่เคยได้ยินชื่อแต่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีร่วมสมัยอาจจะคิดถึงหุ่นยนต์เฉพาะกิจไปพลางๆก่อน หรือคนที่ดูหนังทีวีมากๆอาจจะคิดถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจากอำนาจเวทย์มนต์คาถาและความลึกลับ ถ้าจะอธิบายอย่างสั้นๆ โจเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่ผู้ทำ ได้ทำขึ้นเพื่อประโยชน์ในการสร้างความเกรงกลัวให้กับผู้คนที่มาพบเห็นและไม่มายุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามในรัศมีทำงานของโจ หากทำแขวนไวับนต้นไม้ ก็จะเป็นการบอกคนที่จะมาขโมยผลไม้ว่าหากแตะต้องจะให้มีอันเป็นไป เช่นพุงพอง ท้องเสีย ผีเข้าและฯลฯ

โจมีอยู่หลายชนิด เช่นโจเตาะ(กาบต้นหมาก กาบต้นโอน) โจกระบอก โจหม้อ โจขวด โจมนต์ โจผี โจฝังและอีกสารพัดโจ โจเตาะเป็นโจชนิดที่แพร่หลายที่สุดที่แม่ทอมเพราะวัสดุสามารถหาได้ง่ายและต้นทุนการผลิตต่ำ แค่ไปเก็บกาบหมากหรือกาบโอนมาตัดแล้วม้วนเป็นรูปกรวย เย็บด้วยหนาม เอาซี่ไม้ไผ่สองอันแทงทะลุเป็นกากบาต จุดไขว้ของไม้ไผ่สองซี่จะอยู่ภายในกรวย ตรงจุดนี้จะมีการนำเอาวัตถุอันเป็นตัว"หัวใจ"ของโจมาแขวนเอาไว้ (อาจจะเรียกว่าตัวCPUสำหรับเด็กๆสมัยนี้) ส่วนหัวใจของโจทำจากวัตถุประหลาดๆต่างๆที่เช่น คางคกตายซาก หนังวัวแห้งลงอักขระที่ไม่มีใครอ่านออก กระดูกผีตายโหง ผ้ายันต์ และอะไรต่างๆอีกมากมายแล้วแต่ว่าใครเรียนมาจากสำนักอาจารย์ไหน โจกระบอกหรือโจขวด หรือโจหม้อก็มีลักษณะคล้ายๆกัน มีการใช้ถ่านไฟหรือปูนขาวสำหรับกินกับหมากเขียนรูปภูติผีปีศาจลงบนโจ ก่อนผูกเชือกเอาขึ้นไปแขวนห้อยไว้บนต้นไม้ ส่วนโจผีและโจฝังนั้น จะเป็นการนำส่วนที่เป็น"หัวใจ"ไปฝังเอาไว้ใต้โคนด้นไม้ มีการผูกด้ายดิบวางเครื่องเซ่นไหว้สังเวย ซึ่งแค่เห็นเข้าพวกขวัญอ่อนทั้งหลายก็หายอยากแล้ว

ตะวันเลยเที่ยง บ่ายต้นๆ บังมักจะไปนอนอยู่ตามใต้ต้นไม้แถวๆสวนป้าเจี้ยนตามปกติ บอกพ่อว่ามาแลวัว แต่วัวอยู่ไหนก็ไม่รู้ ค่อยไปตามหาเอาตอนใกล้มืด และโดยปกติมันก็เดินกลับบ้านเองได้โดยไม่ต้องไปทำอะไร แต่อาจจะมืดหน่อย ในขณะที่กำลังคอแห้งผาก นอนคิดถึงผลไม้ชนิดต่างๆในสวนลุงทุ่ม อยากกินก็อยากกิน กลัวพุงพองก็กลัว ความกลัวและความอยากกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ภายใน

