27 เมษายน 2554

จักรวาลบนคอช้างเอราวัณ


    ช้างเอราวัณเป็นพาหนะของพระอินทร์หนึ่งในบรรดาทวยเทพมากมายแห่งศาสนาฮินดู เรื่องเดิมได้รจนาเอาไว้ว่าช้างตัวนี้ขนาดไม่ใหญ่ไม่โตอะไรมากมาย มีแค่ 33 เศียร แต่ละเศียรมีงา 7 งา งาแต่ละงามีสระบัว 7 สระ แต่ละสระมีดอกบัว 7 ดอก แต่ละดอกมีกลีบ 7 กลีบ แต่ละกลีบมี 7 เกสร แต่ละเกสรมีปราสาทอยู่ 7 หลัง ปราสาทแต่ละหลังมี 7 ชั้น แต่ละชั้นมี 7 ห้อง แต่ละห้องมี 7 บัลลังค์ แต่ละบัลลังค์มีเทพธิดาสถิตย์ 7 องค์ เทพธิดาแต่ละองค์มีบริวาร องค์ละ 7 นาง เทพธิดาบริวารแต่ ละนางมีนางทาสีนางละ 7คน เศียรทั้ง 33 ของช้างเอราวัณมีอุเปนทเทพยดา สถิตย์เศียรละ 1 องค์ ในแต่ละหัว หากลองรวมดูว่าจะมีชาวสวรรค์สักเท่าไหร่บนหัวช้าง ก็จะได้ 33  x (7 ยกกำลัง 12) + 33 ซึ่งเท่ากับ 456,762,477,666 คน(ประมาณ๕แสนล้านคน) นี่ยังไม่ได้รวมบรรดาบริวารส่วนอื่นของพระอินทร์  เทียบกับโลกมนุษย์ปัจจุบัน มีพลโลกประมาณ ๖พันล้านคน ช้างจะมีขนาดไหน หัวหางมันอยู่ที่ไหน เดินที่ไหน และกินอะไรเป็นอาหารก็จินตนาการกันเอาเอง

เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อยถัดจากจำนวนเศียร33เศียรจากของเดิมที่แขกอินเดียว่าเอาไว้ อาจจะมีการต่อเติมใส่พริกใส่น้ำปลาใส่ไข่เมื่อนิทานเดินทางมาถึงเมืองไทย ตัวเลขจากที่มาที่ต่างกันจึงอาจจะแตกต่างกันอยู่บ้างว่ามีเจ็ดอะไรบ้าง แต่ก็คงจะไม่เป็นไรสำหรับกรณีที่บังจะเอามาชี้ให้เห็นในเรื่องที่กำลังจะพูดถึง


ลองคิดถึงเทพธิดาและบริวาร โลกของเขาก็คือสิ่งที่เขาเห็นรอบๆตัว ปราสาทของเขาอยู่บนเกษรดอกบัว ซึ่งอยู่บนกลีบบัว เพื่อนบ้านของเขาคือคนที่อยู่ในปราสาทบนเกษรอันเดียวกัน ซึ่งเป็นเสมือนหมู่บ้าน แต่ละกลีบเปรียบเสมือนเมือง แต่ละดอกเปรียบเหมือนประเทศ แต่ละสระเปรียบเสมือนโลก แต่ละงาเปรียบเสมือนระบบดาวที่โลกอยู่(คือระบบสุริยะ) แต่ละเศียรของช้างเปรียบเสมือนกาแลกซีอันเป็นที่ตั้งของระบบดาว(กาแลกซี่ทางช้างเผือก ไม่เกี่ยวกับช้างเอราวัณ) ส่วนตัวช้างเอราวัณนั้นคือจักรวาลอันเป็นที่ตั้งของสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด และก็ยังไม่อาจจะหยุดแค่นั้น ในสวรรค์จะมีช้างเอราวัณสักกี่เชือก มีป่าแบบป่าหิมพานต์สักกี่แห่ง มีสวรรค์อีกสักกี่ที่และ...ฯลฯ ไม่สิ้นสุด


