13 มกราคม 2556

เรื่องที่มากับการหากุ้งหาปลา


เวลาในแต่ละวันของชาวแม่ทอมสมัยเมื่อยังห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่๓ชั่วโมงด้วยเรือหางยาวนั้นจะหมดไปกับการหากินโดยตรง คือหาอาหารมาใส่ปากใส่ท้องของตัวเองและครอบครัว ตั้งแต่ทำนา เพาะปลูกพืชผัก หาปลา หาฟืนสำหรับหุงต้มปรุงอาหาร กว่าจะหาได้พอกินพอใช้ทั้ง๓มื้อก็แทบจะไม่มีเวลาเหลือในหนึ่งวัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในบ้านจะยุ่งเหมือนๆกันทุกๆคนและทุกๆวัน แต่ละครอบครัวอาจจะแบ่งภาระหน้าที่กันแตกต่างออกไป หน้าที่หาอาหารมักจะตกเป็นหน้าที่ของพ่อบ้าน ในขณะที่หน้าที่ปรุงจะตกเป็นของแม่บ้าน แทบทุกบ้านจะมีไม้ฟืนสะสมเอาไว้ตั้งแต่หน้าน้ำซึ่งไปตัดไม้เสม็ดจากพรุตกมาเก็บไว้แต่ไม้ฟืนก็ยังหาได้ทั่วไปในหมู่บ้าน กิ่งไม้แห้งสามารถที่จะเก็บกันได้อย่างเสรีทั้งในเขตบ้านของตัวเองและบ้านอื่นโด้โดยไม่ถือสาว่ากล่าวกัน

ในขณะที่ทุกบ้านทำนาและสามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตมาไว้กินได้ตลอดปี จึงนับได้ว่าเป็นหลักประกันสำหรับทุกคนในครอบครัวว่าอย่างแย่ที่สุดก็ยังมีข้าวกินไม่อดอยาก เรื่องกับข้าวจึงเป็นเรื่องรอง และเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของปลานาๆชนิดจากทอมและคลองอู่ตะเภา อีกทั้งเสริมด้วยอาหารทะเลจากทะเลสาบสงขลาที่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งก็ซื้อหาเอาได้ที่ตลาดนัดวัดคูเต่า ชาวแม่ทอมจึงอยู่กันได้โดยไม่เดือดร้อนนัก ปัญญาหาอาจจะมีอยู่บ้างที่ชาวบ้านมักจะไม่มีเงินซื้อ ผักปลาจึงมีให้บริโภคก็เฉพาะที่ไปจับมาได้เอง การหาปลาในทอมและคลองอู่ตะเภาเป็นอาหารในครัวเรือนจึงเป็นเรื่องที่ทุกบ้านทำกันไม่มากก็น้อย

บ่าวลอยหรือเสือลอยที่ชาวบ้านตั้งฉายาให้(บังเล่าถึงในตอนก่อนๆ )อยู่บ้านใกล้ๆกับบ้านบัง แกเป็นคนหนึ่งที่เป็นนักหาปลาที่มีทักษะดีมาก แกทำได้ค่อนข้างได้ผลในหลายๆวิธี เช่นทงเบ็ด สุ่ม วางกัด ขว้างฉมวก ยอนไหล ดักไซ หน่วงปูและผูกกุ้งเป็นต้น เนื่องจากแกทำได้ดี สัตว์น้ำที่แกจับได้จึงมักจะเหลือกินให้ป้าเอียดแม่ของแกเอาไปขายได้อีกต่างหาก การจับปลาในทอมนั้นไม่ค่อยจะมีปัญหาเรื่องแย่งชิงกันเพราะความเป็นกันเองของชาวแม่ทอม แต่การจับปลาในคลองอู่ตะเภานั้นมักจะให้ต้องมีเรื่องระหองระแหงกันในบรรดานักจับสัตว์น้ำอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุที่ความยาวของลำคลองผ่านไปหลายหมู่บ้านทั้งสองฟากฝั่ง ใครไม่รู้ที่มาหาปลาอยู่ตรงคลองท้ายสวนของอีกคนหนึ่งจึงอาจจะถูกเขม่น การถือถิ่นถือที่ถืออาณาเขตในการหากินจึงเกิดขึ้น