ในระยะนั้นท่านพระมหาปั่น (ท่านปัญญานันทะที่รู้จักกันในระยะหลัง) สหายธรรมของท่านพุทธทาส ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดอุทัยสงขลา ท่านได้เทศน์ทางวิทยุเป็นประจำ ส่วนใหญ่เป็นการชี้แนะให้คนเห็นถึงความงมงายของชาวบ้านด้วยเหตุผลง่ายๆ ตัวอย่างเช่นชาวบ้านนับถือต้นไม้ว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่หมาไปเยี่ยวราดโคนก็ไม่เห็นว่าหมามันจะเป็นอะไร จอมปลวกที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่หมูไปดุดและขี้ใส่ก็ไม่เห็นว่าจอมปลวกมันทำอะไรกับหมูได้ ส่วนผลไม้ที่เขาใส่โจเอาไว้ พวกสัตว์นาๆชนิดไปกินกันอยู่เต็มไปหมด ก็ไม่เคยเห็นว่ามันชักดิ้นชักงอตาย และฯลฯ คิดๆดูเหตุผลของท่านก็จริงทุกอย่าง แต่ทำไมคนแทบทั้งหมดเขาถึงกลัวกันล่ะ? จะเชื่อคนส่วนใหญ่หรือเชื่อเหตุผลดี...และแล้วในที่สุด เหตุและผลที่ถูกสนับสนุนด้วยความอยากกินผลไม้ก็เป็นฝ่ายชนะความกลัวสำหรับบัง...

บังค่อยๆเดินลัดเลาะไปตามริมคลองในดงสาคูฝั่งส่วนป้าเจี้ยน ไต่ไปตามรากและตามกอสาคูบ้าง โหนทางสาคูบ้าง ลุยน้ำบ้าง ก็ไปจนถึงฝั่งสวนลุงทุ่ม สรุปแล้วด้านคลองจะเข้าสวนลุงทุ่มง่ายที่สุด เพราะแกคงจะคิดว่าเป็นทางที่เข้ายากที่สุด แล้วก็จริงอย่างที่เขาเล่าลือกัน ต้นไม้ผลมีราคาทุกต้นมีโจติดอยู่ ถึงแม้ว่าจะเชื่อในเหตุและผลของท่านมหาปั่น บังก็ยังหวาดๆอยู่เรื่องกินแล้วพุงพอง...เลยต้องใช้เคล็ดวิธีอื่นๆที่ได้ยินมาประกอบ แบบว่าใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ว่างั้นเถอะ คือปลดโจลง เก็บลูกไม้ที่จะกินมาวางไว้ เสร็จแล้วเดินข้ามเสียสามครั้ง กินอิ่มแล้วก็เลิก เอาปลือกใส่พกไว้เพื่อเอาไปทิ้งในคลอง ขากลับเดินผ่านต้นหัวครก ไม่เห็นร่องรอยว่าลุงทุ่มใส่โจ แกอาจจะคิดว่ามันไม่ค่อยมีราคา จึงไม่ได้ใส่โจเอาไว้ บังเลยถือโอกาสลดโหม้งหัวครก (เม็ดมะม่วงหิมพานต์)เสียสี่ห้าโหม้งเท่าที่เอื้อมถึง ปล่อยให้พอง(ตัว)ติดกิ่งเอาไว้...ลืมนึกไปว่าทำผิดธรรมเนียมไปถนัด มานึกออกก็ข้ามคลองกลับมาถึงอีกฝั่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว จะกลับไปจัดการลบร่องรอยก็ขี้เกียจ เลยปล่อยเลยตามเลย

กลับถึงบ้านเย็นวันนั้นบังได้ยินป้าเอียดเล่าให้ใครคนหนึ่งฟังเสียงดังลั่นอยู่ที่ใกล้ๆกับหลาทอมว่า เด็กไหรไม่รู้บุกเข้าไปในสวนโคกจะลักลูกไม้...ไปเจอโจของลุงทุ่มเข้าเลยไม่ได้อะไรไปเลย นอกจากโหม้งหัวครกเพราะไม่ได้ใส่โจ......
..........หากพูดกันในภาษาปัจจุบัน โจเป็นอุปกรณ์กันขโมยที่วิเศษสุดชนิดหนึ่ง ชาวแม่ทอมน่าจะไปจดทะเบียนสิทธิบัตรเอาไว้...แต่บังคิดว่าโคลท์ตราควายน่าจะให้ผลแน่นอนและรวดเร็วกว่าโจมาก และอาจจะเป็นเพราะด้วยเหตุนี้ที่ทำให้โจเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกลืม...