หากเทียบกับสภาพของบรรดาเราท่านที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้กับเทพธิดาที่อยู่ในปราสาทแต่ละหลังในแต่ละงาช้าง สภาพคงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก ขณะนี้คนเราสามารถไปได้ไกลที่สุดก็แค่ดวงจันทร์ เทพธิดาที่อยู่ในแต่ละงาช้างก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน เขาไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ว่ายังมีโลกอีกมากมายที่อยู่บนงาช้างอีกอันหนึ่ง เขาอาจจะเห็นแสงริบหรี่เป็นจุดเล็กๆในยามค่ำคืนจากอีกงาหนึ่งของช้าง แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าแสงที่เห็นนั้นมาจากอีกระบบหนึ่งซึ่งมีเทพธิดาเช่นพวกเขาอาศัยอยู่เช่นเดียวกัน เนื่องเพราะความจำกัดของธรรมชาติและความรู้ทางเทคโนโลยีที่พวกเทพธิดามี(ตัดปาฏิหาริย์แบบนิทานออกออก) คนบนโลกมนุษย์ก็ไม่ผิดอะไรกับเทพธิดาในนิทานเรื่องรามายะนะนี้


 บรรดานักคิดทั้งหลายในปัจจุบันทั้งที่ท้องอิ่มและท้องหิว ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากนักคิดแขกสมัยก่อนที่แสดงความคิดของเขาไว้ในเรื่องช้างทรงของพระอินทร์ รู้ว่าอันมนุษย์เรานั้น เหมือนอาศัยอยู่บนเกาะกลางมหาสมุทรอวกาศ ที่เป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าเป็นชั้นๆออกไปหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เท่าที่ความรู้ที่มนุษยชาติมีอยู่ในยุคปัจุบัน เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เราจะไปไหนได้ไกลๆเพราะมนุษย์นี้อายุสั้นนักเมื่อเที่ยบกับความใหญ่โตของจักรวาล แสงเดินทางด้วยความเร็ว๓แสนกิโลเมตรต่อวินาที ใช้เวลา๑๘นาทีจึงจะไปถึงดาวอังคาร ใช้เวลา ๙ ปีจึงจะไปถึงระบบดาวที่ใกล้ที่สุด(ดาวซิริอุส) ใช้เวลา ๕๐๐๐๐ ปีจึงจะไปถึงอีกฟากหนึ่งของกาแลกซี่ทางช้างเผือก(ซึ่งมีระบบดาวอยู่ ๓๐๐พันล้านระบบ) และ ๓ ล้านปีจะไปถึงกาแลกซีที่อยู่ใกล้ที่สุดคือกาแลกซี่แอนโดรมีดา และประมาณกันว่ามีกาแลกซีทั้งหมดในจักรวาลประมาณ ๒๐๐พันล้านกาแลกซี่


ตอนนี้นักจักรวาลวิทยาเริ่มตั้งทฤษฎีใหม่ว่า จักรวาลนั้นไม่ได้มีอยู่อันเดียว แต่มีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนหรืออินฟินิต(infinite) แต่ละจักรวาลจะเป็นอิสระจากกันและกันและเมื่อมีจำนวนเป็นอินฟินิต ทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้หนึ่งครั้ง ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนอีกเช่นกัน ดังนั้นโอกาสที่จะมีอีกหลายก็อปปี้ของคุณที่เหมือนกันทุกอย่างกำลังอ่านบทความนี้อยู่เช่นเดียวกันบนดาวอีกดวงหนึ่งนั้นมีอยู่ และพิสูจน์ได้ด้วยวิชาคณิตศาสตร์ แต่คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมีโอกาสได้เจอกับคู่แฝดของคุณเพราะข้อจำกัดเรื่องระยะทาง เมื่อก่อนจักรวาลหรือยูนิเวิสคือสิ่งที่กว้างใหญ่ที่สุดที่จะพูดถึงได้และมีอยู่หนึ่งเดียว ตอนนี้ คำว่ายูนิเวิส(ยูนิแปลว่าหนึ่ง)มีคำว่ามัลติเวิส(multiverse มัลติแปลว่ามากมาย) มาแทน


อย่างที่เกริ่นมาในตอนต้น เรื่องที่ฝรั่งเขากำลังฮิตคิดอยู่กันตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แขกอินเดียได้จินตนาการเอาไว้แล้วเมื่ออย่างน้อย๓๐๐๐ปีก่อน จักรวาลได้ถูกจำลองเอามาไว้ในรูปของช้างเอราวัณ 