วิธีการจับกุ้งแม่น้ำวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันในแถบนี้คือการนำเอาเนื้อมะพร้าวมาย่างไฟแล้วตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดประมาณกว้างและยาว๒นิ้ว เจาะรูเอาเชือกร้อยตรงกลาง แล้วเอาไปผูกกิ่งไม้หรือคันไม้ไผ่คล้ายๆคันเบ็ด ให้ชิ้นมะพร้าวย่างจมน้ำประมาณ๖นิ้ว ตอนกลางคืนกุ้งใหญ่จะมาเกาะกิน เจ้าของจะใช้วิธีเอาสวิงช้อนเอากุ้งขึ้นมา เรียกกันว่า"ผูกกุ้ง"  บ่าวลอยนั้นเป็นเดือดเป็นแค้นมากที่แขกบ้านใต้มาผูกกุ้งตรงท้ายสวนของแก  คนผูกกุ้งจะพายเรือมาผูกตั้งแต่ตอนเย็น แล้วจะกลับมาช้อนตอนกลางคืน   ก่อนมืดบ่าวลอยมักจะชวนบังไปแอบขโมยมะพร้าวเหยื่อกุ้งมากินกันเป็นประจำ ความจริงก็ไม่ได้เอร็ดอร่อยอะไร แต่กินไปตามประสาเด็กตาอยาก คืนหนึ่งป้าเอียดมาเรียกกลางดึก ถามว่าไอ้เหล็มเป็นอย่างไรบ้าง เพราะไอ้ลอยถูกยางตูมที่แขกชุบมะพร้าวผูกกุ้งเอาไว้ ท้องร่วงขี้จนไม่มีอะไรเหลือ...ยางตูมที่ป้าเอียดพูดถึงก็คือยางของต้นตูม ไม้ชายเลนชนิดหนึ่งที่มีมากมายแถวๆบางโหนดและพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา ยางของต้นตูมมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง โชคดีที่วันนั้นบังไม่ได้พลอยกินด้วย จึงอดที่จะรู้ถึงสรรพคุณของยางตูมด้วยต้วเอง

ด้วยความที่แกเก่งทางหาปลา อาณาเขตรัศมีการหาปลาของบ่าวลอยจึงกว้างไกลไม่แพ้แขกบ้านใต้ ในคลองแหวะตรงช่วงใกล้ๆวัดคูเต่านั้นนับเป็นที่ๆปลาชุมอีกแห่งหนึ่งของแม่ทอม บ่าวลอยและพรรคพวกจึงมักจะไปหาปลาที่นั่นกันอยู่บ่อยๆ การวางเบ็ดและพุ่งฉมวกนั้นมักจะทำกันในเวลากลางคืน บ่าวลอยจึงมักจะหายไปตั้งแต่ตอนเย็น กว่าจะกลับก็ตอนเช้า ขากลับแกก็มักจะมาแวะที่บ้านแบ่งปลาให้ แม่ก็จะให้ตังค์แกเป็นค่าปลาตามสมควร

 เช้ามืดวันหนึ่งบังได้ยินเสียงใครคนหนึ่งซึ่งเพื่อนหาปลาของบ่าวลอยมาตะโกนคุยข้ามรั้วอยู่กับป้าเอียด ว่าบ่าวลอยเข้าไปติดอยู่ในกอไม้ไผ่ที่สวนครูเกื้อมตรงใกล้ๆหลาแหวะออกไม่ได้ ให้ช่วยหาใครสักสองสามคนไปช่วยถางเอาตัวออกมาหน่อย บังพลอยวิ่งตามใครๆเขาไปด้วย เพราะอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ่าวลอย เมื่อไปถึงปรากฏว่ามีคนช่วยเอาแกออกมาจากกอไผ่เรียบร้อยแล้ว กำลังนอนน้ำลายฟูมปากอยู่บนหลา มีอาการคล้ายๆคนเมาเหล้า

จากที่ฟังเขาเล่า ได้ความว่านอกจากจะมีการหาปลาแล้ว คณะหนุ่มหาปลากลุ่มนี้แอบไปขโมยน้ำตาลเมาของใครไม่รู้แถวๆปลังโต๊ะแดงมากินกันเป็นประจำ มาวันนี้หลังจากขโมยเอาหวากกลับมากินกันที่หลาแหวะ แต่ละคนเกิดอาการเมาประหลาด คนหนึ่งวิ่งไปสุ่มปลาอยู่บนบก ส่วนบ่าวลอย ไล่จับมูสังซึ่งวิ่งหนีเข้าไปในกอไม้ไผ่ ส่วนอีกคนกินน้อยหน่อยจึงแค่หลับไปจนรุ่งเช้า

ผู้สันทัดกรณีเห็นอาการของแต่ละคนแล้วฟันธงบอกว่าทั้งสามคนถูกลำโพง (หรือเรียกกันว่าลำพงในสำเนียงภาษาถิ่นปักษ์ใต้) ลำโพงเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งคล้ายๆมะเขือ แทบทุกส่วนของลำโพงมีพิษร้าย โดยเฉพาะเม็ดหากนำมาคั่วตำให้ละเอียด แล้วนำไปผสมน้ำตาลเมา ใครดื่มเข้าไปจะมีอาการประสาทหลอนอย่างรุนแรง นัยว่าประสาทบางส่วนจะถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงโดยถาวร ถึงแม้จะฟื้นขึ้นหลังจากที่โดนครั้งแรก แต่หากว่าไปดื่มแอลกอฮอล์เข้าอีก อาการประสาทหลอนของลำโพงจะกลับมา จะจริงเท็จแค่ไหนบังก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หลังจากนั้นมาดูเหมือนว่าบ่าวลอยจะเมาแล้วมีสภาพคล้ายคนบ้าทุกครั้งตั้งแต่ดื่มแค่อึกแรก...

...สมัยนี้ยาบ้ากำบังระบาดหนักในแม่ทอม พวกนิยมยาบ้าน่าจะลองหันไปเสพย์ลำโพงแทน เพราะราคาถูก ปลูกง่าย ถูกกฏหมาย และบ้าได้อย่างถาวร...