09 ธันวาคม 2555

2012 Apocalypse

ใครๆก็คงจะเคยได้ยินเรื่องคำทำนายว่าโลกจะมาถึงกาลอวสานเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทั้งที่กำหนดวันโลกแตกที่ว่าได้ผ่านพ้นไปแล้วและที่กำลังจะมา ได้ยินกันจนเบื่อแล้วก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้นเสียที ยิ่งระยะนี้วันสิ้นสุดของปฏิทินของพวกมายา- อารยธรรมที่ล่มสลายของอเมริกาใต้กำลังจะมาถึง เมืองไทยเราดูเหมือนจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษสำหรับข่าวทำนองนี้ เพราะบ้านเราเป็นศูนย์รวมของอภินิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์นาๆชนิด พวกที่เชื่อก็ขู่พวกที่ไม่เชื่อว่าอย่ามายุ่งและลบหลู่หากไม่อยากมีเรื่อง จึงเป็นเรื่องปกติที่โหรชาวไทยสามารถทำนายทายทักได้ในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่โชคชะตาราศี ผูกดวงหมา ดวงคน ดวงบ้านดวงเมือง พยากรณ์อากาศ แผ่นดินไหว ไปจนถึง ผูกดวงโลก ดวงจักรวาล ดวงพหุจักรวาลและฯลฯ ซึ่งสรุปได้ว่าเดาได้ทุกเรื่องอย่างหน้าด้าน บังไม่ขอร่วมขบวน แต่อยากนำเสนอข้อคิดบางประการที่ความเป็นมาในอดีต สถานการณ์ปัจจุบัน และกฏเกณฑ์พื้นฐานที่สุดของธรรมชาติ อาจจะเป็นตัวบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

ถ้าหากจะยกเอากำเนิดของสิ่งสำคัญๆบนถนนแห่งกาลเวลาโดยประมาณมาเรียงลำดับ จะเห็นได้ว่าเราทุกคนมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาอันน้อยนิดที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติและการเปลี่ยนแปลง
  • กำเนิดสิ่งมีชีวิตบนโลกเมื่อ 2,100,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดชาติพันธุ์มนุษย์เมื่อ 15,000,000 ปีมาแล้ว
  • กำเนิดบรรพบุรุษคนในปัจจุบันเมื่อ 200,000 ปีมาแล้ว
  • เกิดอารยะธรรมเมื่อ 6,000 ปีมาแล้ว
  • อุตสาหกรรมเมื่อ 300 ปีมาแล้ว
  • รถยนต์เมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • ไฟฟ้าเมื่อ 150 ปีมาแล้ว
  • เครื่องบินเมื่อ 100 ปีมาแล้ว
  •  เข้าใจจุลจักรวาลและมหาจักรวาล (quantum mechanics and relativity) เมื่อ 100ปีมาแล้ว
  • TVเมื่อ 70 ปีมาแล้ว
  • PCเมื่อ 35 ปีมาแล้ว
  • Cellphoneเมื่อ 30 ปีมาแล้ว
  • Internetเมื่อ 25 ปีมาแล้ว
  • ประชากรโลก ปี คศ 1800 มี800 ล้านคน
  • ประชากรโลก ปี คศ 2010 มี8,000 ล้านคน
จากวิถีแห่งกาลเวลา จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่แทบทุกอย่างทั้งทางเทคโนโลยีและสังคมเพิ่งมาเกิดขึ้นในรอบร้อยกว่าปีที่ผ่านมา อัตราการบริโภคทรัพยากรของแต่ละคนในยุคปัจจุบันสูงมากยิ่ง ส่วนใหญ่เป็นการบริโภคที่เกินไปจากปัจจัยสี่ เพื่อที่จะเกื้อหนุนระบบเศรฐกิจโลกที่ต้องการให้บริโภคมากขึ้นอย่างไม่จำกัดและไม่สิ้นสุดเพื่อเกื้อหนุนการขยายตัวและอยู่รอดของระบบเศรษฐกิจที่ต้องการตัวเลขการเติบโตทางด้านบวกอยู่อย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างที่เราเห็นในชีวิตประจำวันคือผลแห่งการผลักดันด้วยกลไกของระบบ เป็นระบบที่ยังไม่มีใครรู้ชัดว่ามันจะจบหรือคลี่คลายไปเช่นไร แต่ใครๆก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่โตอย่างไม่มีจุดจบ เมื่อมีการเกิด แล้วจะมีการโต แล้วก็มีการตายในที่สุด ถ้ามองระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีชาติพันธุ์มนุษย์หรือ๑๕ล้านปี เทียบกับช่วงระยะเวลาที่มนุษย์รู้เริ่มรู้จักอุตสาหกรรมและเผาผลาญทรัพยากร จะเห็นคล้ายกับว่าเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว จะเป็นยุคที่มนุษย์จะทำลายสิ่งแวดล้อมที่ตัวเองอยู่และในที่สุดจะเป็นการทำลายชาติพันธุ์ของตัวเองไหม? ตัวอย่างเช่นปัญหามลภาวะและโลกร้อน กว่าจะรู้ตัว การเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมก็อาจจะสายเกินแก้เสียแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะควบคุมได้และใช้เวลาหลายชั่วอายุคนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข

วันก่อนเห็นบทความในScientific Americanพูดถึงผลงานวิจัยล่าสุดชิ้นหนี่ง เขาบอกว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นระบบนิเวศน์วิทยาที่มหัศจรรย์ยิ่ง มีแบคทีเรียมากมายที่อาศัยร่างกายของคนเป็นที่อยู่ และจากการศึกษาพบว่าพวกมันถือว่าร่างกายของมนุษย์น้้นคือบ้านที่มันต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มันอยู่ได้ ทั้งนี้รวมไปถึงการจัดการกับสิ่งแปลกปลอมและจุลินทรีย์ที่ทำอันตรายต่อระบบ หากรวมจำนวนเซลล์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย(ระบบหมุนเวียน)แล้ว แบคทีเรียจะมีจำนวนมากกว่าเซลล์ของร่างกายถึง๑๐ต่อ๑ ทั้งนี้อาจจะอยู่ในลักษณะคล้ายๆกันกับความพยายามของคนจำนวนหนึ่งที่พยายามจะจัดการกับภาวะแวดล้อมของตัวเอง ที่ต่างกันก็คือ "โลก"ของสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่มีขนาดต่างกัน แต่ถ้าเทียบตามอัตราส่วนของขนาดของแบ็คทีเรียกับต้วคน และตัวคนกับขนาดของโลก ก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก
พูดถึงการบริโภคเกินความจำเป็น เดี๋ยวนี้เห็นชัดมากที่บ้านเรา หันไปทางไหนก็เห็นแต่คนอ้วนเกินขนาด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ กินกันเกินความจำเป็น กินอาหารสำเร็จรูปที่เขาทำได้กระตุ้นความอยากโดยเฉพาะ เสร็จแล้วใช้เครื่องทุ่นแรงเกินความจำเป็น ไม่ค่อยยอมออกแรง ไม่มีใครค่อยจะยอมเดินไม่ว่าใกล้หรือไกล กระบวนการวิวัฒนาการของร่างกายที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องเป็นพันเป็นหมื่นปีมาเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทันหันในเวลาแค่๕๐ปี อีกไม่นานคนคงจะเดินกันไม่ได้ แขนขาคงจะค่อยๆลีบไปเพราะไม่ได้ใช้งาน อาจจะต้องกระถดหรือกลิ้งออกจากบ้านในอีกไม่กี่ชั่วอายุคน...และอีกหลายล้านปีคนอาจจะงอกล้อออกมาแทนตีนตามทฤษฏีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน ... คงจะได้หรอยกันใหญ่