หากบังเหล็มหายไปนานๆก็อย่าได้คิดติดตามถามหา อาจจะแวะไปเยี่ยมบังเหล็ม๒ บังเหล็ม๓ บังเหล็ม๔...ในอีกหลายๆจักรวาล

16 เมษายน 2554

คุยกับทวด ประโยชน์ใช้สอยของหลาทอมที่เปลี่ยนไป

     นอกจากวัดแล้ว หลาทอมเป็นที่สาธารณะอีกแห่งหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นที่ประชุม ที่พักร้อนของคนเดินทาง และเป็นที่อะไรๆอีกหลายๆอย่างแล้วแต่สถานการณ์ เป็นความเชื่อของคนไทยมาตั้งครั้งโบราณว่า ต้นไม้ใหญ่ หนอง บึงจะมีเทวดาปกปักษ์รักษา ซึ่งทางใต้เรียกกันว่าทวด เป็นความสะดวกสำหรับคนที่ยังมีความเชื่อในสิ่งสมมติที่ไม่อาจจะสัมผัสด้วยอายตนะใดๆ ที่จะสร้างรูปที่ตัวเองคุ้นเคยขึ้นมาไว้กราบไหว้ รูปสลักของทวดที่ศาลาทอมจึงอุบัติขึ้นด้วยประการฉะนี้ ด้วยการแกะสลักของช่างจำเป็นหลายคนในหมู่บ้าน โดยใช้ไม้ท่อนหนึ่งจากต้นขนุนใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างศาลา เนื่องจากไม้ท่อนเล็กเกินไป จึงได้ทวดแค่ครึ่งท่อน แขนลีบ ส่วนขานั้นไม่มี มีการต่อเพิงออกไปนิดหนึ่งจากศาลา ไว้เป็นที่วางทวด มีอังสะเก่าๆที่พระทิ้งแล้วเป็นเครื่องแต่งตัว

 




เมื่อตอนบังเด็กๆก่อนเข้าโรงเรียน ที่เล่นประจำวันของบังคือหลาทอม ชาวบ้านที่มีลูกรุ่นเดียวกันก็ไม่ใครให้ลูกเขามาเล่นด้วยเพราะเขาว่าบังเป็นเด็กร้ายและเถ ครูใหญ่ของโรงเรียนแม่ทอมสมัยนั้นขนานนามให้บังให้เด็กที่โรงเรียนฟังหน้าเสาธงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่บังยังไม่ไปโรงเรียนว่า "ไอ้เหล็มเด็กอุบาทว์" ซึ่งเป็นการเรียกที่ค่อนข้างสาหัสต่อเด็กอายุแค่๖ขวบ แกห้ามไม่ให้ลูกของแกมาเล่นด้วยอย่างเด็ดขาด ห้ามบังเข้าบ้าน ความจริงแกก็เหม็นหน้าพี่ๆของบังหมดทั้งบ้านมาแต่ไหนแต่ไร เพราะดันไปเรียนหนังสือเก่งกว่าลูกๆของแกชนิดห่างกันกู่ไม่ได้ยิน ความจริงบังอ่านหนังสือคล่องตั้งแต่๕-๖ขวบ เพราะพ่อและพี่ๆสอนให้ แต่ครูใหญ่แกไม่ยอมให้ไปโรงเรียนอ้างระเบียบราชการว่า๘ขวบถึงจะไปได้ "การศึกษาคือการเจริญงอกงาม" เป็นนิยามของคำว่าการศึกษาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั้งในประเทศไทยและสากลมาหลายร้อยปี แต่ไม่มีความหมายใดๆที่นี่ ครูใหญ่แกคงจะมีทัศนะที่แตกต่าง ซึ่งก็ไม่มีใครรู้แน่เหมือนกันว่าเป็นอย่างไร มาช่วงหลังน้าซึ่งเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดนารังนกทนไม่ไหว จึงเอาบังติดรถจักรยานไปที่วัดนารังนกด้วยเป็นบางวันเพื่อให้พลอยเรียนป.๑ เป็นเด็กนอกบัญชี  ซึ่งก็ไม่สนุกนักเพราะบังตัวเล็กและอายุน้อยกว่าเพื่อนอย่างน้อย๒ปี โดนแกล้งประจำ แต่มาระยะหลังไม่มีใครแกล้ง เพราะบังเล่านิทานสนุกๆซึ่งอ่านจากหนังสือให้พวกเขาฟัง เวลาพักเที่ยงจึงมีเด็กทั้งเล็กทั้งใหญ่มาล้อมฟังนิทานทุกวัน

ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่จะอายุครบ๘ขวบบังก็เลยเล่นอยู่คนเดียวที่หลาทอม หากวันไหนไม่ได้ไปนารังนกกับน้า ความสัมพันธ์ระหว่างทวดและบังจึงมีมาตั้งแต่ครั้งนั้น ในขณะที่บังเติบโตและแก่ไปตามวัย รูปสลักของทวดก็ผุกร่อนเป็นอาหารของปลวกแมลงไปส่วนหนึ่งบ้างเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่มีต่อกันและกันระหว่างบังกับทวดไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักเมื่ออยู่กันตามลำพัง แต่หากอยู่ต่อหน้าบรรดาชาวแม่ทอมคนอื่นๆ บังก็ต้องลดความสนิทสนมลง เพราะเขาเหล่านั้นไม่ค่อยจะชอบนักหากบังแสดงความเป็นกันเองกับทวดเป็นพิเศษให้ห็น จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็หลายปีเต็มที ได้โอกาส บังจึงแวะเข้าไปหาทวด

"เอ้านั่นไอ้เหล็มเหรอ...ขึ้นมานั่งก่อน...หายไปไหนเสียนาน...ไม่แวะมาคุยกันมั่งเลย"

ทวดร้องทักบังอย่างเป็นกันเอง เมื่อเห็นบังเดินมาถึงชายคา ก็นับว่านานพอดูตั้งแต่บังและทวดเจอกันครั้งสุดท้าย บังเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆขึ้นไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าทวด ยกมือไหว้สวยๆครั้งหนึ่งตามธรรมเนียมของการเจอผู้หลักผู้ใหญ่ มีลูกหลานของทวดนั่งกันอยู่อย่างสงบเสงี่ยมหลายคน บังก็ต้องทำตัวให้ผสมกลมกลืน แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าบังกำลังพูดคุยอยู่กับทวด

"สวัสดีครับทวด ช่วงหลังนี่มันยุ่งเรื่องทำมาหากินครับ ผมจึงไม่ค่อยมีเวลาแวะมาคุยด้วย ทวดสบายดีนะครับ ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่เมื่อไหร่ผมยังไม่รู้เลย ดูโอ่โถงดีนะครับ"

"เออ...กูอยู่ที่เก่าของกูดีๆไม่ได้เดือดร้อนอะไร ลูกหลานมันต้องการจะเอาใจกู จึงสร้างหลังใหม่ให้ จะบอกพวกมันว่าไม่เอาก็บอกไม่ได้ เพราะมีแต่มึงคนเดียวที่พูดกับกูรู้เรื่อง นอกนั้นมันคิดว่ากูศักดิ์สิทธิ์และสามารถให้โชคให้ลาภกับพวกมันได้" ทวดตอบกึ่งหงุดหงิดกึ่งขบขัน

"แหม...ทวดก็รู้ๆอยู่...ลูกหลานเค้ามีศรัทธา ที่สร้างใหม่ให้น่ะเค้าก็หวังผล อย่าได้คิดว่าเค้าทำให้อยู่ฟรี ทวดก็ต้องใบ้หวยบอกเบอร์บ้าง"

"ไอ้เหล็มมึงก็รู้อยู่ว่ากูไม่มีตีน จะเดินไปขี้ไปเยี่ยวยังไม่ได้ ดีที่กูไม่ต้องขี้ต้องเยี่ยว ไม่งั้นก็ไม่ผิดอะไรกับคนเป็นอัมพาต สมัยก่อนมึงยังต้องอุ้มกูลงไปวางไว้กลางถนนหลอกคนไปนัดคูเต่าวันพฤหัส จำไม่ได้แล้วหรือ ลำพังกูเองจะขยับตัวยังทำไม่ได้?"

และแล้วทวดก็นำเอาเรื่องเก่าในอดีตขึ้นมาอ้าง ใช่แล้ว บังเคยเล่นทะลึ่งตึงตังเช่นเหลนกะทวดอยู่เป็นประจำ แรกๆก็เปิดผ้านุ่งดูว่าทวดมีไข่ไหม หลังๆก็ขึ้นขี่คอ โยกไปโยกมา บังโดนผู้ใหญ่ท่านหนึ่งหวดเสียหลังลายโทษฐานลบหลู่รูปทวด ถึงตอนนี้คิดแล้วบังก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดีกับการทำโทษ ที่เด็กขี่ท่อนไม้ ท่อนไม้ไม่ได้มีความเจ็บปวดอะไร แต่ผู้ใหญ่เข้าข้างท่อนไม้ เห็นท่อนไม้ดีกว่าคน แล้วตีคนขี่ท่อนไม้ ช่างเป็นความโง่เง่าที่ไร้ที่ติ มองกลับไปจากตอนนี้ ผู้ใหญ่ที่เคยเฆี่ยนบังแกเข้าไม่ถึงแม้แต่เปลือกของพุทธศาสนาทั้งๆที่ไปวัดทุกวันพระ แกติดอยู่ตรงพิธีกรรม และหลายๆอย่างแม้กระทั่งศีลธรรมก็ยังขาด จึงไม่มีอะไรที่ต้องพูดถึงในระดับของโลกุตรธรรมที่ต้องอาศัยปัญญาในการเข้าถึง ซึ่งก็ไม่อาจจะโทษใครได้ถนัดสำหรับสภาพ เพราะไม่มีการสอนกันในเรื่องที่ถูกต้อง นอกจากเรื่องศรัทธาและความขลังความศักดิ์สิทธิ์

"ครับทวด..ที่ทำอย่างนั้นน่ะเพราะมันได้กิน มีอยู่คราวหนึ่งแม่ค้าเขาหาบลูกเงาะไปขายที่ตลาดนัด มาเห็นทวดนั่งอยู่กลางทางเดิน ทิ้งหาบวิ่งกลับทางเก่าผมก็ได้กินลูกเงาะ ทำแล้วได้กินก็ทำเรื่อยมา"

สมัยก่อนถนนตรงช่วงหลาทอมรกและเปลี่ยวมาก และเคยมีคนโดนฟันขาดสะพายแล่งตรงจุดใกล้ๆหลา พวกกลัวผีมักจะไม่กล้าเดินคนเดียวแม้กระทั่งตอนเที่ยงวัน

"แล้วทำไมเลิกอุ้มกูลงไปวางกลางถนนเสียล่ะ? ทวดถามยิ้มๆอย่างอารมณ์ดี

"โดนพ่อหวดครับ แต่ก็รู้ว่าผิด เพราะผมไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เพื่อเอาของที่เขาจะเอาไปขายมากิน"


"แล้วพ่อมึงรู้ได้อย่างไรล่ะ"


"มีคนไปบอกแกว่าทวดทำปาฏิหาริย์ลงไปนั่งอยู่กลางถนน มักจะเกิดในวันพฤหัสตอนเช้ามืด พอถึงวันพฤหัส แกก็มาซุ่มดู เลยโดนจับได้"


ลูกศิษย์ทวดหลายคนเริ่มหันมามอง ว่าบังมานั่งทำอะไร บังเลยถือโอกาสลาทวดออกมา


หลาทวดหรือหลาทอมวันนี้ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์จากศาลาพักร้อนธรรมดาๆสารพัดประโยชน์ สำหรับนั่งพักและนอนเล่น โดยมีทวดเป็นผู้อาศัยอยู่ที่มุมหนึ่ง มาเป็นคล้ายๆศาลเจ้าที่มีทวดนั่งเป็นเจ้าของศาล ใครจะขึ้นไปยืดแข้งยืดขาก็ดูจะไม่เหนาะสม วัตถุประสงค์เดิมของศาลาทอมหรือหลาทอมได้ถูกบิดเบือนไปแล้วโดนสิ้นเชิง และความงมงายก็ได้ทวนกระแสแห่งวิวัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่งสำหรับชาวแม่ทอม